สอบเรียนหมอที่อังกฤษ มันยากเอาเรื่อง part 1
ลูกสาวดิฉัน เติบโตมากับระบบการศึกษาของอังกฤษ เรียนกันตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมปลายสิบห้าปีเต็ม ปีนี้แล้วสินะจะได้รู้ว่า ที่เรียนๆสอบๆมาตั้งแต่ห้าขวบ มันจะส่งผลให้เธอเข้ามหาลัยที่หวังได้ไหม
ย้อนไปสามสิบกว่าปีที่เมืองไทย ตอนที่ดิฉันจบมอหก เกรดเฉลี่ยต่ำเสียจนเอ็นไม่ติดแน่ แต่ระบบการเข้ามหาลัยช่วงนั้น ใช้ข้อสอบกลางในการคัดเลือกอย่างเดียว เกรดมอต้นมอปลายไม่นับ มันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่สำหรับเด็กที่เริ่มต้นแย่แต่กลับตัวทัน ดิฉันฮึดอ่านหนังสือโค้งสุดท้าย ทำข้อสอบเอ็นได้ดี เลยติดคณะที่เลือกไว้สมใจ
แต่การเข้ามหาลัยที่นี่มันไม่มีข้อสอบกลางเอ็นทรานส์ เขาใช้เกรดจากมัธยมกลาง ( GCSE )และเกรดจากมัธยมปลาย(A level) บวกกับกิจกรรมพิเศษหรือประสบการณ์เสริมสร้างชีวิต เป็นเกณฑ์การคัดเลือก บางคณะต้องมีสอบสัมภาษณ์ สอบ aptitude เขียนบทความ และเขียนบทความแนะนำตัวเอง
ช่วงที่สอบมัธยมกลางคือ GCSE ถ้านับแบบไทยจะอยู่ที่ มอ 4 ช่วงนี้สำคัญเพราะที่สอบสิบกว่าวิชานั้น เกรดที่ได้ จะเอาไปนับเป็นคะแนนในการเข้ามหาวิทยาลัยด้วย อย่านึกว่า เกรดห่วยจะทิ้งขว้าง แล้วเริ่มต้นใหม่ อยากเข้ามหาลัยดีๆคณะดีๆ มันต้องตั้งใจเรียนกันเนิ่นๆ มาเร่งขยันแบบ last minute อาจจะสายเกิน
หลังจากฝ่าฝันการสอบ GCSE ในช่วงมัธยมกลางตั้งสิบวิชา มันก็มีบางหล่ะนะที่จะมีทั้งวิชาโปรดและวิชาชัง เพราะฉะนั้นพอขึ้นมัธยมปลายหลักสูตรสองปีที่เรียกว่า sixth form หรือ A level เขาจึงเปิดโอกาสให้เด็กเลือกเรียนแค่สามหรือสี่วิชาที่ชอบเท่านั้น เพื่อจะคลอบคลุมเนื้อหาได้กว้างและลึก วิชาที่เอือมก็ไม่ต้องดันทุรังเรียนต่อไป ในหลักสูตรสองปีนี้นักเรียนจะเลือกวิชาอะไรก็ได้ แต่เวลาเลือกก็ต้องคิดให้มันสัมพันธ์กับอนาคตหน่อยว่า วิชาเหล่านี้ จะไปใช้สมัครสอบคณะอะไรได้บ้าง อย่างเช่น ถ้าจะเรียนหมอก็ต้องเรียนวิชาบังคับ 2 ตัวคือ ชีวะ และ เคมี ส่วนอีกวิชาจะเป็นอะไรก็ได้
สองปีสุดท้ายคือช่วงมัธยมปลาย นั้นสำคัญที่สุดเพราะ เกรดที่ได้นั้น มันจะมาจากการสอบปลายภาคล้วนๆ 100% ไม่มีสอบย่อยเก็บคะแนน ไม่มีคะแนนโปรเจ็คท์ การบ้านหรือ ความประพฤติช่วยอีกต่อไป
ขึ้นมอห้าลูกสาวดิฉันเลือกสี่วิชาคือ ชีวะ เคมี เลข และดนตรี เธอเลือกเรียนทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะเป็นอะไร รู้แต่ว่าชอบวิทยาศาสตร์และดนตรี วันหนึ่งเธอกลับมาจากโรงเรียน ก็พูดขึ้นมาว่า อยากเป็นหมอ ดิฉันเองไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาไอเดียนี้มาจากไหน ถามย้ำแล้ว เธอก็ตอบย้ำกลับมาเช่นกัน เอาล่ะ ไม่ขัดใจกัน ถ้าลูกอยากเป็นหมอพ่อแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ เพียงแต่อยากให้ลูกมั่นใจ เพราะเส้นทางการเป็นหมอไม่ใช่ง่ายๆ เรียนกันหลายปี แถมเวลาทำงานก็ทั้งยาว ทั้งเครียด ที่พูดได้ไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์อะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ดูสารคดีและอ่านหนังสือจากประสบการณ์คุณหมอทั้งหลายก็พอรู้มาบ้าง
