กว่าจะขึ้นมาเป็นยอดนักเตะ คุณต้องผ่านการเป็นดาวรุ่ง กว่าคุณจะกลายมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ คุณก็ย่อมต้องมีศูนย์ฝึกนักเตะหรืออะคาเดมี่ที่แข็งแกร่ง เพื่อหวังว่าพวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับคุณในอนาคต
กระนั้นในเวลาที่นักเตะทุกคนยังเป็นดาวรุ่ง ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตคุณจะ “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว” ว่าแล้วบางสโมสรก็จำต้องปล่อยเด็กในคาถาทิ้งไป โดยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะ “ปั้นไม่ขึ้น”
หารู้ไหมว่า พวกเขาคิดผิด! และนี่คือตัวอย่าง 11 นักเตะที่สโมสรผู้ค้นพบ “พลาดมหันต์” ที่ปล่อยให้ทีมอื่นไปฉกมาเป็นสุดยอดนักเตะชื่อดัง
แฮร์รี่ เคน (สเปอร์ส)
สโมสรอะคาเดมี่ : อาร์เซน่อล
เขาเป็นเด็กชายจากเมืองหลวงคนหนึ่งที่มีความฝัน และฝันของเขาคือการเป็นสุดยอดนักเตะ
ครอบครัวของแฮร์รี่ทุกคนล้วนคลั่งฟุตบอล ที่สำคัญพวกเขาต่างเป็นแฟน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ , แฮร์รี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาฝึกฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นที่ชื่อ ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส จากนั้นจึงย้ายไปยังสโมสรที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน ที่ทำให้แฮร์รี่รู้จักฟุตบอล อย่าง อาร์เซน่อล ทีมคู่ปรับตลอดกาลของครอบครัวตัวเอง ที่ได้ตัวเขาไปร่วมทีมตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
เขาอยู่ที่นั่นหนึ่งฤดูกาล และถูกปล่อยตัวออกจากทีม โดยที่เลียม เบรดี้ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฟุตบอลอาร์เซน่อลให้เหตุผลว่า “เขาอ้วนเกินไป และเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว”
ความล้มเหลวในครั้งนั้นผลักดันให้เขาสู้ เขายังไม่ยอมแพ้ และไปทดสอบฝีเท้ากับทีมอริกับอาร์เซน่อล และทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็กอย่าง สเปอร์ส ครั้งแรก ยังไม่สำเร็จ เขาจึงกลับไปที่ริดจ์เวย์ สโมสรเดิม และเดินทางต่อไปที่วัตฟอร์ด จากนั้น สเปอร์ส จึงให้โอกาสเขาอีกครั้งในปี 2004 เริ่มแรก ให้เล่นในตำแหน่งโฮลดิ้งมิดฟิลด์ และปรับตำแหน่งให้เล่นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์หน้าในที่สุด
แม้จะได้เล่นให้กับสโมสรที่เชียร์ตั้งแต่เด็กตามความฝัน แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เขาต้องเดินสายเล่นแบบยืมตัวกับทีมอย่างเลย์ตัน โอเรียนท์ , มิลล์วอลล์ , นอริช ซิตี้ , เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนได้ขึ้นชุดใหญ่ถาวรเมื่อปี 2014 … จากนั้น ทุกอย่างคือปรากฎการณ์ และการขีดเขียนครั้งสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
“การถูกปฎิเสธจากอาร์เซน่อลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มันกลายเป็นแรงขับสำคัญให้ผม จนทำให้ผมมีวันนี้”
“ทุกครั้งที่ผมลงเล่นให้กับพวกเขา ผมคิดอย่างเดียว ผมจะพิสูจน์ให้พวกเขารู้ ว่าพวกเขาคิดผิด หรือคิดถูก ที่ไม่ปั้นผมในเวลานั้น”
“การถูกปฏิเสธ เป็นยาชั้นดีสำหรับคนอย่างผม อย่างน้อยช่วงเวลาที่ผมเอาชนะอาร์เซน่อล และเดินไปรอบๆสนาม ผมปรบมือให้กับแฟนๆของพวกเขา พร้อมกับคำพูดในใจที่ว่า ‘ผมบอกพวกคุณแล้ว พวกคุณคิดผิด!”
