หลายคนคงรู้จัก และเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "The Crusades" สงครามครูเสด มาบ้างแล้วนะคะ สรุปแบบสั้นๆ ก็คือเป็นการสู้รบกันทางศาสนาระหว่าง ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เพื่อเข้ายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเล็ม) โดยกินเวลายาวนานราว 200 ปี และเนื่องจากประเทศจอร์แดนซึ่งมีอณาเขตใกล้กับดินแดนศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ จอร์แดนจึงตกเป็นสมรภูมิรบ ในสงครามครูเสด และมีร่องรอยอารยธรรม บันทึกประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ยาวนานมากว่าห้าพันปีเลยทีเดียวค่ะ เสน่ห์ของศิลปะ สถาปัตยกรรม รวมถึงสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ที่แตกต่างดูแปลกตาน่าสนใจ อีกทั้งวัฒนธรรมและมิตรไมตรีของผู้คนพื้นเมือง ทุกองค์ประกอบของประเทศนี้ทำให้รู้สึกตกหลุมรัก และดีใจเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มาสัมผัสดินแดนที่สวยงามและมีคุณค่าทางอารยธรรมแห่งนี้อย่างเป็นที่สุด
สำหรับบทความนี้ขออนุญาตเน้นถึงความสวยงามของสถานที่ ที่รู้ประทับใจมากที่สุด และจัดได้ว่าเป็น highlight อันดับต้นๆ ของจอร์แดนนะคะ จะได้ไม่ยาวเยิ่นเย้อมากจนกินไป เพราะอยากให้เพื่อนๆ หรือคนที่ได้เข้ามา ได้เห็นรูป และ อ่านเกร็ดประวัติศาตร์เล็กๆ เพื่อเป็นการทำความรู้จักดินแดนแห่งนี้เพิ่มขึ้นไปด้วยกันค่ะ หลายคนมีคำถามว่าร้อนไหม เพราะเป็นประเทศที่มีทะเลทราย แต่ความเป็นจริง ช่วงที่เราเดินทางไป 12-18 เมษายน พ.ศ.2561 อากาศดีมาก ตอนกลางวัน อุณภูมิ 23-25 องศา มีแสงแดดจ้า แต่ลมพัดเย็นสบายค่ะ มาเริ่มจากสถานที่ที่เราชอบมากที่สุดก่อนเลยนะคะ ซึ่งจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้เลยค่ะ “Petra” เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
1) “Petra” เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ The Rose City , 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางจำนวนมาก นครแห่งนี้เป็นเมืองที่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงชันประดุจเป็นปราการอันยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าเคยเป็นเมืองหลวงของชาว Nabatean ชนพื้นเมืองของจอร์แดนซึ่งถูกสร้างตั้งแต่ช่วง 312 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทำเลที่ตั้งของเมืองนี้อยู่กึ่งกลางของเส้นทางการค้าคาบสมุทรอาระเบีย-ลุ่มแม่ น้ำไนล์ และปาเลสไตน์-ลุ่ม แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เลยไปจนถึงอินเดีย จึงทำให้เป็นเมืองศูนย์กลางเส้นทางการค้าทางบกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวโรมันจึงได้เข้ามายึดครอง แต่ภายหลังได้เกิดแผ่นดินไหวบ้านเรือนภายในเมืองพังทลายลงมาประกอบกับมีการเปิดเส้นทาง การค้าทางทะเลที่อ่าวสุเอช ชาวเมืองจึงพากันละทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่น เพตรากลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด จนกระทั่งปี ค.ศ. 1812 นครแห่งนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกอีกครั้งจากการค้นพบของนักเดินทางชาวสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Johan Burckhardt และในปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ที่นี่ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO และเมื่อปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)
