ทำความเข้าใจ เรื่องหินดำกับอาคารกะบะฮ์ทรงสี่เหลี่ยม ที่นครมักกะฮ์(เมกกะ) ซึ่งส่วนใหญ่ยังสับสนมากโดยเฉพาะพี่น้องต่างศาสนิกที่เข้าใจผิด หินดำกับอาคารสี่เหลี่ยม(กะบะฮ์) จริงๆแล้วคนละความหมายคนละส่วนกัน
อาคารกะบะฮ์ หรือแปลว่าลูกบาศก์ คืออาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกก่อขึ้น ในปัจจุบันถูกคลุมด้วยผ้าคลุม หรือภาษาอาหรับเรียกว่าผ้ากิสวะฮ์ที่เป็น ”สีดำ “ จึงเป็นเหตุให้ส่วนมากเข้าใจผิดว่านี้คือหินดำ ตัวอาคารจริงๆของกะบะฮ์เป็นสีอิฐอ่อน ตามธรรมชาติ ในอดีตเคยมีการคลุมผ้าอาคารกะบะฮ์นี้หลายสี มีทั้งสีแดง สีเขียว และสีขาว ตามแต่กษัตริย์หรือผู้ปกครองในยุคนั้น ถ้าสมัยนี้อาคารกะบะฮ์ถูกคลุมด้วยผ้าสีที่กล่าวมา คนจำนวนมากคงคิดว่ามุสลิมกราบไหว้หินแดง หินเขียว หรือหินขาวเป็นแน่
อาคารกะบะฮ์ถือเป็นชุมทิศ(กิบลัต)ในการผินหน้าของมุสลิมทั่วโลกของทุกเวลาในการละหมาดและขอพร ดังในอัลกุรอานบท1:144 กล่าวถึง ก็เพื่อเป็นเอกภาพอันหนึ่งอันเดียว ไม่ได้หันไปคนละทิศคนละทาง รวมทั้งเป็นสถานที่ของการประกอบพิธีแสวงบุญอุมเราะฮ์และฮัจย์ อาคารนี้หลังถูกสร้าง ก็ถูกทำลายไปก็หลายครั้งด้วยกัน อีกทั้งอาคารกะบะฮ์ก็มีสภาพเสื่อมโทรมและชำรุดไปตามกาลเวลา จึงมีการซ่อมบำรุงรักษาล่าสุดในช่วงสมัยศาสนทูตมุฮัมมัด ตระกูลที่บรรพบุรุพของท่านเป็นผู้ดูแล และหลังจากนั้นก็ยุคผู้ปกครองในช่วงต้น เพื่อเป็นสถานที่ใช้ประกอบศาสนกิจกราบไหว้พระเจ้าองค์เดียว มุสลิมให้เอกภาพแด่พระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีภาคี สิ่งอื่นใดๆ โดยสถานที่นี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของการเคารพสักการะต่อพระเจ้าที่เดียวบนโลก ไม่มีจำลองหรือสร้างที่อื่น เพราะเป็นสถานที่เดียวที่ถูกอนุมัติในการประกอบศาสนกิจต่างๆ ชาวมุสลิมจึงต้องผินหน้ามายังที่นี่ขณะละหมาด ส่วนผู้ที่มีความสามารถก็ต้องมาแสวงบุญใหญ่หรือทำฮัจย์ โดยเป็นการปฎิบัติในการสั่งใช้ของพระเจ้า ที่มีอยู่ในอัลกุรอาน รวมทั้งแบบอย่างของศาสนทูตที่ปฎิบัติ ไม่ได้ทึกทักสร้าง คิดกำหนดมาเองภายหลังตามอารมณ์ความรู้สึกโดยไม่มีที่มาและคำสอน ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้มีอีกเยอะมาก
ทุกปีเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่ จะมีการเปลี่ยนผ้าคลุมออก ซึ่งการเปลี่ยนผ้าคลุมต้องมีคนขึ้นไปเหยียบบนอาคารดังกล่าว หากถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่เคารพบูชา คงไม่มีใครกล้าเอาเท้าขึ้นไปเหยียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแน่นอน ส่วนคนข้างล่างก็ทำศาสนกิจกันปกติ ละหมาด เดินเวียนรอบกะบะฮ์ โดยไม่มีการหยุดใดๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้กราบไหว้อาคารกะบะฮ์นี้ แต่กราบไหว้พระเจ้าของอาคารที่ถูกสร้างคืออัลลอฮ์
ในอดีต70-80ปีก่อน มีการเปิดอาคารกะบะฮ์
