ความเมตตา
เพทาย
วันนั้นผมมีกิจกรรมที่จะต้องไปฟังสวดศพเพื่อนรุ่นพี่ ที่วัดสุสิตาราม เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า แต่ขณะนั้นเวลายังเหลืออีกเยอะ จึงเดินเรื่องเปื่อยไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
ผมค่อย ๆ เดินมาจนถึงริมเขื่อนใต้สะพาน ซึ่งถ้าตรงต่อไปก็ จะเป็นท่าเรือ สำหรับผู้โดยสารที่จะข้ามฝากหรือไปเรือด่วน ใช้ขึ้นลง เขื่อนที่ว่านี้ทอดยาวไปตามริมแม่น้ำ มีลักษณะเหมือนขั้นบันไดกว้าง ๆ ลดต่ำลงไปในแม่น้ำ สักสองหรือสามขั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะระดับน้ำสูงขึ้นมาท่วม มองเห็นเพียงขั้นเดียวก่อนที่จะถึงสันเขื่อน เวลาเรือหางยาวหรือเรือด่วน หรือเรือทัศนาจรขนาดใหญ่ ของร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทั้งหลาย แล่นผ่านมา ก็จะเกิดคลื่นเป็นเกลียววิ่งม้วนตัวเข้าฟาดฟัดเขื่อนขั้นล่างดังฉาดฉาน แล้วแตกกระจายกลายเป็นฟองย้อนกลับลงไปดังเดิม ถ้าใครนั่งห้อยขาริมเขื่อนแล้วไม่ระวังตัว ก็อาจจะถูกคลื่นซัดเอาเปียกปอนไปได้ ต้องคอยยกเท้าให้พ้นยอดคลื่นที่ฟาดตัวเข้ามา เป็นเรื่องที่น่าสนุกไปอีกแบบหนึ่ง
ในเวลานั้นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมสะพานไปแล้ว ทั่วบริเวณนั้นจึงร่มรื่นด้วยเงาอันมหึมาของสะพานพระปิ่นเกล้า และร่มไม้ยืนต้นที่มีอยู่พอสมควร สายลมที่พัดผ่านแม่น้ำก็เย็นระรื่นชื่นใจ จึงมีผู้คนแวะเข้ามาพักผ่อนอยู่หลายคน นอกจากเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบปีเศษ ซึ่งนอนคุดคู้เป็นวงกลมเหมือนกิ้งกือ อยู่บนเสื่อขาดใต้ต้นไม้แล้ว ที่ริมเขื่อนก็มีหนุ่มสาว คู่หนึ่ง เอากระดาษหนังสือพิมพ์ปูรองพื้นนั่ง รับประทานของว่างประเภทส้มตำหมูปิ้งอยู่อย่างมีความสุข เวลาคลื่นสาดกระเซ็นขึ้นมาก็จะมีเสียงหัวร่อต่อกระซิก อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แกมน่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อจากนั้นใกล้ทางที่จะเดินลงสะพาน ซึ่งทอดไปสู่ท่าจอดเรือรับส่ง ก็เป็นหมู่จักรยานยนต์รับจ้าง สามสี่ราย จอดคอยผู้โดยสารที่ขึ้นมาจากเรือ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามคิว
ด้านหน้าของเขื่อน มีเด็กเล็กบ้างโตบ้าง ผิวสีดำคล้ำ นุ่งกางเกงบ้างไม่นุ่งบ้าง สามสี่คน แสดงลีลาการกระโดดน้ำแบบต่าง ๆ จากโป๊ะที่เทียบเรือ หรือจากเสาสูงที่ผูกโป๊ะ เพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้คนที่เดินขึ้นลงท่านี้อยู่ตลอดเวลา
ด้านหลังลึกเข้าไปจากริมเขื่อน เป็นทางเดินสัญจรไปมา จึงมีรถเข็นขายไอศกรีม ผลไม้แช่น้ำแข็ง และอาหารแบบอีสาน จอดรอลูกค้าเรียงอยู่ใกล้ ๆ กัน
