A Quiet Place (2018)
กำกับโดย John Krasinski
7.5/10
ผมชอบที่มันค่อนข้างมีเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว จนให้ฟีลหนังสยองขวัญคลาสสิคหน่อย เพราะตอนแรกนึกว่าหนังจะเป็นแค่การตั้งฉากเงียบสนิทก่อนตุ้งแช่มาเป็นเซ็ทๆมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความอย่างหลังจะน้อยเลย แถมทำออกมาได้เนี้ยบกริบหมด พร้อมการดีไซน์เสียงที่ซับซ้อนคอยปั่นจิตมาก และการตัดต่อมุมมองให้คอยหวาดระแวงเต็มที่ ตัวฉากเองก็ไม่ได้มาแบบตั้งไว้อลังการเว่อวังหรือไม่บันยะบันยัง แต่ไหลจากเหตุการณ์เอาตัวรอดจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดมากกว่า จนให้อารมณ์ปัญหาหนึ่งคอยสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาที่ต้องช่วยกันแก้ไปเรื่อยๆ
พวกฉากสยองเหล่านี้ยังมาในครึ่งหลังของหนังเกือบหมด หลังจากที่ครึ่งแรกที่ค่อยเป็นค่อยไปทีเดียว ในการสร้างภาพโลกล่มสลายพร้อมกฏต่างๆ, แสดงให้คนดูเห็นว่าพื้นที่แต่ละจุดแต่ละชั้นอยู่ตรงไหน เชื่อมถึงกันอย่างไร, และค่อยๆเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ต้องรับมือและพยายามใช้ชีวิตต่อไปในโลกนี้อย่างปกติธรรมดาที่สุด แม้จะผ่านความสูญเสียร้ายแรงมาแค่ไหน ความเงียบในหนังจึงไม่ได้เป็นแค่กลยุทธในการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ประหลาดเท่านั้น แต่ยังเปรียบเหมือนความยากลำบากของครอบครัวนี้หลังโศกนาฏกรรม ในการแสดงออกถึงความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด และความรักที่มีต่อกัน ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ละคนต่างแบกความหนักอึ้งไว้ในใจตนในการเอาชีวิตรอดต่อไปไม่น้อย จนจุดบีบอารมณ์จุดหนึ่งตอนใกล้จบที่มีการปล่อยเสียงออกมา นอกจากจะซาบซึ้งในแง่เนื้อเรื่องแล้ว จึงยังกรีดใจในสามอารมณ์อัดอั้นนั้น ที่สมาชิกสองคนในครอบครัวสามารถแสดงออกถึงกันได้เต็มที่ในที่สุด
ความจริง ครึ่งแรกของหนังถึงจะน่าชมเชยในการค่อยๆเล่าหนังให้เป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งจริงๆ แต่เหมือนผู้กำกับทำส่วนดราม่าออกมาไม่แม่นเท่าฉากลุ้นสยองขวัญ จนอารมณ์ร่วมในบางเหตุการณ์ลดหลั่นกันอยู่หน่อย (เช่น ฉากเต้นรำที่จะสื่อถึงโมเม้นโรแมนติกธรรมดาระหว่างสามีภรรยา และการต้องสร้างชีวิตใหม่ร่วมกันเพื่อซ่อมแซมความรู้สึกสูญเสียนั้น ยังทำออกมาไม่ค่อยอินเท่าไรโดยส่วนตัว) แต่ครึ่งแรกโดยรวมก็ยังถือว่าเวิร์คอยู่ดี ในการเป็นฐานของเรื่องราว ความสัมพันธ์ ประเด็นต่างๆ จนการดิ้นรนต่อสู้ และบรรดาฉากนิ่งเงียบยะเยือกเพื่อเอาตัวรอดในครึ่งหลัง เปี่ยมความหมายและมีความเอาใจช่วย ซาบซึ้งขึ้นมากทีเดียว
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