อาร์แซน เวนเกอร์เองยังยอมรับว่า นั่นคือความผิดพลาด เขาได้ปล่อยนักเตะตัวเล็กๆ ที่กลายมาเป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดในอังกฤษเวลานี้ … แฮร์รี่ เคน
ราอูล กอนซาเลซ (เรอัล มาดริด)
สโมสรอะคาเดมี่ : แอตเลติโก มาดริด
ตำนานตลอดกาลแห่งซานติอาโก้ เบร์นาเบว ไม่ได้สวมชุดสีขาวตั้งแต่เริ่มเส้นทางชีวิตนักเตะวัยเยาว์ เขาสวมเสื้อลายทางสีแดง-ขาวต่างหาก
หลังจากเริ่มรู้จักการเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นอย่าง ซาน คริสโตบาล หนุ่มน้อยราอูล กอนซาเลซไปฝึกฟุตบอลกับทีมที่คุณพ่อเชียร์อย่าง “แอตเลติโก มาดริด”
ราอูลระเบิดฟอร์มช่วยทีมเยาวชน” ตราหมี” จนคว้าแชมป์ในระดับเยาวชนกับทีมภายในเวลาไม่นาน ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวยกระทั่ง เฆซุส กิล ประธานสโมสรในขณะนั้นตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยุบอะคาเดมี่ของสโมสรทั้งหมดเนื่องจากมองว่าเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
เขาถูกส่งต่อไปยังทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด และกลายเป็นตำนานของทีมนับจากนั้น
ที่ทำให้ แอตเลติฯ เจ็บใจเล่นคือ หลังจากที่พวกเขาปล่อยตัวเด็กคนนี้ไปเพียงแค่ 2 ปี เรอัล มาดริดก็จับเขาขึ้นชุดใหญ่ และลงเล่นเกมมาดริด ดาร์บี้ ครั้งแรกของตัวเอง และอย่างที่ทุกคนคิด เขาทำประตูใส่ทีมเก่าที่ตัดสินใจปล่อยตัวเขาออกมาอย่างเจ็บแสบ
การแจ้งเกิดของ ราอูล ที่ เบร์นาเบว เป็นการสิ้นสุดตำนานอีกคนของสโมสรอย่าง เอมิลิโอ บูตราเกนโญ่ ที่ตัดสินใจหลีกทางไปค้าแข้งที่เม็กซิโก
แอตเลติโก มาดริด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ลา ลีกา และ โคปาเดลเรย์ ในฤดูกาล 1995-1996 ซึ่งก็เป็นซีซั่นเดียวที่พวกเขาทำได้ในทศวรรษ ‘90 นอกนั้นก็ต้องมองดาวรุ่งที่ตัวเองเคยปลุกปั้น เติบโตขึ้นมาเป็นสตาร์ดังของคู่ปรับตลอดกาลอย่างน่าเจ็บปวดใจ
แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ (เลสเตอร์ ซิตี้)
สโมสรอะคาเดมี่ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เขาเกิดและโตที่แมนเชสเตอร์ และเข้ามาสู่อะคาเดมี่ของ “ปีศาจแดง” ตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ จากนั้นกลายมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดยู-18 และขึ้นชั้นมาสู่ทีมสำรองในเวลาต่อมา
ในยุคปลายของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นเรื่องยากที่เยาวชนสักคนจะถูกผลักดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่และแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดของเขาคือการมีชื่อติดเป็นตัวสำรองในเกมนัดปิดฤดูกาล ที่ ยูไนเต็ด พบ ฮัลล์ ซิตี้ในปี 2009 และเขาไม่มีโอกาสลงสนามแม้แต่วินาทีเดียว
เขาถูกปล่อยยืมไปเล่นให้กับหลายทีม ทั้งฮัดเดอร์สฟิลด์ , คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ , วัตฟอร์ด และ บาร์นสลี่ย์ การเล่นแบบยืมตัวให้กับทั้ง 4 ทีมกินเวลาไป 4 ฤดูกาล โดยที่เซอร์ อเล็กซ์ ก็ยังมองว่า เขายังไม่ดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ของ “ปีศาจแดง”
ที่สุดแล้ว ยูไนเต็ดก็ไม่ยื้อเขาไว้อีก เขาเซ็นสัญญาถาวรย้ายไปร่วมทีมเลสเตอร์ ซิตี้เมื่อปี 2012 ที่นั่นไม่เหมือนกับแมนเชสเตอร์ เขามีตัวตน และเป็นกำลังสำคัญพา “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมได้แชมเปี้ยนชิพ และพาทีมขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในปี 2014
