รวม ... 20 วิธีท่อง Vocabulary อย่างไร ให้ไม่ลืมและใช้เป็น



เรื่องการท่องคำศัพท์เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของการใช้ภาษาอังกฤษเลยนะครับ
ใครเคยเป็นบ้าง ใช้คำผิด จะบอกอย่างหนึ่ง แปลได้อีกอย่างหนึ่ง 55555
นึกศัพท์ไม่ออก อ้าปากค้างอยู่ 5 นาทีจนฝรั่งต้องช่วย
ออกเสียงเพี้ยน ก็งงว่าทำไมคนฟังไม่เข้าใจ … ออกเสียงไม่ถูกนี่เอง

สำหรับคนเรียนภาษาอังกฤษถ้าอยากหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ควรจะมีวิธีที่ดี แม่นยำ และถูกต้อง ในการช่วยท่องจำ มิฉะนั้นเสียเวลาท่องตั้งนาน… จำไม่ได้ อุตส่าห์ท่องตั้งนาน เจออีกทีต้องกลับมาเปิดหาใหม่

ผมเลยมิวิธีที่ผมใช้ ลองมาเล่าสู่กันฟัง แต่ผมรับประกันใช้ได้ดีมากๆแน่นอน หัวเราะ


1. ฝึกโดยการใช้ไทยคำอังกฤษคำ
คนที่บอกว่าการพูดไทยคำอังกฤษคำมันตลกเนี่ย เชยไปแล้ว

ถ้าเราอยากจะเข้าใจ vocabulary ต้องเริ่มต้นจากความหมาย ไม่ใช่ตัวสะกด !
การที่เราลองใส่ vocabulary ที่เราต้องการท่องจำลงไปในประโยคภาษาไทยจะช่วยให้เราเห็นภาพและบริบทของคำที่เราต้องการท่องจำ  

ลองสังเกตดูว่าในชีวิตประจำวันเรามีคำที่พูดทับศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่แล้วเช่น ก๊อปปี้ (copy) , ช๊อปปิ้ง (shopping), เซ็นเซอร์ (censor) , etc เรามักไม่ค่อยลืมความหมายของคำเหล่านี้ เพราะการพูดทับศัพท์จะช่วยให้เราเข้าใจความหมายได้ดี
คราวนี้ลองแทนที่คำทั่วไปด้วยศัพท์ที่เรายังไม่รู้จักบ้าง เช่น

พาสปอร์ตเข้าประเทศของฉันโดนดีไนน์ (deny) เลยต้องพักอยู่ที่แอร์พอร์ตชั่วคราว

My passport was denied so I had to stay at the terminal for awhile.

วิธีนี้นอกจากช่วยให้จำคำศัพท์ได้แล้ว ยังทำให้เราใช้กับบริบทได้ถูกต้องด้วย

2. อย่าเพิ่งเริ่มต้นท่องจำคำศัพท์ยาก ถ้าหากคุณยังไม่เก่งพอ

การท่องจำศัพท์ให้ได้เยอะๆเป็นเรื่องดี แต่คุณรู้หรือไม่ในชีวิตจริงเราต้องการมีขนาดคลังคำศัพท์แค่ประมาณ 1,500 คำเพื่อมีชีวิตรอด
ซึ่งถ้าเราใช้คำเหล่านี้ได้ถูก grammar , part of speech, tense ฝรั่งก็ปลื้มเรามากแล้ว

ทุกวันนี้บางคนอาจเริ่มต้นท่องศัพท์โดยใช้พจนานุกรม หรือ หนังสือศัพท์ 3,000 คำซึ่งข้อมูลปริมาณมากขนาดนี้ นอกจากจะจำไม่ได้ทั้งหมดแล้ว คุณอาจเสียเวลาจำศัพท์จำนวนมากที่ฝรั่งก็มักไม่ใช้ ทำให้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ไม่คล่องเท่าที่ควร

พักพวกคำแบบ jaggernaut ,sociability ไว้ก่อน เพราะเราไม่ค่อยพบเจอมันยกเว้นในข้อสอบ SAT

3. เอา Vocabulary ไปแต่งประโยคดูซิ

จุดประสงค์จริงๆของการท่องศัพท์ไม่ใช่ ให้ได้จำนวนเยอะ แต่เป็นการที่เราสามารถอ่าน เข้าใจความหมาย  , นำมาพูดหรือเขียนแต่งประโยค ,ฟังแล้วเข้าใจ มากกว่า

ตามการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันที่ประกอบไปด้วย Reading , Writing , Listening and Speaking

ดังนั้นหลังจากที่เราท่องศัพท์เราลองเอาคำนั้นมาใช้แต่งประโยคดู
คำแต่ละคำมีวิธีการใช้ อารมณ์ และ part of speech ไม่เหมือนกัน ถ้าคุณไม่ลองนำมาใช้แต่งประโยคคุณจะรู้จักคำๆนั้นแค่ผิวเผิน

เช่น

When I read a book , I need concentration.
ตอนฉันอ่านหนังสือ ฉันต้องการสมาธิ

When I read a book , I need to be concentrated.
ตอนฉันอ่านหนังสือ ฉันต้องตั้งสมาธิ