2) “Wadi Rum” ทะเลทรายวาดิรัม หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า หุบเขาแห่งพระจันทร์ (The Valley of the Moon) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีร่องรอยมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล วาดิรัมมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อนายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence มาสร้างพันธมิตรกับชาวเผ่าทะเลทรายในแถบนี้ เพื่อต่อต้านอำนาจการปกครองของอาณาจักร ออตโตมัน(ตุรกี) โดยใช้ทะเลทรายแห่งนี้เป็นฐานบัญชาการสู้รบด้วย นอกจากนี้ ทะเลทรายวาดิรัมยังถูกเรียกชื่ออีกอย่างว่า “The Seven Pillars of Wisdom” ในหนังสือบันทึกที่เขียนโดย T.E. Lawrence อีกด้วยค่ะ แอบเอาบทความส่วนหนึ่งมาฝากให้อ่านกันด้วยนะคะ มีความซึ้งอยู่มากประมาณนึงเลยทีเดียว
I loved you, so I drew these tides of Men into my hands
And wrote my will across the Sky in stars
To earn you freedom, the seven Pillared worthy house,
That your eyes might be Shining for me When I came
Death seemed my servant on the Road, 'til we were near
And saw you waiting: When you smiled and in sorrowful Envy he outran me
And took you apart: Into his quietness Love, the way-weary, groped to your body,
Our brief wage Ours for the moment
Before Earth's soft hand explored your shape
And the blind Worms grew fat upon
Your substance Men prayed me that I set our work,
The inviolate house, As a memory of you
But for fit monument I shattered it,
Unfinished: and now The little things creep out to patch
Themselves hovels In the marred shadow Of your gift.
3) นครเจอราช (JERASH) หรือ “เมืองพันเสา” หรืออีกชื่อหนึ่ง "ปอมเปอีแห่งตะวันออกกลาง" เป็นอดีต 1 ใน 10 หัวเมืองเอกตะวันออกอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมันที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในโลก สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า เมืองแอนติออชบนฝั่งแม่น้ำทองคำ หรือ "Antioch on the Chrysorrhoas " คำว่า " Chrysorrhoas " หมายความว่า "แม่น้ำทองคำ หรือ Golden River" บางตำราก็เรียกว่าเป็น the Pompeii of the East เนื่องจากในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี และถูกทิ้งร้างจนมีคนมาขุดพบใน ค.ศ.1878 รัฐบาลจอร์แดนได้กลับมาฟื้นฟูบูรณะนครโรมันแห่งนี้อีกครั้ง นั่นจึงทำให้ความวิจิตรงดงามของเมืองโรมันโบราณกลับมาเผยโฉมต่อโลกอีกครั้ง
สิ่งสำคัญที่น่าชมของ นครเจอราชในยุครุ่งเรืองสมัยโรมันมีมากมาย ตั้งแต่ ซุ้มประตูกษัตรย์เฮเดรียน และ สนามแข่งม้าฮิปโปโดมพลาซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม พบปะ สังสรรค์ของชาวเมือง, วิหารเทพซีอุส ฯลฯ
โรงละครทางทิศใต้ (สร้างในราวปี ค.ศ. 90-92 จุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน มีจุดเสียงสะท้อนตรงกลางโรงละคร ที่เราสามารถทดสอบกับความอัศจรรย์ นี้ได้ ด้วยการพูดเพียงเบา ๆ ก็จะมีเสียงสะท้อนก้องเข้ามาในหูของเรา นอกจากนี้ ยังมี วิหารเทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองเจอราช สร้างในราวปี ค.ศ. 150 สร้างขึ้นพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีบวงสรวง และบูชายัญต่อเทพีองค์นี้ วิหารแห่งนี้ แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเดินเข้าสู่ ถนนคาร์โด หรือ ถนนโคลอนเนด ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เข้า-ออกเมืองแห่งนี้ บนถนนนั้นยังมีริ้วรอยทางของล้อรถม้า, ฝาท่อระบายน้ำ, ซุ้มโคมไฟ, บ่อน้ำดื่มของม้า ให้ชมด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำพุใจกลางเมือง (NYMPHAEUM) สร้างในราวปี ค.ศ. 191 เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขา ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ มีที่พ่นน้ำเป็นรูปหัวสิงโตทั้งเจ็ด และตกแต่งด้วยเทพต่างๆ ประจำซุ้มด้านบนของน้ำพุ ฯลฯ