ให้มุสลิมเข้าไปภายในได้ เพื่อละหมาด ซึ่งไม่มีอะไรมากกว่านี้ ถ้ามุสลิมกราบไหว้สิ่งนี้ แล้วเข้าไปข้างในเค้าจะกราบไหว้อะไรอีก? เพราะข้างในกะบะฮ์ก็ไม่มีอะไร เป็นห้องโล่ง มีเพียงเสาไม้ค้ำยันหลังคา3ต้น ตู้เก็บสมบัติของเก่าแก่ ตะเกียงโบราณที่ถูกประดับตั้งแต่ยุคอดีต และผ้าลวดลายอัลกุรอานประดับภายในอยู่เท่านั้น ก็ตอบเหมือนเดิมคือกราบไหว้พระเจ้าหนึ่งเดียวคืออัลลอฮ์ แต่หลังจากที่มีผู้แสวงบุญเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทางการซาอุฯได้ยกเลิกกฎข้อดังกล่าว เนื่องจากภายในแคบ ไม่มีอากาศถ่ายเท จึงไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ทำให้ปัจจุบันทางซาอุ เปิดอาคารกะบะฮ์เป็นบางกรณีให้กับผู้นำประเทศมุสลิม ตัวแทนประเทศหรือแขกของรัฐบาลที่มีสิทธิเข้า
ต่อไปหากอาคารกะบะฮ์นี้พังลง หรือถูกทำลายไป มุสลิมก็ยังผินหน้ามายังทิศที่ตั้งของมัสยิดฮะรอมกันตามเดิม เพราะเป็นคำสั่งใช้ เนื่องจากกะบะฮ์ถูกกำหนดให้เป็นLandmark ในการเป็นจุดศูนย์รวมของทุกการประกอบศาสนกิจ กราบไหว้ต่อพระเจ้าองค์เดียว
ที่นี่ยังไม่เคยเกิดเหตุเหยียบกันตาย มีแต่อุบัติเหตุเครนล้มเมื่อ2ปีก่อน ส่วนที่เหยียบกันตายคือที่ตำบลมีนาที่เคยเป็นข่าว ตำบลมีนาอยู่ถัดห่างออกไปจากเมืองเมกกะ ประมาณ10กิโล และเป็นหนึ่งในสถานที่ของการประกอบพิธีฮัจย์
ภาพอาคารกะบะฮ์เมื่อตอนเปลี่ยนผ้าคลุมประจำปี ผ้าคลุมกะบะฮ์จะถูกเปลี่ยน1ครั้ง ช่วงใกล้ถึงพิธีฮัจย์ประมาณ1-2วัน(วันที่9ซุลฮิจยะห์ หรือวันอารอฟะฮ์)โดยผ้ากิสวะฮ์ผืนเก่าจะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆมอบให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ รัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ ตัวแทนประเทศ ทั้งในซาอุและทั่วโลกเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นของกำนัลจากรัฐบาลซาอุ เพราะไม่มีขายทั่วไป
หินดำและอาคารสี่เหลี่ยม(กะบะฮ์) ของชาวมุสลิม ความจริงแล้วคือ?
อาคารกะบะฮ์ หรือแปลว่าลูกบาศก์ คืออาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกก่อขึ้น ในปัจจุบันถูกคลุมด้วยผ้าคลุม หรือภาษาอาหรับเรียกว่าผ้ากิสวะฮ์ที่เป็น ”สีดำ “ จึงเป็นเหตุให้ส่วนมากเข้าใจผิดว่านี้คือหินดำ ตัวอาคารจริงๆของกะบะฮ์เป็นสีอิฐอ่อน ตามธรรมชาติ ในอดีตเคยมีการคลุมผ้าอาคารกะบะฮ์นี้หลายสี มีทั้งสีแดง สีเขียว และสีขาว ตามแต่กษัตริย์หรือผู้ปกครองในยุคนั้น ถ้าสมัยนี้อาคารกะบะฮ์ถูกคลุมด้วยผ้าสีที่กล่าวมา คนจำนวนมากคงคิดว่ามุสลิมกราบไหว้หินแดง หินเขียว หรือหินขาวเป็นแน่
อาคารกะบะฮ์ถือเป็นชุมทิศ(กิบลัต)ในการผินหน้าของมุสลิมทั่วโลกของทุกเวลาในการละหมาดและขอพร ดังในอัลกุรอานบท1:144 กล่าวถึง ก็เพื่อเป็นเอกภาพอันหนึ่งอันเดียว ไม่ได้หันไปคนละทิศคนละทาง รวมทั้งเป็นสถานที่ของการประกอบพิธีแสวงบุญอุมเราะฮ์และฮัจย์ อาคารนี้หลังถูกสร้าง ก็ถูกทำลายไปก็หลายครั้งด้วยกัน อีกทั้งอาคารกะบะฮ์ก็มีสภาพเสื่อมโทรมและชำรุดไปตามกาลเวลา จึงมีการซ่อมบำรุงรักษาล่าสุดในช่วงสมัยศาสนทูตมุฮัมมัด ตระกูลที่บรรพบุรุพของท่านเป็นผู้ดูแล และหลังจากนั้นก็ยุคผู้ปกครองในช่วงต้น เพื่อเป็นสถานที่ใช้ประกอบศาสนกิจกราบไหว้พระเจ้าองค์เดียว มุสลิมให้เอกภาพแด่พระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีภาคี สิ่งอื่นใดๆ โดยสถานที่นี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของการเคารพสักการะต่อพระเจ้าที่เดียวบนโลก