เกริ่น & Day 1
“ สงกรานต์ปีหน้าว่างมั้ย ไปขึ้นคินาบาลูกัน ?” ประโยคง่ายๆที่ทำให้ต่อมความอยากเที่ยวที่มีเยอะอยู่แล้วสั่นระริกระริก พร้อมกับตัดสินใจกดตั๋วเครื่องบินในช่วงสงกรานต์เพื่อไปโคตาคินาบาลูนานข้ามปี
คินาบาลูเคยได้ยินแต่ชื่อ ได้ยลเรื่องราวก็หลายหน แต่ไม่เคยสัมผัสสักที ปีนี้แหละจะเป็นปีของเรา
เราไม่เคยมีข้อมูลเรื่องการปีน หรือการติดต่อเอเย่นต์เพื่อจองขึ้นเขามาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามันจะจองยากขนาดนี้ โดยที่เราจองล่วงหน้าเกือบหนึ่งปี โดยจองในช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยปกติจะต้องจองทริปให้ได้วันก่อนแล้วค่อยมาจองตั๋วเครื่องบิน แต่เราดันทำกลับกัน เพราะฉะนั้นเมื่อได้ตั๋วมาแล้วเราก็ต้องหาเอเย่นต์เจ้าที่มีที่ว่างในวันที่เราต้องการพาเราขึ้นเขาให้ได้ เราหว่านอีเมลล์ถามเอเย่นต์ทัวร์ประมาณสิบกว่าเจ้าเพื่อจองขึ้นเขา 4 คนในวันที่ 13-15 เมษายน อีเมลล์เด้งกลับมาแต่ละทีนี่หัวใจจะวายเพราะอีเมลล์แจ้งกลับมาแต่ว่า Sorry dear , we are fully booked on that date T-T ชั้นจะอดขึ้นจริงๆหรอเนี่ย แต่ในที่สุด พระเจ้าก็เห็นใจเรามีเอเย่นต์เจ้าหนึ่งชื่อว่า River Junkie บอกว่ามีที่ว่างพอดีสำหรับแพกเกจ 3D2N 4คน กรี๊ดดๆๆๆๆ ดีใจมากๆ โดยราคาค่าทริปตกคนละประมาณ 1715 ริงกิตยังไม่รวมภาษี 6% และค่า ภาษีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ริงกิตต่อคนต่อคืน ค่าทริปนี้เราตกคนละ 1817.9 ริงกิต ค่าทริปถ้าไปคนเดียวจะยิ่งแพงเนื่องจากเค้ารวมค่าไกด์ท้องถิ่นเข้าไปด้วย ถ้าในกลุ่มมีคนมากก็จะเฉลี่ยค่าไกด์กันทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง
*หลังจากได้เดินไปคุยเล่นกับเอเย่นต์มาตอนอยู่คินาบาลู เอเย่นต์แนะนำว่าเนื่องจากราคาค่าทริปจะขึ้นราคาทุกปี โดยราคาจะขึ้นทุกๆเดือนเมษายนตามประกาศจากทางอุทยาน หากใครจะจองก็ให้จองไปก่อนในช่วงกุมภาพันธ์หรือมีนาคมเพื่อป้องกันการขึ้นราคา ซึ่งราคาจะขึ้นประมาณ 20% ในทุกๆปี
** 1 ริงกิตเท่ากับ 8 บาท
ก่อนไปสารภาพเลยว่าคิดจะออกกำลังกายโดยการวิ่งเพื่อฝึกความอึดและ Squat ไปแต่พอเอาเข้าจริงแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ Squat วันละ 200 ครั้งล่วงหน้าสองอาทิตย์เท่านั้น
ทริปนี้เรามีกัน 4 คน โดยที่ต่างคนต่างเดินทางและไปเจอกันที่คินาบาลูจุดเริ่มต้นของทริปนี้
เราออกเดินทางวันที่ 12 เมษายน โดยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ไปยังสนามบินกัวลาลัมเปอร์เพื่อรอต่อเครื่องไปยังสนามบินโคตาคินาบาลู โดยเริ่มเดินทาง 6.00 น. ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์เวลา 09.00 น. ระหว่างรอต่อเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมงก็ได้ออกมาจาก KKIA1 ซึ่งเป็น Terminal เก่าสำหรับสายการบินประจำชาติต่างๆ มานั่งรถไฟไปยัง KKIA2ซึ่งเป็น Terminal ใหม่สำหรับสายการบิน Lowcost เพื่อเดินเล่น ช้อปปิ้งฆ่าเวลา การเดินทางระหว่าง Terminal สามารถลงมาชั้นล่างสุดเพื่อนั่งรถไฟได้ โดยเสียค่าโดยสารเที่ยวละ 2 ริงกิตต่อคน
สำหรับคนที่มารอต่อเครื่องเพื่อไปประเทศอื่นเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมง และอาจจะออกไปนอกเมืองไม่ทัน เราแนะนำให้มาเดินเล่นที่ KKIA2 ซึ่งเหมือนห้างย่อมๆ มีทุกอย่าง ร้านอาหาร ชานม เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา ช่วยฆ่าเวลาและเงินในกระเป๋าดีนักแล ถ้าไม่ติดว่าไปปีนเขาต่อคิดว่าน่าจะคลอดลูกกระเป๋ามันที่นี่แหละ