4) Kerak Castle ปราสาทเครัค ป้อมปราการโบราณสมัยสงครามครูเสด สงครามที่เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เพื่อเข้ายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเล็ม) โดยกินเวลายาวนานประมาณ 200 ปี และในระหว่างนั้นได้มีการสร้างป้อมปราการในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยปราสาทเครัคเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่มีขนาดใหญ่ อยู่บนยอดเขาสูง สร้างขึ้นโดย กลุ่มอัศวินในสงครามครูเสดสายที่มาจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป้นฝ่ายของศาสนาคริสต์ โดยมี Reynald-de-Chatillon (also known as Arnat) เป็นผู้นำทัพ และมีเรื่องเล่าขานกันว่า Reynald ได้ทำการสั่งโยนนักโทษออกไปจากกำแพงป้อมปราสาทแห่งนี่ลงไปในหน้าผาอย่างโหดร้าย ต่อมาในปี ค.ศ.1189 “ซาลาดิน” กษัตริย์อิสลามจากราชวงศ์ Ayyubid ของอียิปต์ บุกเข้าโจมตีปราสาทเครัคได้สำเร็จ จากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมเผ่าต่างๆในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด
5) Dead Sea หรือ ทะเลมรณะ ถึงจะมีชื่อเรียกว่าทะเล แต่ Dead Sea ก็มิใช่ทะเลตามความเข้าใจของคนทั่วไป เพราะน่าจะเรียกทะเลสาบมากกว่า ส่วนคำว่า Dead นั้นก็ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก เพราะถึงจะไม่มีปลา ปู กุ้ง หอย ฯลฯ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบจุลินทรีย์ที่สามารถดำรงชีพอยู่ในน้ำเกลือที่เค็มจัดได้ เช่น Halobacterium halobium ชาวยิวรู้จัก Dead Sea ในนาม Yam Hamelach ซึ่งเป็นคำในภาษา Hebrew ที่แปลว่าทะเลเกลือ
ส่วนชาวอาหรับเรียกสถานที่นี้ว่า Dahr Lut ซึ่งแปลว่าทะเลของ Lot ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ Abraham ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงว่า เมื่อพระเจ้าต้องการทำลายนคร Sodom และ Gomorrah เพราะเป็นนครบาป พระองค์ได้ประทานอนุญาตให้ Lot นำครอบครัวหนีออกจากเมือง และทรงสั่งห้ามไม่ให้ใครเหลียวหลังกลับไปดูเมืองที่กำลังจะถูกถล่มด้วยหินไฟและแผ่นดินไหว แต่ภรรยาของ Lot ขัดคำสั่ง ร่างของนางจึงกลายเป็นเสาเกลือดังที่นักท่องเที่ยวรู้จักในนาม Lot’s Pillar จนทุกวันนี้
ปัจจุบันชาวโลกรู้จัก Dead Sea ว่าเป็นดินแดนที่อุดมด้วยตำนาน นิทาน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีมากมาย เช่นว่า Abraham กับพระเยซู เคยเสด็จที่นี่ และ Sarah ภรรยาอายุมากของ Abraham ก็ได้พบว่าเมื่อนางอาบน้ำใน Dead Sea นางได้คลอดลูกเป็นชายชื่อ Isaac ดังนั้นผู้คนจึงเชื่อว่า น้ำทะเล Dead Sea สามารถรักษาอาการหมันของสตรีได้ รวมถึงรักษาโรคหอบหืด โรคไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังและแม้แต่โรคเรื้อนก็ได้ด้วย
ส่วนโคลนของ Dead Sea นั้นก็มีตำนานเล่าว่าพระนาง Cleopatra ได้เคยเสด็จมาที่ Dead Sea เพื่อทรงใช้โคลนพิทักษ์รักษาพระสิริโฉมของพระนาง และเมื่อครั้งที่กษัตริย์ Herod ทรงครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จมาทรงสำราญพระอิริยาบถที่ Dead Sea บ่อย เพราะใกล้ๆ ที่นี่มี Masada ซึ่งเป็นปราการบนเนินเขาสูงให้พระองค์ประทับ โดยในปี 616 สถานที่นี้ได้กลายเป็นสุสานให้ชาวยิว 960 คน (ทั้งชาย หญิง และเด็ก) พากันฆ่าตัวตายแทนที่จะยอมเป็นทาสของกษัตริย์โรมัน
อันที่จริงจอร์แดน ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่อีกมากเลยค่ะ ลองค่อยๆ ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะคะ และหากข้อความที่เขียนมานี้มีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มือใหม่หัดเล่าเรื่องค่ะ ^__^
Once upon a time in Jordan 2018 กาลครั้งหนึ่งในดินแดนแห่งอารยธรรมที่มีตำนานเล่าขานยาวนานกว่าพันปี