ไม่มีจำลองหรือสร้างที่อื่น เพราะเป็นสถานที่เดียวที่ถูกอนุมัติในการประกอบศาสนกิจต่างๆ ชาวมุสลิมจึงต้องผินหน้ามายังที่นี่ขณะละหมาด ส่วนผู้ที่มีความสามารถก็ต้องมาแสวงบุญใหญ่หรือทำฮัจย์ โดยเป็นการปฎิบัติในการสั่งใช้ของพระเจ้า ที่มีอยู่ในอัลกุรอาน รวมทั้งแบบอย่างของศาสนทูตที่ปฎิบัติ ไม่ได้ทึกทักสร้าง คิดกำหนดมาเองภายหลังตามอารมณ์ความรู้สึกโดยไม่มีที่มาและคำสอน ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้มีอีกเยอะมาก
ทุกปีเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่ จะมีการเปลี่ยนผ้าคลุมออก ซึ่งการเปลี่ยนผ้าคลุมต้องมีคนขึ้นไปเหยียบบนอาคารดังกล่าว หากถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่เคารพบูชา คงไม่มีใครกล้าเอาเท้าขึ้นไปเหยียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแน่นอน ส่วนคนข้างล่างก็ทำศาสนกิจกันปกติ ละหมาด เดินเวียนรอบกะบะฮ์ โดยไม่มีการหยุดใดๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้กราบไหว้อาคารกะบะฮ์นี้ แต่กราบไหว้พระเจ้าของอาคารที่ถูกสร้างคืออัลลอฮ์
ในอดีต70-80ปีก่อน มีการเปิดอาคารกะบะฮ์
ให้มุสลิมเข้าไปภายในได้ เพื่อละหมาด ซึ่งไม่มีอะไรมากกว่านี้ ถ้ามุสลิมกราบไหว้สิ่งนี้ แล้วเข้าไปข้างในเค้าจะกราบไหว้อะไรอีก? เพราะข้างในกะบะฮ์ก็ไม่มีอะไร เป็นห้องโล่ง มีเพียงเสาไม้ค้ำยันหลังคา3ต้น ตู้เก็บสมบัติของเก่าแก่ ตะเกียงโบราณที่ถูกประดับตั้งแต่ยุคอดีต และผ้าลวดลายอัลกุรอานประดับภายในอยู่เท่านั้น ก็ตอบเหมือนเดิมคือกราบไหว้พระเจ้าหนึ่งเดียวคืออัลลอฮ์ แต่หลังจากที่มีผู้แสวงบุญเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทางการซาอุฯได้ยกเลิกกฎข้อดังกล่าว เนื่องจากภายในแคบ ไม่มีอากาศถ่ายเท จึงไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ทำให้ปัจจุบันทางซาอุ เปิดอาคารกะบะฮ์เป็นบางกรณีให้กับผู้นำประเทศมุสลิม ตัวแทนประเทศหรือแขกของรัฐบาลที่มีสิทธิเข้า
ต่อไปหากอาคารกะบะฮ์นี้พังลง หรือถูกทำลายไป มุสลิมก็ยังผินหน้ามายังทิศที่ตั้งของมัสยิดฮะรอมกันตามเดิม เพราะเป็นคำสั่งใช้ เนื่องจากกะบะฮ์ถูกกำหนดให้เป็นLandmark ในการเป็นจุดศูนย์รวมของทุกการประกอบศาสนกิจ กราบไหว้ต่อพระเจ้าองค์เดียว
ที่นี่ยังไม่เคยเกิดเหตุเหยียบกันตาย มีแต่อุบัติเหตุเครนล้มเมื่อ2ปีก่อน ส่วนที่เหยียบกันตายคือที่ตำบลมีนาที่เคยเป็นข่าว ตำบลมีนาอยู่ถัดห่างออกไปจากเมืองเมกกะ ประมาณ10กิโล และเป็นหนึ่งในสถานที่ของการประกอบพิธีฮัจย์
ภาพอาคารกะบะฮ์เมื่อตอนเปลี่ยนผ้าคลุมประจำปี ผ้าคลุมกะบะฮ์จะถูกเปลี่ยน1ครั้ง ช่วงใกล้ถึงพิธีฮัจย์ประมาณ1-2วัน(วันที่9ซุลฮิจยะห์ หรือวันอารอฟะฮ์)โดยผ้ากิสวะฮ์ผืนเก่าจะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆมอบให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ รัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ ตัวแทนประเทศ ทั้งในซาอุและทั่วโลกเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นของกำนัลจากรัฐบาลซาอุ เพราะไม่มีขายทั่วไป