หลังจากเดินเล่น ช้อปปิ้งเสร็จ เรานั่งรถไฟกลับมาต่อไฟลท์ Domestic เพื่อไปโคตาคินาบาลู ถึงสนามบินโคตาคินาบาลูประมาณ 16.30น.ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ พอเจอเพื่อนร่วมทริปครบ ก็เดินไปติดต่อแท็กซี่สนามบินที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินและให้เค้าออกใบเสร็จให้เราเดินไปยื่นให้กับคนขับแท็กซี่ที่รออยู่ด้านนอก ค่าโดยสารคือ 30 ริงกิต หากเดินทางไปคนเดียวหรือต้องการค่าโดยสารที่ถูกกว่านี้สามารถใช้ Grab หรือรถบัสได้ โดยรถบัสค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณคนละ 5 ริงกิต
คืนแรกนอนเอาแรงกันที่ที่พักที่จองไว้ โดยเราจองเป็นอพาร์ทเม้นสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่นในราคา 235 ริงกิตตกคนละ 480 บาทต่อคืน แต่อพาร์ทเม้นนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่คืนแรกเราคิดว่าเราต้องการพักผ่อนสำหรับทริปในวันรุ่งขึ้นเราเลยโอเคที่จะพักที่นี่ ก่อนนอนเราจัดการแยกสัมภาระที่จะขึ้นเขา โดยแบ่งกระเป๋าสองใบขึ้นเขา สองใบฝากไว้ด้านล่าง โดยใบที่ขึ้นเขาเราตกลงที่จะจ้างลูกหาบในราคากิโลกรัมละ 13 ริงกิตทั้งไปและกลับ ส่วนใบที่ฝากไว้ที่อุทยานจะเสียค่าใช้จ่ายใบละ 12 ริงกิต
กระทู้นี้ตั้งใจจะทำไดอารี่การเดินทางของตัวเองเก็บไว้และเพิ่งเขียนเป็นครั้งแรก ถ้าหากอ่านยากหรือมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอขอบคุณรูปบางส่วนจากพี่ที่ร่วมทริปทุกๆคนค่ะ
ฝากบล๊อกด้วยนะคะ จะเริ่มเขียนบันทึกการเดินทางเรื่อยๆค่ะ
https://vescapadeworld.tumblr.com/
#คินาบาลูอู้หูกูต้องรอด #กิ้งกือไดอารี่ #เมื่อกิ้งกือชีพจรลงเท้า
“ สงกรานต์ปีหน้าว่างมั้ย ไปขึ้นคินาบาลูกัน ?” ประโยคง่ายๆที่ทำให้ต่อมความอยากเที่ยวที่มีเยอะอยู่แล้วสั่นระริกระริก พร้อมกับตัดสินใจกดตั๋วเครื่องบินในช่วงสงกรานต์เพื่อไปโคตาคินาบาลูนานข้ามปี
คินาบาลูเคยได้ยินแต่ชื่อ ได้ยลเรื่องราวก็หลายหน แต่ไม่เคยสัมผัสสักที ปีนี้แหละจะเป็นปีของเรา
เราไม่เคยมีข้อมูลเรื่องการปีน หรือการติดต่อเอเย่นต์เพื่อจองขึ้นเขามาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามันจะจองยากขนาดนี้ โดยที่เราจองล่วงหน้าเกือบหนึ่งปี โดยจองในช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยปกติจะต้องจองทริปให้ได้วันก่อนแล้วค่อยมาจองตั๋วเครื่องบิน แต่เราดันทำกลับกัน เพราะฉะนั้นเมื่อได้ตั๋วมาแล้วเราก็ต้องหาเอเย่นต์เจ้าที่มีที่ว่างในวันที่เราต้องการพาเราขึ้นเขาให้ได้ เราหว่านอีเมลล์ถามเอเย่นต์ทัวร์ประมาณสิบกว่าเจ้าเพื่อจองขึ้นเขา 4 คนในวันที่ 13-15 เมษายน อีเมลล์เด้งกลับมาแต่ละทีนี่หัวใจจะวายเพราะอีเมลล์แจ้งกลับมาแต่ว่า Sorry dear , we are fully booked on that date T-T ชั้นจะอดขึ้นจริงๆหรอเนี่ย แต่ในที่สุด พระเจ้าก็เห็นใจเรามีเอเย่นต์เจ้าหนึ่งชื่อว่า River Junkie บอกว่ามีที่ว่างพอดีสำหรับแพกเกจ 3D2N 4คน กรี๊ดดๆๆๆๆ ดีใจมากๆ โดยราคาค่าทริปตกคนละประมาณ 1715 ริงกิตยังไม่รวมภาษี 6% และค่า ภาษีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ริงกิตต่อคนต่อคืน ค่าทริปนี้เราตกคนละ 1817.9 ริงกิต ค่าทริปถ้าไปคนเดียวจะยิ่งแพงเนื่องจากเค้ารวมค่าไกด์ท้องถิ่นเข้าไปด้วย ถ้าในกลุ่มมีคนมากก็จะเฉลี่ยค่าไกด์กันทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง
*หลังจากได้เดินไปคุยเล่นกับเอเย่นต์มาตอนอยู่คินาบาลู เอเย่นต์แนะนำว่าเนื่องจากราคาค่าทริปจะขึ้นราคาทุกปี โดยราคาจะขึ้นทุกๆเดือนเมษายนตามประกาศจากทางอุทยาน หากใครจะจองก็ให้จองไปก่อนในช่วงกุมภาพันธ์หรือมีนาคมเพื่อป้องกันการขึ้นราคา ซึ่งราคาจะขึ้นประมาณ 20% ในทุกๆปี
** 1 ริงกิตเท่ากับ 8 บาท
ก่อนไปสารภาพเลยว่าคิดจะออกกำลังกายโดยการวิ่งเพื่อฝึกความอึดและ Squat ไปแต่พอเอาเข้าจริงแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ Squat วันละ 200 ครั้งล่วงหน้าสองอาทิตย์เท่านั้น
ทริปนี้เรามีกัน 4 คน โดยที่ต่างคนต่างเดินทางและไปเจอกันที่คินาบาลูจุดเริ่มต้นของทริปนี้
เราออกเดินทางวันที่ 12 เมษายน โดยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ไปยังสนามบินกัวลาลัมเปอร์เพื่อรอต่อเครื่องไปยังสนามบินโคตาคินาบาลู โดยเริ่มเดินทาง 6.00 น. ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์เวลา 09.00 น. ระหว่างรอต่อเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมงก็ได้ออกมาจาก KKIA1 ซึ่งเป็น Terminal เก่าสำหรับสายการบินประจำชาติต่างๆ มานั่งรถไฟไปยัง KKIA2ซึ่งเป็น Terminal ใหม่สำหรับสายการบิน Lowcost เพื่อเดินเล่น ช้อปปิ้งฆ่าเวลา การเดินทางระหว่าง Terminal สามารถลงมาชั้นล่างสุดเพื่อนั่งรถไฟได้ โดยเสียค่าโดยสารเที่ยวละ 2 ริงกิตต่อคน
สำหรับคนที่มารอต่อเครื่องเพื่อไปประเทศอื่นเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมง และอาจจะออกไปนอกเมืองไม่ทัน เราแนะนำให้มาเดินเล่นที่ KKIA2 ซึ่งเหมือนห้างย่อมๆ มีทุกอย่าง ร้านอาหาร ชานม เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา ช่วยฆ่าเวลาและเงินในกระเป๋าดีนักแล ถ้าไม่ติดว่าไปปีนเขาต่อคิดว่าน่าจะคลอดลูกกระเป๋ามันที่นี่แหละ
หลังจากเดินเล่น ช้อปปิ้งเสร็จ เรานั่งรถไฟกลับมาต่อไฟลท์ Domestic เพื่อไปโคตาคินาบาลู ถึงสนามบินโคตาคินาบาลูประมาณ 16.30น.ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ พอเจอเพื่อนร่วมทริปครบ ก็เดินไปติดต่อแท็กซี่สนามบินที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินและให้เค้าออกใบเสร็จให้เราเดินไปยื่นให้กับคนขับแท็กซี่ที่รออยู่ด้านนอก ค่าโดยสารคือ 30 ริงกิต หากเดินทางไปคนเดียวหรือต้องการค่าโดยสารที่ถูกกว่านี้สามารถใช้ Grab หรือรถบัสได้ โดยรถบัสค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณคนละ 5 ริงกิต
คืนแรกนอนเอาแรงกันที่ที่พักที่จองไว้ โดยเราจองเป็นอพาร์ทเม้นสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่นในราคา 235 ริงกิตตกคนละ 480 บาทต่อคืน แต่อพาร์ทเม้นนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่คืนแรกเราคิดว่าเราต้องการพักผ่อนสำหรับทริปในวันรุ่งขึ้นเราเลยโอเคที่จะพักที่นี่ ก่อนนอนเราจัดการแยกสัมภาระที่จะขึ้นเขา โดยแบ่งกระเป๋าสองใบขึ้นเขา สองใบฝากไว้ด้านล่าง โดยใบที่ขึ้นเขาเราตกลงที่จะจ้างลูกหาบในราคากิโลกรัมละ 13 ริงกิตทั้งไปและกลับ ส่วนใบที่ฝากไว้ที่อุทยานจะเสียค่าใช้จ่ายใบละ 12 ริงกิต
กระทู้นี้ตั้งใจจะทำไดอารี่การเดินทางของตัวเองเก็บไว้และเพิ่งเขียนเป็นครั้งแรก ถ้าหากอ่านยากหรือมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอขอบคุณรูปบางส่วนจากพี่ที่ร่วมทริปทุกๆคนค่ะ
ฝากบล๊อกด้วยนะคะ จะเริ่มเขียนบันทึกการเดินทางเรื่อยๆค่ะ
https://vescapadeworld.tumblr.com/