เขาเจอคู่ขาในแดนกลางที่รู้ใจอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และเล่นฟุตบอลกับเพื่อนร่วมทีมด้วยความสุขและความฝัน มันเป็นความฝันที่ไม่มีใครกล้าตั้งเป้า แต่กล้าที่จะฝัน
แทบไม่มีใครเชื่อ ยกเว้นคนในเมืองเลสเตอร์ และทุกคนในทีมเลสเตอร์ ว่าความฝันนั้น สุดท้ายก็เป็นความจริง เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จเมื่อฤดูกาล 2015-2016 ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งกองกลางที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ และนำไปสู่การติดธง “สิงโตคำราม” ได้เป็นครั้งแรก
จากกองกลางที่ไม่ดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ของ แมนฯยูไนเต็ด แต่ทุกวันนี้ ดริงค์วอเตอร์ กลายเป็นกองกลางค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ที่เชลซี ยอมจ่ายให้กับ เลสเตอร์ เพื่อดึงเขามาเสริมทีมเมื่อปีที่แล้ว
ขณะนี้ ดริงค์วอเตอร์ กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงในแดนกลางของ “สิงห์บลูส์” แต่อย่างน้อย ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ยากเหมือนตอนอยู่ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และอย่างน้อย เขาก็ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ถ้วยที่สโมสรอะคาเดมี่ของเขา ไม่ได้สัมผัสมานานถึง 4 ฤดูกาลแล้ว
เจมี่ วาร์ดี้ (เลสเตอร์ ซิตี้)
สโมสรอะคาเดมี่ : เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ ไม่ได้มีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้าม เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย กว่าจะกลายมาเป็นยอดศูนย์หน้าระดับต้นๆของพรีเมียร์ลีก และมีโอกาสพอสมควร ที่จะติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียกลางปีนี้
เขาเกิดที่เมืองเชฟฟิลด์ เมืองแห่งอุตสาหกรรมเหล็ก และได้โอกาสฝึกฟุตบอลกับสโมสรดังของเมืองอย่าง “เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์” เพียงแต่เขาไม่ประสบความสำเร็จกับทีม “นกเค้าแมว” เนื่องจากโดนสบประมาทว่า ตัวเล็กเกินไป แน่นอน แรงผลักดันนั้นทำให้เขาต้องกลับไปสร้างตัวเองให้ใหญ่ขึ้น เขาไปศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ร็อตเธอร์แฮม และกลับมาตั้งหลักใหม่กับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อ สต็อกส์บริดจ์ สตีล พาร์ค และรับค่าเหนื่อยเพียง 30 ปอนด์ หรือราว 1,300 บาทต่อสัปดาห์
ฟอร์มของเขาที่สต็อกบริดจ์ ไปเตะตาทีมอย่าง ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมนอกลีก ที่ดึงตัวเขามาเสริมทีมในปี 2010 เขาไม่ทำให้โค้ชที่ไว้ใจเขาอย่าง นีล แอสปิน ผิดหวัง และเพียงฤดูกาลเดียว ฟลีตวู้ด ทาวน์ ก็ดึงตัวเขาไปร่วมทีม และในฤดูกาลเดียวอีกเช่นกัน เขาทำไปถึง 34 ประตู และนั่นนำไปสู่การย้ายทีมครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือ “เลสเตอร์ ซิตี้”
ขณะที่ วาร์ดี้ ได้สัมผัสถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก และมีโอกาสโลดแล่นบนเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ทีมอย่างเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ทุกวันนี้ยังคงอยู่ใน แชมเปี้ยนชิพ และยังไม่มีโอกาสเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกเลย นับตั้งแต่วาร์ดี่จากไป จนถึงทุกวันนี้
มัตต์ส ฮุมเมิ่ลส์ (บาเยิร์น มิวนิค**)
สโมสรอะคาเดมี่ : บาเยิร์น มิวนิค
(**ฮุมเมิ่ลส์ โดน บาเยิร์น ซื้อกลับมาจาก ดอร์ทมุนด์ ในภายหลัง)
