ทริปยุโรป ว่าจะไม่ แต่ก็พัง

สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้มีโอกาสมาเขียนกระทู้อีกครั้ง หลังจากที่เคยตั้งกระทู้การแต่งงานเเละเรื่องวุ่นๆเมื่อนานมาเเล้ว มาคราวนี้ได้กลับมาปักหลักอยู่ที่ลอนดอนเป็นที่เรียบร้อย ขอบคุณทุกข้อความและการสนับสนุนในทุกทางที่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นมาได้ด้วยดีนะคะ

กระทู้วันนี้คงจะไม่ได้รีวิวเรื่องการเดินทางกินอยู่อย่างละเอียดแต่จะขอเป็นเล่าประสบการณ์สนุกๆ ส่งต่อความบันเทิงสำหรับคนที่กำลังวางแผนจะมาเที่ยวหรืออยากมาเที่ยวฝั่งยุโรปกันค่ะ

หลังจากวางแผนเที่ยวกับเพื่อนมากันข้ามปี ก็ถึงเวลาที่ได้เดินทางสักที เพราะไปบังคับขู่เข็ญให้มาเที่ยวยุโรปแทนที่เค้าจะไปนิวยอร์กกัน  แต่ยังไม่ทันได้เที่ยวก็พังแผนเพื่อนเพราะเจอตั๋วเครื่องบินถูกเลยตัดสินใจทิ้งเพื่อนไว้กลางทางให้ไปต่อกันเอง 5555 ทริปนี้เริ่มจากที่นัดไปเจอเพื่อนที่ปารีสเมืองโจรแล้วต่อด้วยสวิสเซอร์เเลนด์ประเทศที่น้ำก็อกสะอาดกว่าน้ำขวด มิลานเมืองแฟชั่นวีค จบที่เวนิสสหคลอง และทิ้งเพื่อนให้ไปเผชิญฟลอเลนซ์และโรมอย่างกันสองคนอย่างเลือดเย็น

ปารีส โคตรเซอร์ไพรส์
เคยได้ยินแต่คำเล่าขานถึงความเน่าหนอนของเมืองปารีส ทั้งสกปรก โจรชุม เหม็นฉี่ เลยไม่มีความคาดหวังอะไรให้กับที่นี่เลย เราเลยเลือกนั่งรถไฟ Eurostar รอบเย็นจากลอนดอนไปถึงปารีสประมาณสามทุ่ม กะว่าไปเดินดูหอเหล็กไอเฟลตอนกลางคืนชักภาพชิคๆก็พอ  Airbnb ที่จองไว้อยู่ใกล้สถานีรถไฟ République น่าจะเป็นเขต 3 ของปารีส เป็นย่านผับบาร์ ร้านชิว ร้านกาแฟชิคๆตามสไตล์คนโลคอลในปารีส มีร้านอาหารให้เลือกเต็มสองข้างทาง ใครคิดว่ามาปารีสจะมีแต่มาเดินแทะบาเก็ทสวยๆ ตัวเลือกอย่างร้านเคบับมีให้เห็นทุกมุม ดีที่ข้างโรงเเรมมีร้านอาหารอินโดชื่อ Djawa République ที่เด็ดมากอยุ่ข้างๆ เลยได้ฝากท้องแก้เลี่ยนกับแกงแดงเนื้อและหมี่โกเล็งราดหอมเจียวพูนๆที่โคตรดี


รูปจาก Airbnb นะคะของจริงไม่ได้ถ่ายไว้

ช่วงที่ไปมีการปิดปรับปรุงพื้นที่รอบๆหอไอเฟลพอดี เลยไม่มีภาพนั่งใต้หอเกร๋ๆไว้ได้เลย แต่ผิดคาดตรงที่ปารีสในยามค่ำคืนกลับสวยเเละมีเสน่ห์มากมาย และก็ไม่ได้น่ากลัวสมคำล่ำลือ หากเทียบกับลอนดอนแล้วถือว่าดูสงบเสงี่ยมใกล้เคียงกัน คนขายของสองข้างทางเหมือนแค่มายืนหาเพื่อนคุยไม่ได้ยัดเยียดของให้หรือเดินตาม ช่างเป็นสุภาพชน จนต้องเอามือทาบอกซ้าย อ้าปากค้างเมื่อเทียบกับโรม คืนแรกของปารีสผ่านไปอย่างเอื้ออาทรเนื่องจากเพื่อนสาวคนเดียวกันเคยถูกล้วงมือถือเมื่อ 4 ปีก่อนมารอบนี้เลยแปลกใจกับความซอฟใสของปารีสไปเลย หลังส่งเพื่อนเข้านอนเราเลยไปนั่งชิวได้อีกพักใหญ่เพราะร้านอาหารกึ่งบาร์เเถวๆที่พักมีเต็มไปหมดเเละเปิดกันถึงดึก นั่งดูชาวปารีเซียงในยามค่ำคืนก็เพลินไปอีกแบบนะออเจ้า