ผมหย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายสุดใกล้ขอบเขื่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับฝอยคลื่น แล้วก็เปิดหนังสือการ์ตูนเก่าแก่ชื่อดัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีการ์ตูน ผมเลือกอ่านแต่เฉพาะเรื่องขำขันสั้น ๆ ก่อน เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านนาน
พลิกไปได้สักครึ่งเล่ม ก็รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง พร้อมกับมีเสียงพูดจ้อกแจ้กจอแจ ผมจึงเหลียวไปดู ก็พบว่ามีชายผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสองสามคน เดินตามหลังเด็กชายที่เห็นนอนขดอยู่นั้น ตรงมาที่ผมนั่ง ผมจึงขยับขยายที่ทางข้างตัวให้ว่าง พอที่เขาจะปูเสื่อ กระรุ่งกระริ่งนั้นลงได้ไม่ห่างนัก ดังนั้นผมจึงเห็นได้ชัดว่าเขามีรูปร่างผอมเกร็ง หน้าตาดำ เนื้อตัวขมุกขมอมดูสกปรก รวมทั้งผมเผ้าเป็นสังกะตังอีกต่างหาก เขานั่งยอง ๆ ลงบนเสื่อ รับเอาห่อข้าวที่โชเฟอร์มอเตอร์ไซค์ส่งให้มาแก้ออกดู มันเป็นข้าวหมูแดงแบบธรรมดา
เขาไม่รอช้าเอามืออันดำนั้นหยิบข้าวเปิบเข้าปากอย่างว่องไว มีเสียงใครถามว่าหิวมากไหม เข้าพยักหน้า ถามว่าเอาน้ำไหม เขาก็พยักหน้าอีก พลางรับน้ำขวดที่มีผู้ส่งให้มาดื่มอึกใหญ่ วางขวดลงเอามือป้ายริมฝีปากแล้วก็เปิบข้าวต่อ
โชเฟอร์ผู้หวังดีก็บอกเป็นเชิงห้ามปรามว่าอย่าลงไปเล่นน้ำ เดี๋ยวจะโดนคลื่นซัดตาย เขาก็พยักหน้าอย่างเคย สงสัยจะเป็นใบ้ แต่ทำไมฟังรู้เรื่องโดยไม่ต้องเงยหน้า โชเฟอร์คนเดิมซึ่งคงจะเป็นเจ้าของข้าวห่อนั้น เอ่ยขึ้นลอย ๆ เหมือนอยากจะเล่าให้เพื่อนร่วมอาชีพ ที่มายืนมองอยู่สองสามคนได้ฟังว่า
" มันน่าสงสารว่ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ไม่รู้หลุดมาจากไหนเพิ่งโผล่มาเมื่อบ่ายนี้เอง นอนอยู่อย่างนั้นแหละไม่ยอมขยับเขยื้อน ท่าจะหิวจนหมดแรง เมื่อกี้ผ่านมาทางหน้าวัด ก็เลยซื้อข้าวติดมือมาฝาก "
เพื่อนพ้องก็พยักหน้ารับรู้ และพึมพำกันเป็นเชิงอนุโมทนาในกุศลเจตนาทั้งนี้โดยทั่วกัน ผมเองเอามือคลำกระเป๋ากางเกง กะว่าตอนขากลับจะควักเศษเหรียญ ให้ไว้กินขนมสักสองสามเหรียญ
พอดีเจ้าเด็กนั้นกินอิ่ม เขายกน้ำขวดขึ้นดื่มอั้ก ๆ จนหมดโยนขวดพลาสติกลงไปในแม่น้ำ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของห่อข้าวผู้มีเมตตา ผมนึกว่าเขาจะยกมือไหว้สักครั้ง ก็จะน่ารักมากทีเดียว แต่ผิดคาดเขาทำมือเหมือนกับต้องการอะไรอีกอย่าง
" เฮ้...อิ่มแล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ "
" อาว...อาว..."