สำหรับบทความนี้ขออนุญาตเน้นถึงความสวยงามของสถานที่ ที่รู้ประทับใจมากที่สุด และจัดได้ว่าเป็น highlight อันดับต้นๆ ของจอร์แดนนะคะ จะได้ไม่ยาวเยิ่นเย้อมากจนกินไป เพราะอยากให้เพื่อนๆ หรือคนที่ได้เข้ามา ได้เห็นรูป และ อ่านเกร็ดประวัติศาตร์เล็กๆ เพื่อเป็นการทำความรู้จักดินแดนแห่งนี้เพิ่มขึ้นไปด้วยกันค่ะ หลายคนมีคำถามว่าร้อนไหม เพราะเป็นประเทศที่มีทะเลทราย แต่ความเป็นจริง ช่วงที่เราเดินทางไป 12-18 เมษายน พ.ศ.2561 อากาศดีมาก ตอนกลางวัน อุณภูมิ 23-25 องศา มีแสงแดดจ้า แต่ลมพัดเย็นสบายค่ะ มาเริ่มจากสถานที่ที่เราชอบมากที่สุดก่อนเลยนะคะ ซึ่งจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้เลยค่ะ “Petra” เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
1) “Petra” เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ The Rose City , 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางจำนวนมาก นครแห่งนี้เป็นเมืองที่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงชันประดุจเป็นปราการอันยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าเคยเป็นเมืองหลวงของชาว Nabatean ชนพื้นเมืองของจอร์แดนซึ่งถูกสร้างตั้งแต่ช่วง 312 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทำเลที่ตั้งของเมืองนี้อยู่กึ่งกลางของเส้นทางการค้าคาบสมุทรอาระเบีย-ลุ่มแม่ น้ำไนล์ และปาเลสไตน์-ลุ่ม แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เลยไปจนถึงอินเดีย จึงทำให้เป็นเมืองศูนย์กลางเส้นทางการค้าทางบกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวโรมันจึงได้เข้ามายึดครอง แต่ภายหลังได้เกิดแผ่นดินไหวบ้านเรือนภายในเมืองพังทลายลงมาประกอบกับมีการเปิดเส้นทาง การค้าทางทะเลที่อ่าวสุเอช ชาวเมืองจึงพากันละทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่น เพตรากลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด จนกระทั่งปี ค.ศ. 1812 นครแห่งนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกอีกครั้งจากการค้นพบของนักเดินทางชาวสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Johan Burckhardt และในปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ที่นี่ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO และเมื่อปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)
2) “Wadi Rum” ทะเลทรายวาดิรัม หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า หุบเขาแห่งพระจันทร์ (The Valley of the Moon) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีร่องรอยมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล วาดิรัมมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อนายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence มาสร้างพันธมิตรกับชาวเผ่าทะเลทรายในแถบนี้ เพื่อต่อต้านอำนาจการปกครองของอาณาจักร ออตโตมัน(ตุรกี) โดยใช้ทะเลทรายแห่งนี้เป็นฐานบัญชาการสู้รบด้วย นอกจากนี้ ทะเลทรายวาดิรัมยังถูกเรียกชื่ออีกอย่างว่า “The Seven Pillars of Wisdom” ในหนังสือบันทึกที่เขียนโดย T.E. Lawrence อีกด้วยค่ะ แอบเอาบทความส่วนหนึ่งมาฝากให้อ่านกันด้วยนะคะ มีความซึ้งอยู่มากประมาณนึงเลยทีเดียว
I loved you, so I drew these tides of Men into my hands
And wrote my will across the Sky in stars
To earn you freedom, the seven Pillared worthy house,
That your eyes might be Shining for me When I came
Death seemed my servant on the Road, 'til we were near
And saw you waiting: When you smiled and in sorrowful Envy he outran me
And took you apart: Into his quietness Love, the way-weary, groped to your body,
Our brief wage Ours for the moment
Before Earth's soft hand explored your shape
And the blind Worms grew fat upon
Your substance Men prayed me that I set our work,
The inviolate house, As a memory of you
But for fit monument I shattered it,
Unfinished: and now The little things creep out to patch
Themselves hovels In the marred shadow Of your gift.
