เที่ยวใต้ถึง เบตง สไตล์โนแพลน

วันก่อนครับคุณ
วันที่สิบสองเมษายน
อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไหนไกลๆขึ้นมา
ไอ้ชีวิตนี้เคยไปที่ไหนด้วยตัวเองไกลสุดก็แค่เซเว่นหน้าปากซอย
แต่บอสให้หยุดตั้งครึ่งวัน แถมยังหยุดต่อเนื่องไปอีกตั้งสี่วัน
หลังจากที่เคยพร่ำบอกกับตัวเองว่าเอาไว้วันหลัง ประมาณสี่ร้อยเจ็ดสิบแปดครั้งได้
ก็เลยจัดแจงจัดกระเป๋าแบบลวกๆ ด้วยกลัวว่าถ้าจัดนานเดี๋ยวจะเปลี่ยนใจ
ก่อนจะโดดขึ้นแทกซี่เขียวเหลือง ไปตั้งหลักที่หัวลำโพง
คุณลุงคนขับเหลือบมองกระจกหลัง
เห็นชุดและกระเป๋า ก็เข้าใจไปว่าได้รับนักเดินทางผู้กร้านโลกขึ้นมาเสียแล้ว
แหมคุณลุง จะขึ้นเหนือหรือลงใต้ จะตะวันออก หรือตะวันตก ผมยังไม่รู้เลย
คุณลุงหัวเราะตัวโยน ก่อนจะเงียบไปสักพัก หันมามองหน้าอีกที
แล้วก็เข้าใจจนได้ว่าไอ้บ้านี่พูดจริง
เลยแนะนำให้ไปทางใต้ สวยงาม ค่าใช้จ่ายไม่แพง คนนครฯอย่างแกรับประกัน


อย่าโฟกัสกางเกงใน


ถึงหัวลำโพง ห้าโมงหน่อยๆ ตัดสินใจ ใต้ก็ใต้
บอกคุณลุงหลังเคาน์เตอร์ เอาตั๋วไปเบตงใบนึงฮะ
คุณลุงไม่ได้พูดอะไร ถอนหายใจเบาๆ
แล้วอธิบายอย่างใจเย็น ว่าใต้สุดตอนนี้เหลือแค่ตั๋วไปนครศรีธรรมราช
แถมรถไฟก็ไม่มีไปถึงเบตงด้วย(โว้ย)
เลยได้ตั๋วไปนครฯมาหนึ่งใบ ค่าเสียหาย สองร้อยแปดสิบสามบาทถ้วน
เป็นตั๋วชั้นสาม และเป็นตั๋วยืน ที่ตอนนั้นยังไม่ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของมันมากนัก
คนบนรถไม่เยอะเท่าที่จินตนาการไว้ ที่ว่าจะแน่นหนาอย่างรถไฟฟ้ามหานคร
อีกทั้งยังไม่เห็นคนยืนเลยซักคน เลยแอบไปนั่งตรงบันได ทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก่อนจะโดนไล่ตะเพิดในเวลาต่อมา
เดินมาเรื่อยๆทีละโบกี้ ก็เจอคุณป้าท่าทางใจดีในชุดเดรสลายดอกสีน้ำเงินชวนให้นั่งด้วย
ตรงข้ามเป็นหนุ่มใต้ท่าทางเรียบร้อย เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้
ก็หย่อนก้นนั่งหมิ่นๆเบาะด้วยความเกรงใจ
ไม่นานนัก พี่ชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำ ก็มาร่วมที่นั่งฝั่งตรงข้าม
พี่ชายคนนี้เอง ที่ภายหลังสามารถเรียกได้ว่า เป็นผู้ดีไซน์ทริปนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
พี่ชายรถเสียที่กรุงเทพ เลยต้องโดดขึ้นรถไฟอย่างกะทันหัน เพื่อให้ทันราชการที่ชายแดน จึงได้ตั๋วยืนเช่นเดียวกัน
และเป็นโชคดีอย่างเหลือเชื่อ ที่เจ้าของที่นั่งของเราสองคนไม่ปรากฎตัวตลอดการเดินทางสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช
พี่ชายคนนี้คือ 'ผู้หมวดณัฐ' (หรือนัท หรือนัด หรือณัด ก็ไม่อาจทราบได้)
ผู้หน้ามืดเซ็นมาประจำการที่ชายแดนใต้ เพราะเงินมันดีนัก
และด้วยเงินนี้เอง ที่ทำให้สามารถส่งลูกชายและสาวทั้งสามของแกจบหมอ และบัญชี จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทยได้
ผู้หมวดแนะนำเส้นทางไว้อย่างละเอียดมาก จนสมองอันเล็กจ้อยนี้ไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
จับใจความได้เพียงว่าให้ไปลงสุดสายแล้วต่อรถไฟเข้าตัวเมืองยะลา
แต่จำข้อความต่อจากนั้นไม่ได้ ทั้งที่ออกจะสำคัญแท้ๆ
อีกทั้งยังแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวในพื้นทีสุ่มเสี่ยงอยู่หลายอย่าง
ซึ่งไม่อาจปฏิบัติตามได้
เช่นว่า ที่ไหนเจ้าหน้าที่เยอะ ให้หลีกเลี่ยง (ทหารถือปืนกระบอกโตอยู่ทั่วไปหมด)
ที่ไหนคนเยอะ ให้หลีกเลี่ยง (ตัวเมืองยะลา และเบตงมีคนคึกคักกว่าแถวบ้านเสียอีก)
ที่ไหนขายหมู ให้หลีกเลี่ยง (ร้านสะดวกซื้อชื่อดังตัวเมืองยะลา ติดป้ายโฆษณาสปาเกตตี้คาโบนาร่าแฮมหมูอันเบ้อเริ่ม)