[CR] [Movie Review] A Quiet Place (7.5/10) ...เมื่อความเงียบคือการเอาตัวรอด ทั้งจากภัยร้ายภายนอกและความสูญเสียในใจ
กำกับโดย John Krasinski
7.5/10
ผมชอบที่มันค่อนข้างมีเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว จนให้ฟีลหนังสยองขวัญคลาสสิคหน่อย เพราะตอนแรกนึกว่าหนังจะเป็นแค่การตั้งฉากเงียบสนิทก่อนตุ้งแช่มาเป็นเซ็ทๆมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความอย่างหลังจะน้อยเลย แถมทำออกมาได้เนี้ยบกริบหมด พร้อมการดีไซน์เสียงที่ซับซ้อนคอยปั่นจิตมาก และการตัดต่อมุมมองให้คอยหวาดระแวงเต็มที่ ตัวฉากเองก็ไม่ได้มาแบบตั้งไว้อลังการเว่อวังหรือไม่บันยะบันยัง แต่ไหลจากเหตุการณ์เอาตัวรอดจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดมากกว่า จนให้อารมณ์ปัญหาหนึ่งคอยสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาที่ต้องช่วยกันแก้ไปเรื่อยๆ
พวกฉากสยองเหล่านี้ยังมาในครึ่งหลังของหนังเกือบหมด หลังจากที่ครึ่งแรกที่ค่อยเป็นค่อยไปทีเดียว ในการสร้างภาพโลกล่มสลายพร้อมกฏต่างๆ, แสดงให้คนดูเห็นว่าพื้นที่แต่ละจุดแต่ละชั้นอยู่ตรงไหน เชื่อมถึงกันอย่างไร, และค่อยๆเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ต้องรับมือและพยายามใช้ชีวิตต่อไปในโลกนี้อย่างปกติธรรมดาที่สุด แม้จะผ่านความสูญเสียร้ายแรงมาแค่ไหน ความเงียบในหนังจึงไม่ได้เป็นแค่กลยุทธในการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ประหลาดเท่านั้น แต่ยังเปรียบเหมือนความยากลำบากของครอบครัวนี้หลังโศกนาฏกรรม ในการแสดงออกถึงความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด และความรักที่มีต่อกัน ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ละคนต่างแบกความหนักอึ้งไว้ในใจตนในการเอาชีวิตรอดต่อไปไม่น้อย จนจุดบีบอารมณ์จุดหนึ่งตอนใกล้จบที่มีการปล่อยเสียงออกมา นอกจากจะซาบซึ้งในแง่เนื้อเรื่องแล้ว จึงยังกรีดใจในสามอารมณ์อัดอั้นนั้น ที่สมาชิกสองคนในครอบครัวสามารถแสดงออกถึงกันได้เต็มที่ในที่สุด
ความจริง ครึ่งแรกของหนังถึงจะน่าชมเชยในการค่อยๆเล่าหนังให้เป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งจริงๆ แต่เหมือนผู้กำกับทำส่วนดราม่าออกมาไม่แม่นเท่าฉากลุ้นสยองขวัญ จนอารมณ์ร่วมในบางเหตุการณ์ลดหลั่นกันอยู่หน่อย (เช่น ฉากเต้นรำที่จะสื่อถึงโมเม้นโรแมนติกธรรมดาระหว่างสามีภรรยา และการต้องสร้างชีวิตใหม่ร่วมกันเพื่อซ่อมแซมความรู้สึกสูญเสียนั้น ยังทำออกมาไม่ค่อยอินเท่าไรโดยส่วนตัว) แต่ครึ่งแรกโดยรวมก็ยังถือว่าเวิร์คอยู่ดี ในการเป็นฐานของเรื่องราว ความสัมพันธ์ ประเด็นต่างๆ จนการดิ้นรนต่อสู้ และบรรดาฉากนิ่งเงียบยะเยือกเพื่อเอาตัวรอดในครึ่งหลัง เปี่ยมความหมายและมีความเอาใจช่วย ซาบซึ้งขึ้นมากทีเดียว
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