เสียงของเขาอ้อแอ้ เหมือนคนลิ้นไก่สั้น
"เอา...อาว..."
โชเฟอร์เจ้าของเรื่อง ขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงไปถามให้ใกล้เข้าไปอีกนิด
" จะเอาอะไรนะ "
"อาว...อาว..."
เขาย้ำอย่างเดิม พร้อมกับกำมือสองมือห่อเข้าด้วยกัน แล้วก็จ่อที่จมูกทำท่าสูดดมอย่างแรง เสียงดัง ฟืด...ฟืด
เพื่อนของโชเฟอร์ผู้มี ใจอารี หัวเราะเฮขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
" มันจะดมกาวว่ะ "
ชายผู้มีจิตใจอันงดงาม ยืดตัวขึ้นตั้งตรง ขบกรามนูนเป็นสัน แววตาของเขาแม้จะมีประกายดุดัน แต่ก็เห็นร่องรอยของความผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเงื้อเท้าขึ้นนิดเดียวแล้วก็ชะงัก พึมพำอยู่ในลำคอ
" ห่ะ...เดี๋ยวพ่อถีบตกน้ำ "
แล้วก็สะบัดหน้ากลับ เดินตามหลังเพื่อนไปยังที่จอดรถจักรยานยนต์คู่ชีพ ซึ่งหมู่ผองเพื่อนของเขา กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่
ผมค่อย ๆ ชักมือออกจากกระเป๋ากางเกง ปิดหนังสือแล้วก็ลุกชึ้นยืน และรีบสาวเท้าเดินออกจากที่นั้น อย่างเจ็บปวดหัวใจ ไม่น้อยไปกว่าโชเฟอร์ผู้
มีน้ำใจคนนั้น
ผมหัวเราะไม่ออกจริง ๆ ครับ.
##########
ความเมตตา ๗เม.ย.๖๑
เพทาย
วันนั้นผมมีกิจกรรมที่จะต้องไปฟังสวดศพเพื่อนรุ่นพี่ ที่วัดสุสิตาราม เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า แต่ขณะนั้นเวลายังเหลืออีกเยอะ จึงเดินเรื่องเปื่อยไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
ผมค่อย ๆ เดินมาจนถึงริมเขื่อนใต้สะพาน ซึ่งถ้าตรงต่อไปก็ จะเป็นท่าเรือ สำหรับผู้โดยสารที่จะข้ามฝากหรือไปเรือด่วน ใช้ขึ้นลง เขื่อนที่ว่านี้ทอดยาวไปตามริมแม่น้ำ มีลักษณะเหมือนขั้นบันไดกว้าง ๆ ลดต่ำลงไปในแม่น้ำ สักสองหรือสามขั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะระดับน้ำสูงขึ้นมาท่วม มองเห็นเพียงขั้นเดียวก่อนที่จะถึงสันเขื่อน เวลาเรือหางยาวหรือเรือด่วน หรือเรือทัศนาจรขนาดใหญ่ ของร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทั้งหลาย แล่นผ่านมา ก็จะเกิดคลื่นเป็นเกลียววิ่งม้วนตัวเข้าฟาดฟัดเขื่อนขั้นล่างดังฉาดฉาน แล้วแตกกระจายกลายเป็นฟองย้อนกลับลงไปดังเดิม ถ้าใครนั่งห้อยขาริมเขื่อนแล้วไม่ระวังตัว ก็อาจจะถูกคลื่นซัดเอาเปียกปอนไปได้ ต้องคอยยกเท้าให้พ้นยอดคลื่นที่ฟาดตัวเข้ามา เป็นเรื่องที่น่าสนุกไปอีกแบบหนึ่ง