กองหลังผลผลิตแท้ๆจากอ้อมอกของ บาเยิร์น มิวนิค เขาเซ็นสัญญากับทีมเยาวชนของ “เสือใต้” ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ กระทั่งเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีมในปี 2006 กระทั่งเคยเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับ บาเยิร์น ในบุนเดสลีกาปี 2007 ในเกมเปิดบ้านเอาชนะไมนซ์ ไป 5-2 ขณะที่อายุได้ 19 ปี
ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวย แต่สุดท้าย เขาก็ถูกปล่อยตัวให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืมไปใช้งาน และจับคู่กับ เนเว่น ซูโบติช แนวรับชาวเซอร์เบียอย่างเข้าขา ซึ่งนั่นทำให้ “เสือเหลือง” เซ็นสัญญาถาวรกับเขาด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร แปลว่า ณ เวลานั้น บาเยิร์น ไม่ต้องการที่จะใช้งาน ฮุมเมิ่ลส์ อีกต่อไป เพราะเราทราบกันดีว่า “เสือใต้” มักจะไม่ปล่อยผู้เล่นตัวหลักของตัวเองแบบขายขาดไปง่ายๆ เว้นแต่เห็นว่าจะไม่มีประโยชน์กับทีมโดยสิ้นเชิงแล้ว
ฮุมเมิ่ลส์ ที่กลายร่างไปสวมเสื้อสีเหลือง กลายเป็นปราการหลังที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของยุโรป เขาได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติครบทั้งการเข้าสกัดบอล , ยืนตำแหน่ง , การจ่ายบอล และความเยือกเย็นในการอ่านเกม เขาพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จถึงสองสมัยซ้อน (2011 และ 2012) กระทั่งพาดอร์ทมุนด์ทำแสบกับสังกัดเก่า(ในเวลานั้น) ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น 5-2 ในนัดชิงชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาลปีเดียวกัน เป็นการประกาศศักดามหาอำนาจฟุตบอลเยอรมันอย่างสมบูรณ์
บาเยิร์น เฝ้าติดตามฟอร์มของ ฮุมเมิ่ลส์ มาตั้งแต่บัดนั้น กระทั่งต้องยอมเซ็นสัญญาดึงตัว ฮุมเมิ่ลส์ กลับมาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโรในที่สุด หลังจากปล่อยให้เป็นหอกข้างแคร่อยู่กับคู่ปรับสำคัญอย่าง ดอร์ทมุนด์ มานานสองนาน
credit : www.fourfourtwo.com/th
ตอนนั้นไม่เห็นแวว 11 แข้งโดนอคาเดมีเก่าทิ้งไร้เยื่อใย ก่อนกลายเป็นนักเตะดัง
กระนั้นในเวลาที่นักเตะทุกคนยังเป็นดาวรุ่ง ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตคุณจะ “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว” ว่าแล้วบางสโมสรก็จำต้องปล่อยเด็กในคาถาทิ้งไป โดยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะ “ปั้นไม่ขึ้น”
หารู้ไหมว่า พวกเขาคิดผิด! และนี่คือตัวอย่าง 11 นักเตะที่สโมสรผู้ค้นพบ “พลาดมหันต์” ที่ปล่อยให้ทีมอื่นไปฉกมาเป็นสุดยอดนักเตะชื่อดัง
แฮร์รี่ เคน (สเปอร์ส)
สโมสรอะคาเดมี่ : อาร์เซน่อล
เขาเป็นเด็กชายจากเมืองหลวงคนหนึ่งที่มีความฝัน และฝันของเขาคือการเป็นสุดยอดนักเตะ
ครอบครัวของแฮร์รี่ทุกคนล้วนคลั่งฟุตบอล ที่สำคัญพวกเขาต่างเป็นแฟน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ , แฮร์รี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาฝึกฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นที่ชื่อ ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส จากนั้นจึงย้ายไปยังสโมสรที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน ที่ทำให้แฮร์รี่รู้จักฟุตบอล อย่าง อาร์เซน่อล ทีมคู่ปรับตลอดกาลของครอบครัวตัวเอง ที่ได้ตัวเขาไปร่วมทีมตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
เขาอยู่ที่นั่นหนึ่งฤดูกาล และถูกปล่อยตัวออกจากทีม โดยที่เลียม เบรดี้ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฟุตบอลอาร์เซน่อลให้เหตุผลว่า “เขาอ้วนเกินไป และเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว”