3) นครเจอราช (JERASH) หรือ “เมืองพันเสา” หรืออีกชื่อหนึ่ง "ปอมเปอีแห่งตะวันออกกลาง" เป็นอดีต 1 ใน 10 หัวเมืองเอกตะวันออกอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมันที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดในโลก สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200 – 100 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีในอดีตเมืองแห่งนี้ชื่อว่า เมืองแอนติออชบนฝั่งแม่น้ำทองคำ หรือ "Antioch on the Chrysorrhoas " คำว่า " Chrysorrhoas " หมายความว่า "แม่น้ำทองคำ หรือ Golden River" บางตำราก็เรียกว่าเป็น the Pompeii of the East เนื่องจากในปี ค.ศ. 749 นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลาย และถูกฝังกลบโดยทรายหลังจากนั้นก็ได้สูญหายไปเป็นนับพันปี และถูกทิ้งร้างจนมีคนมาขุดพบใน ค.ศ.1878 รัฐบาลจอร์แดนได้กลับมาฟื้นฟูบูรณะนครโรมันแห่งนี้อีกครั้ง นั่นจึงทำให้ความวิจิตรงดงามของเมืองโรมันโบราณกลับมาเผยโฉมต่อโลกอีกครั้ง
สิ่งสำคัญที่น่าชมของ นครเจอราชในยุครุ่งเรืองสมัยโรมันมีมากมาย ตั้งแต่ ซุ้มประตูกษัตรย์เฮเดรียน และ สนามแข่งม้าฮิปโปโดมพลาซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม พบปะ สังสรรค์ของชาวเมือง, วิหารเทพซีอุส ฯลฯ
โรงละครทางทิศใต้ (สร้างในราวปี ค.ศ. 90-92 จุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน มีจุดเสียงสะท้อนตรงกลางโรงละคร ที่เราสามารถทดสอบกับความอัศจรรย์ นี้ได้ ด้วยการพูดเพียงเบา ๆ ก็จะมีเสียงสะท้อนก้องเข้ามาในหูของเรา นอกจากนี้ ยังมี วิหารเทพีอาร์เทมิส ซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองเจอราช สร้างในราวปี ค.ศ. 150 สร้างขึ้นพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีบวงสรวง และบูชายัญต่อเทพีองค์นี้ วิหารแห่งนี้ แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเดินเข้าสู่ ถนนคาร์โด หรือ ถนนโคลอนเนด ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เข้า-ออกเมืองแห่งนี้ บนถนนนั้นยังมีริ้วรอยทางของล้อรถม้า, ฝาท่อระบายน้ำ, ซุ้มโคมไฟ, บ่อน้ำดื่มของม้า ให้ชมด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำพุใจกลางเมือง (NYMPHAEUM) สร้างในราวปี ค.ศ. 191 เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขา ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ มีที่พ่นน้ำเป็นรูปหัวสิงโตทั้งเจ็ด และตกแต่งด้วยเทพต่างๆ ประจำซุ้มด้านบนของน้ำพุ ฯลฯ
4) Kerak Castle ปราสาทเครัค ป้อมปราการโบราณสมัยสงครามครูเสด สงครามที่เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เพื่อเข้ายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเล็ม) โดยกินเวลายาวนานประมาณ 200 ปี และในระหว่างนั้นได้มีการสร้างป้อมปราการในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยปราสาทเครัคเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่มีขนาดใหญ่ อยู่บนยอดเขาสูง สร้างขึ้นโดย กลุ่มอัศวินในสงครามครูเสดสายที่มาจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป้นฝ่ายของศาสนาคริสต์ โดยมี Reynald-de-Chatillon (also known as Arnat) เป็นผู้นำทัพ และมีเรื่องเล่าขานกันว่า Reynald ได้ทำการสั่งโยนนักโทษออกไปจากกำแพงป้อมปราสาทแห่งนี่ลงไปในหน้าผาอย่างโหดร้าย ต่อมาในปี ค.