ในเวลานั้นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมสะพานไปแล้ว ทั่วบริเวณนั้นจึงร่มรื่นด้วยเงาอันมหึมาของสะพานพระปิ่นเกล้า และร่มไม้ยืนต้นที่มีอยู่พอสมควร สายลมที่พัดผ่านแม่น้ำก็เย็นระรื่นชื่นใจ จึงมีผู้คนแวะเข้ามาพักผ่อนอยู่หลายคน นอกจากเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบปีเศษ ซึ่งนอนคุดคู้เป็นวงกลมเหมือนกิ้งกือ อยู่บนเสื่อขาดใต้ต้นไม้แล้ว ที่ริมเขื่อนก็มีหนุ่มสาว คู่หนึ่ง เอากระดาษหนังสือพิมพ์ปูรองพื้นนั่ง รับประทานของว่างประเภทส้มตำหมูปิ้งอยู่อย่างมีความสุข เวลาคลื่นสาดกระเซ็นขึ้นมาก็จะมีเสียงหัวร่อต่อกระซิก อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แกมน่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อจากนั้นใกล้ทางที่จะเดินลงสะพาน ซึ่งทอดไปสู่ท่าจอดเรือรับส่ง ก็เป็นหมู่จักรยานยนต์รับจ้าง สามสี่ราย จอดคอยผู้โดยสารที่ขึ้นมาจากเรือ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามคิว
ด้านหน้าของเขื่อน มีเด็กเล็กบ้างโตบ้าง ผิวสีดำคล้ำ นุ่งกางเกงบ้างไม่นุ่งบ้าง สามสี่คน แสดงลีลาการกระโดดน้ำแบบต่าง ๆ จากโป๊ะที่เทียบเรือ หรือจากเสาสูงที่ผูกโป๊ะ เพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้คนที่เดินขึ้นลงท่านี้อยู่ตลอดเวลา
ด้านหลังลึกเข้าไปจากริมเขื่อน เป็นทางเดินสัญจรไปมา จึงมีรถเข็นขายไอศกรีม ผลไม้แช่น้ำแข็ง และอาหารแบบอีสาน จอดรอลูกค้าเรียงอยู่ใกล้ ๆ กัน
ผมหย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายสุดใกล้ขอบเขื่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงกับฝอยคลื่น แล้วก็เปิดหนังสือการ์ตูนเก่าแก่ชื่อดัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีการ์ตูน ผมเลือกอ่านแต่เฉพาะเรื่องขำขันสั้น ๆ ก่อน เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านนาน
พลิกไปได้สักครึ่งเล่ม ก็รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง พร้อมกับมีเสียงพูดจ้อกแจ้กจอแจ ผมจึงเหลียวไปดู ก็พบว่ามีชายผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสองสามคน เดินตามหลังเด็กชายที่เห็นนอนขดอยู่นั้น ตรงมาที่ผมนั่ง ผมจึงขยับขยายที่ทางข้างตัวให้ว่าง พอที่เขาจะปูเสื่อ กระรุ่งกระริ่งนั้นลงได้ไม่ห่างนัก ดังนั้นผมจึงเห็นได้ชัดว่าเขามีรูปร่างผอมเกร็ง หน้าตาดำ เนื้อตัวขมุกขมอมดูสกปรก รวมทั้งผมเผ้าเป็นสังกะตังอีกต่างหาก เขานั่งยอง ๆ ลงบนเสื่อ รับเอาห่อข้าวที่โชเฟอร์มอเตอร์ไซค์ส่งให้มาแก้ออกดู มันเป็นข้าวหมูแดงแบบธรรมดา