โฉมหน้ารถไฟสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช


วิวสองข้างทางส่วนใหญ่ไม่เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ก็จะเป็นสวน ทั้งต้นปาล์ม มะพร้าว มังคุด มะม่วง ฯลฯ


ชีวิตประจำวันคนกรุงคงไม่ได้เห็นวัวกันบ่อยๆ แต่สามารถพบได้ทั่วไปตลอดสองข้างทางขบวนรถไฟที่กำลังมุ่งลงใต้


เป็นเวลาเกือบสิบเจ็ดชั่วโมงที่นั่งหลังขดหลังแข็ง
กระดูกลั่นเป๊าะแป๊ะ ปลุกให้ตื่นแทบทุกชั่วโมง
และมีอาหารตกถึงท้องเพียง ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวสองกล่อง
อาหารที่คุณสามารถสั่งมาทานได้โดยไม่ต้องคิด เพราะมีอยู่เมนูเดียว
กับขนมหม้อแกงที่ผู้หมวดต่อราคาให้
(ผู้หมวดยกนิ้วขึ้นเป็นเชิงปราม เมื่อกำลังจะหยิบเงินขึ้นมาจ่าย จากสามถาดร้อย เลยได้เป็นสี่ถาดร้อย
แล้วก็ไม่เห็นคนขายเดินกลับมาแถวที่นั่งอีกเลย)
ในวันที่สิบสามเมษายน เวลาเที่ยงตรง แถมจากกำหนดการมาสองชั่วโมง
ก็มาถึงสถานีปลายทาง นครศรีธรรมราช จนได้
ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่สักคืน
แล้วค่อยไปหมู่บ้านคีรีวงที่ผู้หมวดกำชับหนักหนาว่าต้องไปให้ได้ ในวันรุ่งขึ้น
ออกจากสถานีก็พอดีมีพี่วินมอเตอร์ไซค์เสื้อกั๊กฟ้า คอยสแตนด์บายอยู่
เพียงยี่สิบบาท พี่วินพาไปดูคิวรถสองแถวที่จะพาไปหมู่บ้านคีรีวง
และยังพาไปส่งถึงโรงแรมไทยหลี ที่ค่าพักรายวันเพียง 160 บาทเท่านั้น
เปิดกระเป๋าแห้งๆออกดู มีแต่แบงค์ใหญ่อยู่สองสามใบ คุณป้าเจ้าของไม่มีทอนเลยให้ขึ้นไปพักก่อน
เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยของคนที่นั่งรถไฟชั้นสามมาเกินสิบชั่วโมง จะพุ่งเข้าห้องอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก
อาบน้ำ ทิ้งทุ่นระเบิด ที่เก็บไว้ในคลังแสงมานานเกินไปหน่อย
ขึ้นไปกลิ้งๆบนเตียงนุ่มๆ แล้วก็มานั่งชาร์จแบตมือถือ หาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหมู่บ้านคีรีวงนี้
ได้ความว่าถึงออกตอนนี้ก็ไปถึงทัน แถมมีเวลาเหลือเที่ยวเล่นได้ชิวๆอีก
เลยลงมาซื้อขนมเปี๋ยะเมืองตรัง (แต่ขายในนครฯ) แตกแบงค์ไปจ่ายคุณป้าเจ้าของ แล้วเชคเอาท์ออกเลย
คุณป้าคงเห็นว่าจะให้เด็กมันอาบน้ำราคาร้อยหกสิบก็ดูจะโหดร้ายเกินไป เลยรับไปเพียงแบงค์สีแดงหนึ่งใบ