เพราะลูกอยากเรียนหมอ แม่ซึ่งไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวกับระบบการสอบที่นี่เลยต้องค้นหาข้อมูลมาประดับหัวหน่อย เด็กนักเรียนที่อังกฤษอยากเป็นหมอต้องสอบเข้ายังไง มีขั้นตอนมากมายขนาดไหน
1
ค้นในเวบไซท์คณะแพทย์ทุกมหาลัย เด็กที่สมัครสอบต้องได้เกรดวิชา ชีวะ เคมี และวิชาอื่นอีกหนึ่งวิชา อย่างน้อย A A A นั่นหมายถึงว่าถ้าเกรดมัธยมปลายน้อยกว่า 3 A ไม่ต้องเสียเวลาเขียนใบสมัคร เขาจะไม่ดูเลย มหาลัยที่อยู่ในระดับแนวหน้าหน่อย เกรดที่ใช้สมัครก็ต้องมากตามไปด้วย เช่น Oxbridge ต้องมีอย่างน้อย A* A* 2ตัวและ A
2
เกรดดียังไม่พอ ต้องไปสอบ aptitude test ที่เรียกว่า UKCAT หรือ BMAT (แล้วแต่ว่ามหาลัยไหนจะใช้สอบแบบไหน)บางคนอาจสรุปสั้นๆว่าคล้ายกับ IQ test แต่ดิฉันดูแล้ว มันยากเอาการเพราะมันเป็นข้อสอบพิเศษที่ใช้วัดหลายทักษะ ทั้งความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การคำนวน การใช้เหตุและผล ข้อสอบนี้มีคำถามถึงสองร้อยกว่าข้อ เวลาทำข้อละไม่ถึงครึ่งนาที
3
เกรดดี คะแนน UKCAT ดีก็ยังไม่พอ ต้องแสดงให้มหาลัยเห็นว่า เรามีความสนใจที่จะเป็นหมอแท้จริง การขวนขวายหาประสบการณ์ที่มันเกี่ยวข้องกัน เช่นการไปฝึกงานหรืออาสาสมัคร นั่นจะช่วยได้มาก เพื่อนลูกสาวดิฉันมีพ่อแม่เป็นหมอ ลูกชายเลยได้ช่วยงานที่แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลทุกอาทิตย์ ลูกดิฉันเส้นสายไม่มี เลยต้องเขียนจดหมายไปตามคลีนิคและโรงพยาบาลแถวบ้าน เขียนไปยี่สิบห้าที่ มีตอบรับกลับมาแค่สามที่เท่านั้น ซึ่งก็ว่าถือเป็นโชคและโอกาสที่ดีมาก เพราะเธอได้มีโอกาสไปนั่งในห้องตรวจ สังเกตุการทำงานของหมอ พยาบาล และ ทีมงาน แต่การไปนั่งสังเกตุการณ์และพูดคุย รวมสามแห่งมันก็แค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น จะให้ดีควรมีงานหรืออาสาสมัครที่ทำเป็นระยะเวลายาวและต่อเนื่อง
4
ลูกสาวดิฉันเลยเขียนจดหมายขออาสาช่วยงานใน nursing home บ้านพักคนชรา ช่วยเสริฟชากาแฟ อุ่นอาหาร และนั่งคุยกับคนชราทุกวันอาทิตย์ อาสาสมัครในบ้านพักคนชรานั้น มันเกี่ยวข้องมากๆกับอาชีพหมอ ตรงที่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสาร พูดคุยกับคนไข้ รับรู้และเข้าใจปัญหา โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนที่มาหาหมอบ่อย