เขาไม่รอช้าเอามืออันดำนั้นหยิบข้าวเปิบเข้าปากอย่างว่องไว มีเสียงใครถามว่าหิวมากไหม เข้าพยักหน้า ถามว่าเอาน้ำไหม เขาก็พยักหน้าอีก พลางรับน้ำขวดที่มีผู้ส่งให้มาดื่มอึกใหญ่ วางขวดลงเอามือป้ายริมฝีปากแล้วก็เปิบข้าวต่อ
โชเฟอร์ผู้หวังดีก็บอกเป็นเชิงห้ามปรามว่าอย่าลงไปเล่นน้ำ เดี๋ยวจะโดนคลื่นซัดตาย เขาก็พยักหน้าอย่างเคย สงสัยจะเป็นใบ้ แต่ทำไมฟังรู้เรื่องโดยไม่ต้องเงยหน้า โชเฟอร์คนเดิมซึ่งคงจะเป็นเจ้าของข้าวห่อนั้น เอ่ยขึ้นลอย ๆ เหมือนอยากจะเล่าให้เพื่อนร่วมอาชีพ ที่มายืนมองอยู่สองสามคนได้ฟังว่า
" มันน่าสงสารว่ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ไม่รู้หลุดมาจากไหนเพิ่งโผล่มาเมื่อบ่ายนี้เอง นอนอยู่อย่างนั้นแหละไม่ยอมขยับเขยื้อน ท่าจะหิวจนหมดแรง เมื่อกี้ผ่านมาทางหน้าวัด ก็เลยซื้อข้าวติดมือมาฝาก "
เพื่อนพ้องก็พยักหน้ารับรู้ และพึมพำกันเป็นเชิงอนุโมทนาในกุศลเจตนาทั้งนี้โดยทั่วกัน ผมเองเอามือคลำกระเป๋ากางเกง กะว่าตอนขากลับจะควักเศษเหรียญ ให้ไว้กินขนมสักสองสามเหรียญ
พอดีเจ้าเด็กนั้นกินอิ่ม เขายกน้ำขวดขึ้นดื่มอั้ก ๆ จนหมดโยนขวดพลาสติกลงไปในแม่น้ำ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของห่อข้าวผู้มีเมตตา ผมนึกว่าเขาจะยกมือไหว้สักครั้ง ก็จะน่ารักมากทีเดียว แต่ผิดคาดเขาทำมือเหมือนกับต้องการอะไรอีกอย่าง
" เฮ้...อิ่มแล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ "
" อาว...อาว..."
เสียงของเขาอ้อแอ้ เหมือนคนลิ้นไก่สั้น
"เอา...อาว..."
โชเฟอร์เจ้าของเรื่อง ขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงไปถามให้ใกล้เข้าไปอีกนิด
" จะเอาอะไรนะ "
"อาว...อาว..."
เขาย้ำอย่างเดิม พร้อมกับกำมือสองมือห่อเข้าด้วยกัน แล้วก็จ่อที่จมูกทำท่าสูดดมอย่างแรง เสียงดัง ฟืด...ฟืด
เพื่อนของโชเฟอร์ผู้มี ใจอารี หัวเราะเฮขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
" มันจะดมกาวว่ะ "
ชายผู้มีจิตใจอันงดงาม ยืดตัวขึ้นตั้งตรง ขบกรามนูนเป็นสัน แววตาของเขาแม้จะมีประกายดุดัน แต่ก็เห็นร่องรอยของความผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเงื้อเท้าขึ้นนิดเดียวแล้วก็ชะงัก พึมพำอยู่ในลำคอ
" ห่ะ...เดี๋ยวพ่อถีบตกน้ำ "
แล้วก็สะบัดหน้ากลับ เดินตามหลังเพื่อนไปยังที่จอดรถจักรยานยนต์คู่ชีพ ซึ่งหมู่ผองเพื่อนของเขา กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่
ผมค่อย ๆ ชักมือออกจากกระเป๋ากางเกง ปิดหนังสือแล้วก็ลุกชึ้นยืน และรีบสาวเท้าเดินออกจากที่นั้น อย่างเจ็บปวดหัวใจ ไม่น้อยไปกว่าโชเฟอร์ผู้
มีน้ำใจคนนั้น
ผมหัวเราะไม่ออกจริง ๆ ครับ.
##########