When I read a book , I concentrate.
ตอนฉันอ่านหนังสือ ฉันตั้งสมาธิ

เราดูคร่าวๆอาจเห็นว่ามันเหมือนกันแต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย
เราต้องดูความหมายของคำให้ดีว่ามันใช้อย่างไร ถ้าไปวางผิดที่จะทำให้ผู้ฟังงงได้

4. เรียนรู้จากการฟัง

การเรียนรู้แบบท่องศัพท์เป็นหมวดๆ เรียงตามตัวอักษรอาจเชยไปแล้ว เพราะจริงอยู่เราอาจได้ศัพท์จำนวนมาก แต่เราจะไม่เข้าใจความหมายของคำ

วิธีที่ผมแนะนำจึงเป็นการฟังหรือการอ่านจากบทความ แล้วจดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟัง เพราะถ้าเราฟังจากภาพยนตร์หรือซีรี่ยส์ เราสามารถเข้าใจบริบทได้ทั้งจากประโยคและสีหน้าของผู้พูด

ในสมัยปัจจุบัน เราสามารถหาคลิปวิดิโอภาษาอังกฤษได้มากมาย ทั้งจาก youtube , channel , facebook , blogger ถ้าเราติดตามเป็นประจำจะได้เห็นการใช้ศัพท์ที่หลากหลาย ทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้รวดเร็วขึ้น  

ดังนั้นการฟังจึงเป็นวิธีที่ทั้งง่ายและสะดวกมากในการฝึกภาษาอังกฤษ


5. ท่องจาก phonetics

phonetics หมายถึงวิธีการออกเสียง ซึ่งในยแต่ละภาษาจะมีวิธีการออกที่แตกต่างกันไป

ผมได้วิธีนี้มาจาก polyglot คนหนึ่ง มีคนถามเขาว่าเขาใช้เทคนิคอย่างไรในการจำคำศัพท์ เขาแนะนำว่าวิธีหนึ่งคือจำโดยใช้คำที่ออกเสียงคล้ายๆกัน ตัวอัการหรือสระเดียวกัน เช่น

curve  แปลว่าเส้นโค้ง
love  แปลว่าความรัก
serve แปลว่าเสิร์ฟ หรือทำให้
herb แปลว่าสมุนไพร

เวลาที่ท่องเป็น list ถ้าเราจำได้คำหนึ่งเราจะจำศัพท์ที่เหลือใน list ได้ด้วย จึงเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยจำศัพท์ปริมาณมาก

6. ใช้คำตรงข้าม

อย่างที่ผมเน้นว่าความหมายเป็นสิ่งสำคัญในการจำคำศัพท์
การใช้คำตรงข้าม ที่เราจำได้ จะช่วยเป็นเหมือนคำใบ้ที่ช่วยเราในการท่องจำ

เช่น

single โสด , married แต่งงาน
continuous ต่อเนื่อง , pause หยุด
cruel โหดร้าย , kind ใจดี

เป็นต้น

7. เรียนรู้ Vocabulary จากบริบท

เวลาที่เราเจอศัพท์ที่ไม่เคยเห็นหน้า เราอาจต้องใช้วิธีเอาตัวรอดโดยการเดาจากบริบทหรือคำรอบข้าง เช่น

It's a good current to make a sail on stagnant water.

มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะแล่นเรือบนน้ำ......

ให้เดา ความหมายคืออ ติ๊ก ต่อก
ก็น่าจะเป็น น้ำนิ่งๆ ใช่ไหมครับ

ความหมายจาก oxford dictionary บอกไว้ว่า the state of things to having no current or flow

เราอาจต้องใช้ skill นี้บ่อยในข้อสอบ reading แต่เชื่อผมเถอะครับว่าคุณไม่อยากทำอย่างนั้น ถ้าไม่ได้สอบอะไรแนะนำว่าการใช้วิธีนี้จะช่วยให้คุณจำคำศัพท์ได้ดี ยิ่งถ้าจดไว้กลับมาดูใหม่ คุณจะจำได้ดีขึ้นมากๆ

8. เปลี่ยนสิ่งรอบตัวให้กลายเป็นคำศัพท์

ดังข้ออ้างยอดนิยมของคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษจะพูดว่า เพราะที่นี่คือประเทศไทย เลยไม่มีที่ ไม่มีโอกาสให้ฝึกภาษาอังกฤษ

ลองเปลี่ยนสิ่งรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษดูสิ !

เอา Vocabulary แปะตามสิ่งของ
เวลาพูดกับเพื่อน ลองคิดในใจเป็นประโยคภาษาอังกฤษ
อ่านการ์ตูน เป็นภาคภาษาอังกฤษ (ก่อนที่จะแปลไทย)
ดูหนัง soundtrack พากย์อังกฤษ
ฟังเพลงนักร้องภาษาอังกฤษ
อ่านเมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษ
เปิดช่องข่าวภาษาอังกฤษ
ตั้งค่า facebook ให้เป็นภาษาอังกฤษ
ตั้งค่าโทรศัพท์มือถือให้เป็ฯภาษาอังกฤษ
...
ในช่วงแรกอาจรู้สึกงงๆ นึกศัพท์ถูกไม่ถูก แต่เชื่อเถอะครับว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายมาก เพราะมันใช้แค่ความตั้งใจของเราเท่านั้นเอง ! ทำได้ทุกที่ทุกเวลา

ภาษาอังกฤษถ้าเราเอามาใช้กับชีวิตประจำวันได้ ตอนที่ใช้จริงภาษาอังกฤษเราจะพัฒนาขึ้นเร็วมาก


9. อ่าน BBC news , football channel

นี่เป็นวิธีที่ผมใช้จริง ฮ่าๆ
ผมมี lifestyle ที่ชอบดูฟุตบอล ผมจึงดูเป็นภาษาอังกฤษ และติดตามบทความเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นภาษาอังกฤษ
ใครที่มีงานอดิเรกแบบไหน ลองหา channel ที่เกี่ยวข้องดูนะครับ

เชื่อไหมครับแต่ละวงการจะมีวิธีการเขียนเล่าข่าวที่แตกต่างกันไป
ถ้าเป็นวงการฟุตบอลคำศัพท์จะกวนๆ และดูเว่อ
แต่ก็เป็นผลดีกับคนฝึกภาษาอังกฤษนะครับ ช่วงแรกๆผมวงคำศัพท์ที่ยังไม่รู้จัก (แต่รู้จักแต่ยังใช้ไม่เป็น) ไว้เยอะทีเดียว

พอจะเริ่มอ่านบทความภาษาอังกฤษ
จะอ่านที่ไร้สาระก็ไม่รู้อ่านทำไม
ลองเปิด Channel BBC ดู ทำให้ติดตามข่าวสารได้ทันโลก พูดรู้เรื่องกับชาวบ้านเขา 555 และภาษาของเขามีความทางการมาก
ทั้งการเรียงประโยคและการใช้คำศัพท์ ดูค่อนข้างเป็นผู้ดี
ใครที่ต้องการสอบภาษาอังกฤษ นี่เป็นการเขียนที่ดีเลยละครับ 🙂

10. เรียนรู้การใช้ Idioms
วิธีการใช้ศัพท์ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ
idioms เป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ขอพูดถึงไว้นิดหนึ่ง ถ้าใช้เป็นจะทำให้เป็นผู้พูดที่ดูดีขึ้นมากๆ

ตอนที่ผมฝึกใช้หนังสือ idioms in use ครับ เพราะผมเน้นจากการใช้งานก่อนเป็นหลัก ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็รวบรวมคำที่สำคัญๆไว้เยอะทีเดียว

ลองเรียงคำเป็นคำง่ายๆหรือ เรียงตามความหมายก่อนก็ได้ครับเช่น
drive someone up
rub someone in the wrong way
put someone back up
ทั้งหมดนี้แปลว่าทำให้โกรธ

ลองเรียงคำเป็นหมวดๆจะช่วยให้จำได้ดีขึ้น
ส่วนรายละเอียดที่ลึกซึ้งกว่านี้ ต้องติดตามกันต่อไปครับ 🙂

11. เลิกดูพจนานุกรมภาษาไทย

การใช้คำที่ดี ต้องใช้คำให้ถูกความหมายและถูกบริบท
การใช้พจนานุกรมแปลไทย จะให้ความหมายที่แคบ บางทีอ่านแล้วงงแล้วนำไปใช้ผิด
ขอแนะนำให้ใช้พจนานุกรม อังกฤษแปลอังกฤษแทนครับ จะเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้นเยอะเลย

12. ท่องศัพท์จากความรู้สึก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากเหมือนกัน แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะเรียนภาษาอังกฤษง่ายขึ้นมากๆครับ
เพราะภาษาเนี่ยเกิดมาเพื่อแทนความหมายของความรู้สึก
ถ้าเราจำความรู้สึกของการใช้คำได้ จะทำให้เราเชื่อมต่อความหมายของคำกับบริบทได้ดีเลย
ยกตัวอย่างเช่น
1 bully แปลว่าการแกล้ง ให้ความรู้สึกทารุน กลั่นแกล้ง ที่ทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บปวด
เรามักเห็นใน context ของ social bullying , teenage bullying เป็นต้น
2 play แปลว่าการแกล้ง แต่ให้อารมณ์หยอกล้อ ไม่จริงจัง ทำเพื่อความสนุก ผู้ถูกกระทำรู้สึกตลกด้วย ไม่รุนแรง
After I know the way you lie, I barely believe you played me without a reason.
3. screw up แปลว่าการแกล้ง แกล้งจนหัวปั่น รู้สึกรำคาญ (ภาษาเป็นกันเอง)
At the party someone let she in , then suddenly I was screwed up. I could not be at ease .

(ปล ใน context นี้คำเป็นการยกตัวอย่างเพียงความหมายเดียวของคำเท่านั้น)

เดี๋ยวมาต่อนะครับ พิมพ์จนเมื่อยนิ้วเลย หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่