5
ประสบการณ์ในการทำงานอื่นๆถ้ามี มันก็ดี เพราะจะทำให้มหาลัยเห็นว่า เด็กคนนี้มีความรับผิดชอบและชีวิตไม่ใช่มีแค่เรียนอย่างเดียว แต่มันควรเป็นงานช่วงปิดเทอมหรือเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเพราะการเรียนต้องมาก่อน โชคดีที่คุณพ่อไปเจอร้านอาหารแถวบ้านประกาศรับสมัครพนักงานเสริฟ เลยแนะลูกว่า มันเป็นงานที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฝึกความมั่นใจและฝึกทักษะในการให้บริการ ซึ่งก็เป็นทักษะที่หมอต้องใช้ ลูกเห็นพ้องด้วย ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวกันมาก
ก่อนที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการสมัคร บอกตามตรงว่าตัวเองไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าจะต้องตะเกียกตะกายหางานอาสาสมัครหรืองานอะไรพิเศษแบบนี้ ลูกสาวดิฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข้อสอบ UKCAT นั้นยากขนาดไหน เพราะมันไม่ใช่แค่ว่าสอบให้ผ่าน แต่ต้องพยายามทำคะแนนสูงๆด้วย เนื่องจากมหาลัยบางแห่งเขาจะเรียกเด็กสอบสัมภาษณ์โดยดูจากคะแนน UKCAT เท่านั้น หนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ก็ต้องหามาอ่านเพิ่ม ต้องแสดงทุกวิถีทางให้มหาลัยเห็นความตั้งใจและแน่วแน่ที่จะเรียนแพทย์ของเรา ทำเกรดดีแต่ไม่ได้หาประสบการณ์ตามที่กล่าวมา ทางโรงเรียนแนะนำว่า ไม่ต้องเสียเวลาสมัครเลยเพราะคนสมัครส่วนมากมักจะมีเกรดไล่ๆกัน มันจะเฉือนกันก็ตรง ประสบการณ์พิเศษนี่แหละ ผู้สมัครจะต้องทำให้มหาลัยเห็นว่า ฉันสมควรจะถูกเรียกสัมภาษณ์และได้รับเลือกเรียนในคณะแพทย์มากกว่าคนอื่น
ที่คณะแพทย์การคัดเลือกนั้นยากเหลือ ก็เพราะมันไม่ใช่เป็นแค่การสอบเข้ามหาลัยธรรมดา แต่มันเหมือนเป็นการสอบเข้าทำงาน พอคุณเรียนจบสอบผ่าน คุณก็ทำงานกับโรงพยาบาลรัฐบาลได้เลย การันตีงานทำ อีกอย่างค่าเรียนที่เสียปีละเก้าพันปอนด์นั้น การเรียนการสอนในคณะแพทย์มันมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้เยอะ รัฐบาลช่วยสมทบจ่ายส่วนเกินให้ เพราะฉะนั้นมหาลัยต้องมีขั้นตอนคัดเลือกที่รัดกุมเพื่อให้แน่ใจว่า ถ้ารับเข้าเป็นนักเรียนแพทย์แล้ว เขาหรือเธอจะไม่ขวัญหนีดีฝ่อเลิกเรียนกลางคัน
เลือกคณะแพทย์ไปสี่มหาลัย ตอนนี้ลูกสาวก็ได้แต่นั่งลุ้นนั่งรอ ว่ามหาลัยไหนจะเรียกไปสัมภาษณ์บ้าง ถ้าไม่มีใครเรียกเพราะ ใบสมัครเราไม่โดดเด่นพอ นั่นก็หมายถึง gap year เฮ้อ พ่อแม่ถอนหายใจหนักหน่วง แต่ถ้ามีเรียกไปสัมภาษณ์ลูกสาวก็ยังมีโอกาส แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่านเพราะพลาดตอบคำถามไม่ได้ มันก็หมายถึงเวลาว่างหนึ่งปี
ว่างไปหนึ่งปี คิดทบทวนแล้วถ้าลูกยังแน่วแน่อยากเป็นหมออยู่อีก เอ้า มันก็ต้องมาเริ่มกันใหม่