หอไอเฟลยามค่ำคืน ได้ดูตอนเค้าเปิดไฟวิบๆพอดี





เช้าวันใหม่ปารีสจัดแสงแดดให้เราได้ถ่ายรูปสวยๆไว้ได้เยอะมาก ปารีสเป็นเมืองที่โคตรโรเเมนติกตามฉบับเมืองของยุโรป มีเเม่น้ำแซนคั่นกลาง ตึกรามบ้านช่องสวยงามตามท้องเรื่องของประเทศที่เคยเจริญถึงขีดสุดในทุกด้าน สถาปัตยกรรมใหญ่โตบ่งบอกที่มาว่าข้าเคยแกรนด์แบบมีรสนิยม ไม่ใช่สักเเต่เอาว่าใหญ่  ไม่เเปลกใจทำไมคนฝรั่งเศสถึงมีความแอโรแก้นท์สูงปรี๊ดเพราะประวัติศาสตร์บ้านเมืองมันหล่อหลอมอีโก้เค้าขึ้นมาไปทุกยุคทุกสมัย ปารีสเป็นเมืองที่เดินดูเมืองได้ทั้งวันแบบไม่เบื่อเลย อาจจะโชคดีที่แดดดี เดินตะเเคงข้ามมุมเมืองกินวิวสองทางโดยไม่ต้องกังวลถึงโจรขโมยอย่างที่คิดไว้ แถมบ้านเมืองก็ยังสะอาด คนใช้รถใช้ถนนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย Homeless น้อยมากในย่านนักท่องเที่ยว จนไปสะดุดสายตาพี่ทหารกล้ามทองเดินลาดตระเวนแบกปืนพกกระบองพร้อมกัน 3 -4 คน นี่อาจจะทำให้ปัญหาอาชกรรมโจรขโมยของลดน้อยลง จนถึงกับต้องร้องอ๋อว่าปารีสเค้าพัฒนาแล้วนะจ๊ะ อาจจะต้องเชิญผู้ใหญ่เมืองไทยมาดูงานเพราะที่นี่เค้าก็ให้งานทหารเหมือนอย่างบ้านเราเป๊ะ  


เรามาพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์กันแต่เเช้า ได้เก็บบรรยากาศสวยๆโล่งๆของพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์มากมายและใหญ่โตที่สุดในโลกแห่งนี้ เนื่องจากมีเวลาน้อยเลยอดเข้าไปเยี่ยมคุณโมนาลิซ่าตัวเป็นๆข้างใน ได้เเต่เดินให้แดดเลียหายหนาวดูคนอื่นเค้าโพสท่าถ่ายรูป หากคนที่ไม่ได้จองตั๋วเข้ามาสามารถต่อแถวเเยกเพื่อลงไปชั้นล่างได้ เพราะมีร้านขายของร้านกาแฟหรือไปถ่ายรูปกับ The Inverse Pyramid ที่เป็นพีระมิดกลับหัวแบบชิคๆทำเหมือนเสียตังค์เข้ามาดูงานศิลปะข้างในจริงๆ