  
โรงแรมไทยหลี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช

  
บรรยากาศในห้องดูเก่า ขลัง ลมเย็นพัดโกรกสบาย ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อนแม้เป็นห้องพัดลม

คิวรถสองแถวสู่หมู่บ้านคีรีวง อยู่ระหว่างสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช และโรงแรมไทยหลี


ออกจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชประมาณบ่ายโมงครึ่ง
ถึงเพชรคีรีโฮมสเตย์ในเวลาประมาณบ่ายสองเศษ เป็นโฮมสเตย์ในหมู่บ้านที่จองเอาไว้ตอนอยู่ที่โรงแรมไทยหลี
หมู่บ้านคีรีวงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ล้อมรอบด้วยคลองสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบ ชวนให้อยากกระโดดลงไปเล่นเดี๋ยวนั้น
แต่บ่ายสองยังเร็วเกินไปที่จะลงเล่นน้ำ อีกทั้งกิจกรรมเปียกๆควรจะเป็นกิจกรรมสุดท้ายของวัน
ที่พักเป็นเต๊นท์ที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย บนลานริมคลอง เรียงต่อกันนับได้หกหลัง
แต่ละหลังจะถูกจัดเป็นโซนเล็กๆของตัวเอง
มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ทั้งโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก พัดลม รวมไปถึงปลั๊กสามตา
ในเต๊นท์รองพื้นด้วยฟูกนิ่มๆสองชั้น ด้านในมีหมอนสีแดงและขาวดูนุ่มนิ่มวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่สี่ห้าใบ
จัดแจงวางกระเป๋า ยืดเส้นยืดสาย ข่มใจไม่ให้ลงไปนอนกลิ้งซึ่งอาจกินเวลาที่เหลือของวันไปทั้งหมด
รู้สึกร่างกายต้องการของอร่อย เลยเดินเลยที่พักไปไม่ไกล
ก็เจอเข้ากับร้านอาหารเล็กๆ ตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์โมเดิร์น ในชื่อ บ้านป้าเป็น
สงสัยที่มาของชื่อนิดหน่อย แต่ความหิวก็สลายความสงสัยนั้นไปหมดสิ้น
สั่งผัดซีอิ๊วทะเลมาในราคาเพียงห้าสิบบาท
ซึ่งรู้สึกว่าถูก สำหรับร้านอาหารที่ถูกออกแบบมาอย่างเก๋ไก๋ อีกทั้งยังตั้งตระหง่านอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวเช่นนี้
ผิดหวังกับกุ้งนิดหน่อย แต่ปลาหมึกสดๆก็ทำให้ให้อภัยได้
ซดโกโก้เย็นล้างคอ แล้วเตรียมพร้อมสู่การผจญภัย
เดินไปเรื่อยๆเจอเข้ากับร้านเช่าจักรยานในสนนราคาห้าสิบบาท
เลือกมาคันหนึ่งอย่างเร็วๆ หมายปั่นชมวิวรอบหมู่บ้าน
เสร็จแล้วจะไปแช่น้ำให้ชื่นใจ
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งในสี่ ต้องจอดพัก หอบลิ้นห้อยเป็นหมาเมาแดด
ด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างชัน และยางแบน และเบรคไม่ค่อยจะอยู่
อีกทั้งความเมื่อยล้าจากการนั่งรถไฟมาราธอน
ส่งผลให้กว่าจะปั่นครบรอบหมู่บ้าน ก็ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมง

ช่วงเย็นๆจะมีนักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ลงเล่นน้ำกันคึกคัก

คลองหน้าที่พักเป็นจุดอับนักท่องเที่ยว เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว

ที่พักมีทั้งแบบเต๊นท์และแบบบ้าน แบบเต๊นท์วิวสวยมาก และอุปกรณ์ครบครัน ทั้งฟูกนิ่มๆสองชั้น หมอนสี่ห้าใบ พัดลม โต๊ะญี่ปุ่น รวมไปถึงปลั๊กสามตา