สอบเรียนหมอที่อังกฤษ มันยากเอาเรื่อง part 1
ลูกสาวดิฉัน เติบโตมากับระบบการศึกษาของอังกฤษ เรียนกันตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมปลายสิบห้าปีเต็ม ปีนี้แล้วสินะจะได้รู้ว่า ที่เรียนๆสอบๆมาตั้งแต่ห้าขวบ มันจะส่งผลให้เธอเข้ามหาลัยที่หวังได้ไหม
ย้อนไปสามสิบกว่าปีที่เมืองไทย ตอนที่ดิฉันจบมอหก เกรดเฉลี่ยต่ำเสียจนเอ็นไม่ติดแน่ แต่ระบบการเข้ามหาลัยช่วงนั้น ใช้ข้อสอบกลางในการคัดเลือกอย่างเดียว เกรดมอต้นมอปลายไม่นับ มันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่สำหรับเด็กที่เริ่มต้นแย่แต่กลับตัวทัน ดิฉันฮึดอ่านหนังสือโค้งสุดท้าย ทำข้อสอบเอ็นได้ดี เลยติดคณะที่เลือกไว้สมใจ
แต่การเข้ามหาลัยที่นี่มันไม่มีข้อสอบกลางเอ็นทรานส์ เขาใช้เกรดจากมัธยมกลาง ( GCSE )และเกรดจากมัธยมปลาย(A level) บวกกับกิจกรรมพิเศษหรือประสบการณ์เสริมสร้างชีวิต เป็นเกณฑ์การคัดเลือก บางคณะต้องมีสอบสัมภาษณ์ สอบ aptitude เขียนบทความ และเขียนบทความแนะนำตัวเอง
ช่วงที่สอบมัธยมกลางคือ GCSE ถ้านับแบบไทยจะอยู่ที่ มอ 4 ช่วงนี้สำคัญเพราะที่สอบสิบกว่าวิชานั้น เกรดที่ได้ จะเอาไปนับเป็นคะแนนในการเข้ามหาวิทยาลัยด้วย อย่านึกว่า เกรดห่วยจะทิ้งขว้าง แล้วเริ่มต้นใหม่ อยากเข้ามหาลัยดีๆคณะดีๆ มันต้องตั้งใจเรียนกันเนิ่นๆ มาเร่งขยันแบบ last minute อาจจะสายเกิน
หลังจากฝ่าฝันการสอบ GCSE ในช่วงมัธยมกลางตั้งสิบวิชา มันก็มีบางหล่ะนะที่จะมีทั้งวิชาโปรดและวิชาชัง เพราะฉะนั้นพอขึ้นมัธยมปลายหลักสูตรสองปีที่เรียกว่า sixth form หรือ A level เขาจึงเปิดโอกาสให้เด็กเลือกเรียนแค่สามหรือสี่วิชาที่ชอบเท่านั้น เพื่อจะคลอบคลุมเนื้อหาได้กว้างและลึก วิชาที่เอือมก็ไม่ต้องดันทุรังเรียนต่อไป ในหลักสูตรสองปีนี้นักเรียนจะเลือกวิชาอะไรก็ได้ แต่เวลาเลือกก็ต้องคิดให้มันสัมพันธ์กับอนาคตหน่อยว่า วิชาเหล่านี้ จะไปใช้สมัครสอบคณะอะไรได้บ้าง อย่างเช่น ถ้าจะเรียนหมอก็ต้องเรียนวิชาบังคับ 2 ตัวคือ ชีวะ และ เคมี ส่วนอีกวิชาจะเป็นอะไรก็ได้
สองปีสุดท้ายคือช่วงมัธยมปลาย นั้นสำคัญที่สุดเพราะ เกรดที่ได้นั้น มันจะมาจากการสอบปลายภาคล้วนๆ 100% ไม่มีสอบย่อยเก็บคะแนน ไม่มีคะแนนโปรเจ็คท์ การบ้านหรือ ความประพฤติช่วยอีกต่อไป
ขึ้นมอห้าลูกสาวดิฉันเลือกสี่วิชาคือ ชีวะ เคมี เลข และดนตรี เธอเลือกเรียนทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะเป็นอะไร รู้แต่ว่าชอบวิทยาศาสตร์และดนตรี วันหนึ่งเธอกลับมาจากโรงเรียน ก็พูดขึ้นมาว่า อยากเป็นหมอ ดิฉันเองไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาไอเดียนี้มาจากไหน ถามย้ำแล้ว เธอก็ตอบย้ำกลับมาเช่นกัน เอาล่ะ ไม่ขัดใจกัน ถ้าลูกอยากเป็นหมอพ่อแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ เพียงแต่อยากให้ลูกมั่นใจ เพราะเส้นทางการเป็นหมอไม่ใช่ง่ายๆ เรียนกันหลายปี แถมเวลาทำงานก็ทั้งยาว ทั้งเครียด ที่พูดได้ไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์อะไรหรอกค่ะ เพียงแต่ดูสารคดีและอ่านหนังสือจากประสบการณ์คุณหมอทั้งหลายก็พอรู้มาบ้าง