มุมสวยๆตอนเช้าเเบบไม่ติดภาพเรียลิตี้


The Inverse Pyramid


พี่ทหารถือปูน แบกปืน ไปโบกตึก


มุมนี้ก็ก็อปเค้ามา เรียกว่า Reference

เสียงเล่าลือถึงความอันตรายของรถไฟใต้ดิน คงได้แต่เป็นเพียงอดีตไปแล้วสำหรับรถไฟเมโทรที่ใครๆ โดนกระชากลากกระเป๋าหรือเหม็นฉี่นั้น ก็มีเพียงแค่บางมุมบางหลืบเท่านั้นที่เดินใต้ลมก็อาจจะได้กลิ่นบ้าง อาจจะเป็นเพราะสถานีและรถไฟที่เก่าโทรมเลยไม่ได้ดูสะอาดแบบของที่ลอนดอนแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด  สถานีถือว่ามีถี่กว่าที่ลอนดอน แต่จะเปลี่ยนสายทีเดินไกลเหลือเกิน ถ้าอากาสดีๆ เดินข้างบนชมวิวคงจะดีกว่า homeless มีให้เห็นบางๆ อยู่กันอย่างเงียบๆนอนให้แดดแทะกันอย่างเอ็นจอย ช่างเป็น homeless ที่มีความสุขเหลือเกินแถมมีมารเก็ตติ้งการหาเงินสุดชิคแตกต่างเฉพาะตัว จนรู้สึกอยากให้เงินเพราะความคิดสร้างสรรค์ไปเลย


มื้อกลางวันขอไปโดนของดีตามลางเเทงที่ใครมาปารีสก็อยากลิ้มลองที่ La Maison de la Truffe ร้านทรัฟเฟิลเรียบหรูดูแพงตามสไตล์ปารีเซียง สำหรับเราที่เป็นไฮโซโซเชี่ยวก็ไม่ทำเสียชื่อ มา 4 คนเลยสั่งแค่ 2 จานแก้เขินเพราะราคาทำให้อิ่มไปเเล้วครึ่งท้อง แต่มาเเล้วก็ลองหน่อยเพราะถูกกว่าที่ไทย อาหารรสชาติดีผิดที่ลิ้นเราไม่ถึงและกระเพราะที่ค่อนข้างกลวงโบ๋เพราะเดินมาค่อนวัน สำหรับพาสต้าทรัฟเฟิลบางๆสองจาน กับอัลลิมิเต็ดขนมปังที่เคี้ยวกันจนปวดกราม ราคาไม่ได้น่าใจหายอย่างที่คิด แต่ทริปนี้ยังอีกยาวไกลจะมาหมดเนื้อหมดตัวตอนนี้ก็เร็วไปซักหน่อย เพราะศึกใหญ่รอเราอยุ่ที่สวิสเซอรเเลนด์โพ้น


เราเดินเล่นเก็บสถานที่สำคัญๆอย่างมหาวิหาร Notre Dam ในตอนบ่ายเเก่ๆ คนค่อนข้างเยอะมากมุมถ่ายรูปเลยหาเเทบจะไม่ได้ เพื่อนสาวเคยมาโยนเหรียญของหนุ่มที่เคยหมายใจไว้เมื่อ 4 ก่อนตรงกิโลเมตรที่ 0 ของปารีสกลับไปเลยได้กันสมใจวันนี้เลยได้กลับมาเที่ยวปารีสด้วยกัน พร้อมเเบกเหรียญของบรรดาเพื่อนพ้องญาติพี่น้องที่ไม่เคยมาปารีสแต่ฝากกันมาโยน วิธีไสยศาสตร์บางๆสำหรับคนที่อยากมาเที่ยวปารีส เรายืนกันตรงนั้นโล่งๆอยู่สักพักกำลังจะเริ่มถ่ายรูป แต่ดันมาเจอกรุ๊ปทัวร์ 20 กว่าคนที่เดินมารุมอยู่ที่จุดเดียวกัน เสมือนเพื่อนอิฉันเป็นลมฝุ่นละอองที่มองไม่เห็นเเละพากันมายืนเบียดบังจุดกิโลเมตรที่รักของเราเเละถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานจนเราต้องถอยทัพ 4 คนออกมาตั้งหลักใหม่ ใครว่าโลกนี้มีเเต่ไทยมุง ฝรั่งมุงอย่างเยอะเลยออเจ้า


รอพี่ท่านถ่ายรูปกันจนเมื่อย


Montmartre โบสถ์สีขาวที่ตั้งบนยอดเขา ได้เห็นวิวทั้งปารีส


ปารีสยามเย็น กับความมีสไตล์ในทุกๆเรื่อง

สิ้นสุดวันแบบใสๆด้วยการไปดูพระอาทิตย์ตกที่หน้าพิพัฒณ์ลูพ ที่สวยบาดใจกับท้องฟ้าอมชมพู แถมคนไม่เยอะเท่าตอนกลางวันเป็นการจบทัวร์ชะโงก 30 กว่าชั่วโมงในปารีสอย่างน่าประทับใจ ขอกด Big Like ให้กับปารีสที่แก้คำสบประมาทในใจเราได้อย่างสวยงามและอยากกลับมาอีกแน่นอนกับคำสัญญาของสามีว่าถ้าผอมจะพามาถ่ายรูปแต่งงานอีกครั้ง หวังว่าชาตินี้เราคงได้เจอกันอีกนะปารีส