ศ.1189 “ซาลาดิน” กษัตริย์อิสลามจากราชวงศ์ Ayyubid ของอียิปต์ บุกเข้าโจมตีปราสาทเครัคได้สำเร็จ จากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมเผ่าต่างๆในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด
5) Dead Sea หรือ ทะเลมรณะ ถึงจะมีชื่อเรียกว่าทะเล แต่ Dead Sea ก็มิใช่ทะเลตามความเข้าใจของคนทั่วไป เพราะน่าจะเรียกทะเลสาบมากกว่า ส่วนคำว่า Dead นั้นก็ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก เพราะถึงจะไม่มีปลา ปู กุ้ง หอย ฯลฯ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบจุลินทรีย์ที่สามารถดำรงชีพอยู่ในน้ำเกลือที่เค็มจัดได้ เช่น Halobacterium halobium ชาวยิวรู้จัก Dead Sea ในนาม Yam Hamelach ซึ่งเป็นคำในภาษา Hebrew ที่แปลว่าทะเลเกลือ
ส่วนชาวอาหรับเรียกสถานที่นี้ว่า Dahr Lut ซึ่งแปลว่าทะเลของ Lot ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ Abraham ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงว่า เมื่อพระเจ้าต้องการทำลายนคร Sodom และ Gomorrah เพราะเป็นนครบาป พระองค์ได้ประทานอนุญาตให้ Lot นำครอบครัวหนีออกจากเมือง และทรงสั่งห้ามไม่ให้ใครเหลียวหลังกลับไปดูเมืองที่กำลังจะถูกถล่มด้วยหินไฟและแผ่นดินไหว แต่ภรรยาของ Lot ขัดคำสั่ง ร่างของนางจึงกลายเป็นเสาเกลือดังที่นักท่องเที่ยวรู้จักในนาม Lot’s Pillar จนทุกวันนี้
ปัจจุบันชาวโลกรู้จัก Dead Sea ว่าเป็นดินแดนที่อุดมด้วยตำนาน นิทาน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีมากมาย เช่นว่า Abraham กับพระเยซู เคยเสด็จที่นี่ และ Sarah ภรรยาอายุมากของ Abraham ก็ได้พบว่าเมื่อนางอาบน้ำใน Dead Sea นางได้คลอดลูกเป็นชายชื่อ Isaac ดังนั้นผู้คนจึงเชื่อว่า น้ำทะเล Dead Sea สามารถรักษาอาการหมันของสตรีได้ รวมถึงรักษาโรคหอบหืด โรคไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังและแม้แต่โรคเรื้อนก็ได้ด้วย
ส่วนโคลนของ Dead Sea นั้นก็มีตำนานเล่าว่าพระนาง Cleopatra ได้เคยเสด็จมาที่ Dead Sea เพื่อทรงใช้โคลนพิทักษ์รักษาพระสิริโฉมของพระนาง และเมื่อครั้งที่กษัตริย์ Herod ทรงครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จมาทรงสำราญพระอิริยาบถที่ Dead Sea บ่อย เพราะใกล้ๆ ที่นี่มี Masada ซึ่งเป็นปราการบนเนินเขาสูงให้พระองค์ประทับ โดยในปี 616 สถานที่นี้ได้กลายเป็นสุสานให้ชาวยิว 960 คน (ทั้งชาย หญิง และเด็ก) พากันฆ่าตัวตายแทนที่จะยอมเป็นทาสของกษัตริย์โรมัน
อันที่จริงจอร์แดน ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่อีกมากเลยค่ะ ลองค่อยๆ ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะคะ และหากข้อความที่เขียนมานี้มีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มือใหม่หัดเล่าเรื่องค่ะ ^__^