ความล้มเหลวในครั้งนั้นผลักดันให้เขาสู้ เขายังไม่ยอมแพ้ และไปทดสอบฝีเท้ากับทีมอริกับอาร์เซน่อล และทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็กอย่าง สเปอร์ส ครั้งแรก ยังไม่สำเร็จ เขาจึงกลับไปที่ริดจ์เวย์ สโมสรเดิม และเดินทางต่อไปที่วัตฟอร์ด จากนั้น สเปอร์ส จึงให้โอกาสเขาอีกครั้งในปี 2004 เริ่มแรก ให้เล่นในตำแหน่งโฮลดิ้งมิดฟิลด์ และปรับตำแหน่งให้เล่นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์หน้าในที่สุด
แม้จะได้เล่นให้กับสโมสรที่เชียร์ตั้งแต่เด็กตามความฝัน แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เขาต้องเดินสายเล่นแบบยืมตัวกับทีมอย่างเลย์ตัน โอเรียนท์ , มิลล์วอลล์ , นอริช ซิตี้ , เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนได้ขึ้นชุดใหญ่ถาวรเมื่อปี 2014 … จากนั้น ทุกอย่างคือปรากฎการณ์ และการขีดเขียนครั้งสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
“การถูกปฎิเสธจากอาร์เซน่อลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มันกลายเป็นแรงขับสำคัญให้ผม จนทำให้ผมมีวันนี้”
“ทุกครั้งที่ผมลงเล่นให้กับพวกเขา ผมคิดอย่างเดียว ผมจะพิสูจน์ให้พวกเขารู้ ว่าพวกเขาคิดผิด หรือคิดถูก ที่ไม่ปั้นผมในเวลานั้น”
“การถูกปฏิเสธ เป็นยาชั้นดีสำหรับคนอย่างผม อย่างน้อยช่วงเวลาที่ผมเอาชนะอาร์เซน่อล และเดินไปรอบๆสนาม ผมปรบมือให้กับแฟนๆของพวกเขา พร้อมกับคำพูดในใจที่ว่า ‘ผมบอกพวกคุณแล้ว พวกคุณคิดผิด!”
อาร์แซน เวนเกอร์เองยังยอมรับว่า นั่นคือความผิดพลาด เขาได้ปล่อยนักเตะตัวเล็กๆ ที่กลายมาเป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดในอังกฤษเวลานี้ … แฮร์รี่ เคน
ราอูล กอนซาเลซ (เรอัล มาดริด)
สโมสรอะคาเดมี่ : แอตเลติโก มาดริด
ตำนานตลอดกาลแห่งซานติอาโก้ เบร์นาเบว ไม่ได้สวมชุดสีขาวตั้งแต่เริ่มเส้นทางชีวิตนักเตะวัยเยาว์ เขาสวมเสื้อลายทางสีแดง-ขาวต่างหาก
หลังจากเริ่มรู้จักการเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นอย่าง ซาน คริสโตบาล หนุ่มน้อยราอูล กอนซาเลซไปฝึกฟุตบอลกับทีมที่คุณพ่อเชียร์อย่าง “แอตเลติโก มาดริด”
ราอูลระเบิดฟอร์มช่วยทีมเยาวชน” ตราหมี” จนคว้าแชมป์ในระดับเยาวชนกับทีมภายในเวลาไม่นาน ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวยกระทั่ง เฆซุส กิล ประธานสโมสรในขณะนั้นตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยุบอะคาเดมี่ของสโมสรทั้งหมดเนื่องจากมองว่าเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
เขาถูกส่งต่อไปยังทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด และกลายเป็นตำนานของทีมนับจากนั้น
ที่ทำให้ แอตเลติฯ เจ็บใจเล่นคือ หลังจากที่พวกเขาปล่อยตัวเด็กคนนี้ไปเพียงแค่ 2 ปี เรอัล มาดริดก็จับเขาขึ้นชุดใหญ่ และลงเล่นเกมมาดริด ดาร์บี้ ครั้งแรกของตัวเอง และอย่างที่ทุกคนคิด เขาทำประตูใส่ทีมเก่าที่ตัดสินใจปล่อยตัวเขาออกมาอย่างเจ็บแสบ
การแจ้งเกิดของ ราอูล ที่ เบร์นาเบว เป็นการสิ้นสุดตำนานอีกคนของสโมสรอย่าง เอมิลิโอ บูตราเกนโญ่ ที่ตัดสินใจหลีกทางไปค้าแข้งที่เม็กซิโก
แอตเลติโก มาดริด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ลา ลีกา และ โคปาเดลเรย์ ในฤดูกาล 1995-1996 ซึ่งก็เป็นซีซั่นเดียวที่พวกเขาทำได้ในทศวรรษ ‘90 นอกนั้นก็ต้องมองดาวรุ่งที่ตัวเองเคยปลุกปั้น เติบโตขึ้นมาเป็นสตาร์ดังของคู่ปรับตลอดกาลอย่างน่าเจ็บปวดใจ
แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ (เลสเตอร์ ซิตี้)