ร้านป้าเป็น ร้านอาหารเล็กๆในหมู่บ้านคีรีวง


หลังจากคืนจักรยานพร้อมกับบ่นไปสองสามคำ ก็เดินกลับที่พัก
ด้วยเพราะที่พักอยู่ค่อนข้างไกล และด้วยความก๊องส่วนตัว ทำให้ต้องวนหาทางกลับอยู่สองรอบ
แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนไปถึง คลองหน้าที่พักเงียบมาก มีคนลอยคออยู่ไกลๆหนึ่งคนถ้วน
มุดเข้าเต๊นท์ สลัดชุดเดิมทิ้ง เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นสีดำ
พุ่งลงน้ำเย็นๆอย่างไม่รอช้า
หลังจากความยากลำบากทั้งหมดทั้งมวล ทุกอย่างก็ราวกับจะละลายหายไปพร้อมกับสายน้ำที่ไหลมาเอื่อยๆ
ค่อยเอนหลังลงบนก้อนหินกลมๆที่เบียดเสียดกันอยู่ใต้น้ำ หนุนคอลงบนก้อนหินใหญ่
ปล่อยให้สายน้ำเย็นชโลมผ่านตัวไป โดยมีแสงแดดอ่อนๆยามเย็นโลมไล้บนใบหน้า
ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้พักใหญ่ๆ มีคุณแม่ลูกสองมาพักที่เต๊นท์ข้างๆ ถัดออกไปสองหลัง
แล้วพาลูกสาวและลูกชายลงมาเล่นน้ำด้วยกันอยู่ไม่ไกลนัก
คุณแม่กับคุณลูกขึ้นไปแล้ว ก็มีเด็กกระเปี๊ยกสามคนแข่งกันกระโดดน้ำจากท่าน้ำไม้ไผ่เล็กๆ ด้วยท่าทางต่างๆกัน    
ครั้นเอากล้องไปถ่ายรูป เด็กๆก็บ้าจี้คิดท่าพิสดารขึ้นไปอีก ราวกับนักกีฬาโอลิมปิคที่ถูกจับจ้องจากกล้องที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
กระโดดกันจนหนำใจ ก็โดนท้าให้ว่ายน้ำแข่งกัน
ไอ้เราโดนเด็กท้า มีหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ
ว่ายท่าฟรีสไตล์ท่าเดียวที่รู้จัก พุ่งออกตัวเป็นคนแรก
แล้วก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป 6-0 แมตช์
สืบความได้ว่าเจ้าเด็กพวกนี้เป็นคนพื้นที่ ลงมาเล่นน้ำที่นี่แทบทุกวัน พิจารณาดูแล้วมิใช่มือสมัครเล่น ผลการแข่งจึงเป็นโมฆะ

เอนหลังลงบนก้อนหินกลมๆที่เบียดเสียดกัน ปล่อยให้สายน้ำเย็นชโลมผ่านตัวไป คือความผ่อนคลายอย่างที่สุด

หนูน้อย(ไม่มีหมวก)แดงถูกจับภาพโดยหมาป่า

เด็กๆท้องถิ่นมีความสุขกับการได้คิดท่าใหม่ๆในการกระโดดน้ำ

แสงแดดส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับดั่งแสงที่เฉิดฉายจากอัญมณีล้ำค่า


หกโมงครึ่ง แสงอาทิตย์เริ่มลับหายจากขอบฟ้า
เป็นสัญญาณแห่งการลาจาก
ขึ้นฝั่งไปอาบน้ำล้างตัวในห้องน้ำรวม ฝั่งตรงข้ามของถนน
ห้องน้ำที่สะอาดเกินไปสำหรับห้องน้ำรวม บอกถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของ
เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อมัดย้อมสีครามกับกางเกงขายาวตัวบาง ที่เพิ่งซื้อมาระหว่างขี่จักรยานทัวร์หมู่บ้าน
กลับมาถึงเต๊นท์ คุณพ่อของคุณลูกสองคนที่เล่นน้ำก่อนหน้านี้กลับมาถึงพร้อมกับกุ้ง ปู ปลามากมาย
หมายจะมาปิ้งย่างกินกัน ด้วยเตาย่างบาร์บีคิวของที่พัก
ก็เลยถูกชักชวนให้ไปร่วมวงด้วย และถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อการมีส่วนร่วมทางการเงิน
ดื่มเบียร์เย็นๆไปกระป๋องครึ่ง (เตะหกไปครึ่งกระป๋อง) ก็เคลิ้มๆพร้อมเข้านอน
เตรียมพร้อมเดินทางสู่เบตงในวันถัดไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่