เพราะลูกอยากเรียนหมอ แม่ซึ่งไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวกับระบบการสอบที่นี่เลยต้องค้นหาข้อมูลมาประดับหัวหน่อย เด็กนักเรียนที่อังกฤษอยากเป็นหมอต้องสอบเข้ายังไง มีขั้นตอนมากมายขนาดไหน
1
ค้นในเวบไซท์คณะแพทย์ทุกมหาลัย เด็กที่สมัครสอบต้องได้เกรดวิชา ชีวะ เคมี และวิชาอื่นอีกหนึ่งวิชา อย่างน้อย A A A นั่นหมายถึงว่าถ้าเกรดมัธยมปลายน้อยกว่า 3 A ไม่ต้องเสียเวลาเขียนใบสมัคร เขาจะไม่ดูเลย มหาลัยที่อยู่ในระดับแนวหน้าหน่อย เกรดที่ใช้สมัครก็ต้องมากตามไปด้วย เช่น Oxbridge ต้องมีอย่างน้อย A* A* 2ตัวและ A
2
เกรดดียังไม่พอ ต้องไปสอบ aptitude test ที่เรียกว่า UKCAT หรือ BMAT (แล้วแต่ว่ามหาลัยไหนจะใช้สอบแบบไหน)บางคนอาจสรุปสั้นๆว่าคล้ายกับ IQ test แต่ดิฉันดูแล้ว มันยากเอาการเพราะมันเป็นข้อสอบพิเศษที่ใช้วัดหลายทักษะ ทั้งความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การคำนวน การใช้เหตุและผล ข้อสอบนี้มีคำถามถึงสองร้อยกว่าข้อ เวลาทำข้อละไม่ถึงครึ่งนาที
3
เกรดดี คะแนน UKCAT ดีก็ยังไม่พอ ต้องแสดงให้มหาลัยเห็นว่า เรามีความสนใจที่จะเป็นหมอแท้จริง การขวนขวายหาประสบการณ์ที่มันเกี่ยวข้องกัน เช่นการไปฝึกงานหรืออาสาสมัคร นั่นจะช่วยได้มาก เพื่อนลูกสาวดิฉันมีพ่อแม่เป็นหมอ ลูกชายเลยได้ช่วยงานที่แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลทุกอาทิตย์ ลูกดิฉันเส้นสายไม่มี เลยต้องเขียนจดหมายไปตามคลีนิคและโรงพยาบาลแถวบ้าน เขียนไปยี่สิบห้าที่ มีตอบรับกลับมาแค่สามที่เท่านั้น ซึ่งก็ว่าถือเป็นโชคและโอกาสที่ดีมาก เพราะเธอได้มีโอกาสไปนั่งในห้องตรวจ สังเกตุการทำงานของหมอ พยาบาล และ ทีมงาน แต่การไปนั่งสังเกตุการณ์และพูดคุย รวมสามแห่งมันก็แค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น จะให้ดีควรมีงานหรืออาสาสมัครที่ทำเป็นระยะเวลายาวและต่อเนื่อง
4
ลูกสาวดิฉันเลยเขียนจดหมายขออาสาช่วยงานใน nursing home บ้านพักคนชรา ช่วยเสริฟชากาแฟ อุ่นอาหาร และนั่งคุยกับคนชราทุกวันอาทิตย์ อาสาสมัครในบ้านพักคนชรานั้น มันเกี่ยวข้องมากๆกับอาชีพหมอ ตรงที่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสาร พูดคุยกับคนไข้ รับรู้และเข้าใจปัญหา โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนที่มาหาหมอบ่อย
5