เช้าวันใหม่ไก่โห่ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟไปสวิสเซอร์แลนด์ หากใครไม่ได้เช่ารถเที่ยว ทางเลือกอย่างรถไฟก็จัดวิวสวยๆสองข้างให้เหมือนกัน เเถมไม่เหนื่อยล้าพะวงหน้าหลังกับกล้องจับความเร็วอีกด้วยเพราะอีนี่เคยโดนที่โรมไป 240 ยูโรเเละยังจำวินทีที่โดนกล้องเเชะได้อย่างเเม่นยำ จุดหมายปลายทางที่เรามาสวิสเซอร์เเลนด์อยุ่ที่เมือง Grindelwald โดยที่เราต้องเเวะเปลี่ยนรถไฟกันที่เมือง Basel

สวิสเซอร์เเลนด์ ดินแดนสวรรค์บนดิน

ใครๆก็รู้กันถึงความแพง แกรดน์เนเชอร์ สำหรับประเทศนี้ที่ขายนาฬิกาแพงที่สุดในโลก เเต่แค่ไม่รู้ว่าคนที่นี่เค้าให้ยืมกันใส่แบบคนบ้านเรามั๊ย สวิสเซอร์เเลนด์ประเทศต้นแบบประเทศที่เจริญแล้วอย่างแท้ทรู ประเทศที่ประชาชนมีคุณชีวิตดีที่สุดในโลก เราแวะพักที่เมือง Basel เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ได้เอ็นจอยกับอาหารไทยที่ตลาดกลางเมืองของพี่คนไทยที่อยู่เมืองนี้มากว่า 14 ปีก็ดีใจกันเเทบน้ำตาไหล


ตลาดในเมือง Basel

Basel เป็นเมืองเล็กๆที่ผู้คนสัญจรกันด้วยรถรางและจักรยาน แปลกที่ถนนใหญ่โตแต่ไม่มีรถวิ่งเป็นเพราะคนที่นี่เค้าใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าความสะดวกสบายส่วนตัวเลยแลกมากับอากาศบริสุทธิโล่งจมูกใสๆที่แงะขี้มูกแล้วไม่ดำเหมือนลอนดอนหรือบางกอก จาก Basel เราต่อรถกันมาอีก 2 ชั่วโมงครึ่ง กับวิวหลักล้านตลอดสองข้างทางที่ผ่านเมืองท่องเที่ยวอย่าง Spiez ที่สวยจนอยากจะกระโดดลง จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่เมือง Grindelwald คนตรวจตั๋วรถขบวนสุดท้ายเดินมาถามเราว่ายูลืมเสื้อโค้ทไว้ที่รถไฟคันเดิมหรือปล่าว จังหวะนั้นยังไม่รู้ตัวว่าของหายเลยส่งหน้าเอ๋อยิ้มหวานให้ จนฉุกคิดได้ว่าเมื่อกี๋ตอนเปลี่ยนรถไฟเราเดินตัวปล่าวนี่หว่าเพราะอากาศมันอบอ้าวเลยถอดเสื้อออก เเล้วก็เริ่มเข้าโหมดจิตตกอย่างรวดเร็วเพราะบัตรเครดิตและบัตรสำคัญอยู่ในเสื้อทั้งหมด เลยยิงคำถามใส่คุณเจ้าหน้าที่รัวๆ จนคุณพี่เค้าทำหน้ารำคานแถมมองค้อนให้หยุดพูดซักทีพร้อมอธิบายว่าเดี๋ยวรถไฟจะวนกลับไปที่เดิมเเล้วเจ้าหน้าที่เค้าจะส่งขึ้นรถไฟมาให้ที่นี่ เวลา 17.19 ให้ไปรอรับ คุณพระเเล้วเราก็ได้เสื้อคืนตรงตามเวลา ยังไม่ทันจะได้เที่ยวก็ต้องปลื้มปริ่มน้ำตาไหลให้กับความดีผดุงคุณธรรมของคนที่นี่ คิดว่าหากเป็นที่อื่นเราอาจจะไม่ได้ของคืนเป็นเเน่เเท้ เอาแล้วสิสวิสเซอร์เเลนด์แดนคุณธรรม ทำเอาหลงรักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเที่ยว

วิวจากรถไฟมุ่งหน้าไป Grindelwald