สโมสรอะคาเดมี่ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เขาเกิดและโตที่แมนเชสเตอร์ และเข้ามาสู่อะคาเดมี่ของ “ปีศาจแดง” ตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ จากนั้นกลายมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดยู-18 และขึ้นชั้นมาสู่ทีมสำรองในเวลาต่อมา
ในยุคปลายของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นเรื่องยากที่เยาวชนสักคนจะถูกผลักดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่และแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดของเขาคือการมีชื่อติดเป็นตัวสำรองในเกมนัดปิดฤดูกาล ที่ ยูไนเต็ด พบ ฮัลล์ ซิตี้ในปี 2009 และเขาไม่มีโอกาสลงสนามแม้แต่วินาทีเดียว
เขาถูกปล่อยยืมไปเล่นให้กับหลายทีม ทั้งฮัดเดอร์สฟิลด์ , คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ , วัตฟอร์ด และ บาร์นสลี่ย์ การเล่นแบบยืมตัวให้กับทั้ง 4 ทีมกินเวลาไป 4 ฤดูกาล โดยที่เซอร์ อเล็กซ์ ก็ยังมองว่า เขายังไม่ดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ของ “ปีศาจแดง”
ที่สุดแล้ว ยูไนเต็ดก็ไม่ยื้อเขาไว้อีก เขาเซ็นสัญญาถาวรย้ายไปร่วมทีมเลสเตอร์ ซิตี้เมื่อปี 2012 ที่นั่นไม่เหมือนกับแมนเชสเตอร์ เขามีตัวตน และเป็นกำลังสำคัญพา “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมได้แชมเปี้ยนชิพ และพาทีมขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในปี 2014
เขาเจอคู่ขาในแดนกลางที่รู้ใจอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และเล่นฟุตบอลกับเพื่อนร่วมทีมด้วยความสุขและความฝัน มันเป็นความฝันที่ไม่มีใครกล้าตั้งเป้า แต่กล้าที่จะฝัน
แทบไม่มีใครเชื่อ ยกเว้นคนในเมืองเลสเตอร์ และทุกคนในทีมเลสเตอร์ ว่าความฝันนั้น สุดท้ายก็เป็นความจริง เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จเมื่อฤดูกาล 2015-2016 ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งกองกลางที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ และนำไปสู่การติดธง “สิงโตคำราม” ได้เป็นครั้งแรก
จากกองกลางที่ไม่ดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ของ แมนฯยูไนเต็ด แต่ทุกวันนี้ ดริงค์วอเตอร์ กลายเป็นกองกลางค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ที่เชลซี ยอมจ่ายให้กับ เลสเตอร์ เพื่อดึงเขามาเสริมทีมเมื่อปีที่แล้ว
ขณะนี้ ดริงค์วอเตอร์ กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงในแดนกลางของ “สิงห์บลูส์” แต่อย่างน้อย ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ยากเหมือนตอนอยู่ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และอย่างน้อย เขาก็ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ถ้วยที่สโมสรอะคาเดมี่ของเขา ไม่ได้สัมผัสมานานถึง 4 ฤดูกาลแล้ว
เจมี่ วาร์ดี้ (เลสเตอร์ ซิตี้)
สโมสรอะคาเดมี่ : เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ ไม่ได้มีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้าม เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย กว่าจะกลายมาเป็นยอดศูนย์หน้าระดับต้นๆของพรีเมียร์ลีก และมีโอกาสพอสมควร ที่จะติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียกลางปีนี้