ประสบการณ์ในการทำงานอื่นๆถ้ามี มันก็ดี เพราะจะทำให้มหาลัยเห็นว่า เด็กคนนี้มีความรับผิดชอบและชีวิตไม่ใช่มีแค่เรียนอย่างเดียว แต่มันควรเป็นงานช่วงปิดเทอมหรือเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเพราะการเรียนต้องมาก่อน โชคดีที่คุณพ่อไปเจอร้านอาหารแถวบ้านประกาศรับสมัครพนักงานเสริฟ เลยแนะลูกว่า มันเป็นงานที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฝึกความมั่นใจและฝึกทักษะในการให้บริการ ซึ่งก็เป็นทักษะที่หมอต้องใช้ ลูกเห็นพ้องด้วย ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวกันมาก
ก่อนที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการสมัคร บอกตามตรงว่าตัวเองไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าจะต้องตะเกียกตะกายหางานอาสาสมัครหรืองานอะไรพิเศษแบบนี้ ลูกสาวดิฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข้อสอบ UKCAT นั้นยากขนาดไหน เพราะมันไม่ใช่แค่ว่าสอบให้ผ่าน แต่ต้องพยายามทำคะแนนสูงๆด้วย เนื่องจากมหาลัยบางแห่งเขาจะเรียกเด็กสอบสัมภาษณ์โดยดูจากคะแนน UKCAT เท่านั้น หนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ก็ต้องหามาอ่านเพิ่ม ต้องแสดงทุกวิถีทางให้มหาลัยเห็นความตั้งใจและแน่วแน่ที่จะเรียนแพทย์ของเรา ทำเกรดดีแต่ไม่ได้หาประสบการณ์ตามที่กล่าวมา ทางโรงเรียนแนะนำว่า ไม่ต้องเสียเวลาสมัครเลยเพราะคนสมัครส่วนมากมักจะมีเกรดไล่ๆกัน มันจะเฉือนกันก็ตรง ประสบการณ์พิเศษนี่แหละ ผู้สมัครจะต้องทำให้มหาลัยเห็นว่า ฉันสมควรจะถูกเรียกสัมภาษณ์และได้รับเลือกเรียนในคณะแพทย์มากกว่าคนอื่น
ที่คณะแพทย์การคัดเลือกนั้นยากเหลือ ก็เพราะมันไม่ใช่เป็นแค่การสอบเข้ามหาลัยธรรมดา แต่มันเหมือนเป็นการสอบเข้าทำงาน พอคุณเรียนจบสอบผ่าน คุณก็ทำงานกับโรงพยาบาลรัฐบาลได้เลย การันตีงานทำ อีกอย่างค่าเรียนที่เสียปีละเก้าพันปอนด์นั้น การเรียนการสอนในคณะแพทย์มันมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้เยอะ รัฐบาลช่วยสมทบจ่ายส่วนเกินให้ เพราะฉะนั้นมหาลัยต้องมีขั้นตอนคัดเลือกที่รัดกุมเพื่อให้แน่ใจว่า ถ้ารับเข้าเป็นนักเรียนแพทย์แล้ว เขาหรือเธอจะไม่ขวัญหนีดีฝ่อเลิกเรียนกลางคัน
เลือกคณะแพทย์ไปสี่มหาลัย ตอนนี้ลูกสาวก็ได้แต่นั่งลุ้นนั่งรอ ว่ามหาลัยไหนจะเรียกไปสัมภาษณ์บ้าง ถ้าไม่มีใครเรียกเพราะ ใบสมัครเราไม่โดดเด่นพอ นั่นก็หมายถึง gap year เฮ้อ พ่อแม่ถอนหายใจหนักหน่วง แต่ถ้ามีเรียกไปสัมภาษณ์ลูกสาวก็ยังมีโอกาส แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่านเพราะพลาดตอบคำถามไม่ได้ มันก็หมายถึงเวลาว่างหนึ่งปี
ว่างไปหนึ่งปี คิดทบทวนแล้วถ้าลูกยังแน่วแน่อยากเป็นหมออยู่อีก เอ้า มันก็ต้องมาเริ่มกันใหม่