เขาเกิดที่เมืองเชฟฟิลด์ เมืองแห่งอุตสาหกรรมเหล็ก และได้โอกาสฝึกฟุตบอลกับสโมสรดังของเมืองอย่าง “เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์” เพียงแต่เขาไม่ประสบความสำเร็จกับทีม “นกเค้าแมว” เนื่องจากโดนสบประมาทว่า ตัวเล็กเกินไป แน่นอน แรงผลักดันนั้นทำให้เขาต้องกลับไปสร้างตัวเองให้ใหญ่ขึ้น เขาไปศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ร็อตเธอร์แฮม และกลับมาตั้งหลักใหม่กับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อ สต็อกส์บริดจ์ สตีล พาร์ค และรับค่าเหนื่อยเพียง 30 ปอนด์ หรือราว 1,300 บาทต่อสัปดาห์
ฟอร์มของเขาที่สต็อกบริดจ์ ไปเตะตาทีมอย่าง ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมนอกลีก ที่ดึงตัวเขามาเสริมทีมในปี 2010 เขาไม่ทำให้โค้ชที่ไว้ใจเขาอย่าง นีล แอสปิน ผิดหวัง และเพียงฤดูกาลเดียว ฟลีตวู้ด ทาวน์ ก็ดึงตัวเขาไปร่วมทีม และในฤดูกาลเดียวอีกเช่นกัน เขาทำไปถึง 34 ประตู และนั่นนำไปสู่การย้ายทีมครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือ “เลสเตอร์ ซิตี้”
ขณะที่ วาร์ดี้ ได้สัมผัสถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก และมีโอกาสโลดแล่นบนเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ทีมอย่างเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ทุกวันนี้ยังคงอยู่ใน แชมเปี้ยนชิพ และยังไม่มีโอกาสเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกเลย นับตั้งแต่วาร์ดี่จากไป จนถึงทุกวันนี้
มัตต์ส ฮุมเมิ่ลส์ (บาเยิร์น มิวนิค**)
สโมสรอะคาเดมี่ : บาเยิร์น มิวนิค
(**ฮุมเมิ่ลส์ โดน บาเยิร์น ซื้อกลับมาจาก ดอร์ทมุนด์ ในภายหลัง)
กองหลังผลผลิตแท้ๆจากอ้อมอกของ บาเยิร์น มิวนิค เขาเซ็นสัญญากับทีมเยาวชนของ “เสือใต้” ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ กระทั่งเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีมในปี 2006 กระทั่งเคยเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับ บาเยิร์น ในบุนเดสลีกาปี 2007 ในเกมเปิดบ้านเอาชนะไมนซ์ ไป 5-2 ขณะที่อายุได้ 19 ปี
ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวย แต่สุดท้าย เขาก็ถูกปล่อยตัวให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืมไปใช้งาน และจับคู่กับ เนเว่น ซูโบติช แนวรับชาวเซอร์เบียอย่างเข้าขา ซึ่งนั่นทำให้ “เสือเหลือง” เซ็นสัญญาถาวรกับเขาด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร แปลว่า ณ เวลานั้น บาเยิร์น ไม่ต้องการที่จะใช้งาน ฮุมเมิ่ลส์ อีกต่อไป เพราะเราทราบกันดีว่า “เสือใต้” มักจะไม่ปล่อยผู้เล่นตัวหลักของตัวเองแบบขายขาดไปง่ายๆ เว้นแต่เห็นว่าจะไม่มีประโยชน์กับทีมโดยสิ้นเชิงแล้ว
ฮุมเมิ่ลส์ ที่กลายร่างไปสวมเสื้อสีเหลือง กลายเป็นปราการหลังที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของยุโรป เขาได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติครบทั้งการเข้าสกัดบอล , ยืนตำแหน่ง , การจ่ายบอล และความเยือกเย็นในการอ่านเกม เขาพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จถึงสองสมัยซ้อน (2011 และ 2012) กระทั่งพาดอร์ทมุนด์ทำแสบกับสังกัดเก่า(ในเวลานั้น) ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น 5-2 ในนัดชิงชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาลปีเดียวกัน เป็นการประกาศศักดามหาอำนาจฟุตบอลเยอรมันอย่างสมบูรณ์
บาเยิร์น เฝ้าติดตามฟอร์มของ ฮุมเมิ่ลส์ มาตั้งแต่บัดนั้น กระทั่งต้องยอมเซ็นสัญญาดึงตัว ฮุมเมิ่ลส์ กลับมาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโรในที่สุด หลังจากปล่อยให้เป็นหอกข้างแคร่อยู่กับคู่ปรับสำคัญอย่าง ดอร์ทมุนด์ มานานสองนาน
credit : www.fourfourtwo.com/th