เล่าจากเท่าที่จำได้นะครับเพราะเรื่องก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ช่วงประมาณ อายุ 20-21 เนี่ยแหละครับได้ทำการขอผ่อนผันทหาร เนื่องจากช่วงนั้นได้ทำการติดเรียน ก็ผ่อนผันทำเรื่องปกติสมบูรณ์ดีครับ แล้วปีต่อมาก็เรียนปกติเลยครับ ตรงๆนะครับ ว่าลืมว่าต้องผ่อนผันปีต่อมาด้วย เลยไม่ได้ไปผ่อนผัน ไม่ได้ไปตรวจคัดเลือกอะไรทั้งนั้น คือก็ทำโปรเจคที่เรียนนั้นแหละ ไม่ได้สนใจไร และก็ทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วย จนช่วงประมาณ เดือน 10-11 ก็มีหมายเรียกสอบสวน จากสถานีตำรวจแถวบ้านมาถึงบ้านตามบ้านเลขที่ ณ ตอนนั้น ที่อยู่จริงไม่ได้อยู่ตามทะเบียนบ้านนะครับ พอดีเจ้าบ้านเป็นญาติฝั่งแม่ ไปอาศัยทะเบียนบ้านเค้าอยู่เฉยๆ แต่ตอนนั้นแม่ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด
มาต่อครับ ปีที่มีหมายเรียกสอบสวนนั้นพ่อก็ได้ล้มป่วยก่อนหน้ามีหมายไม่กี่เดือนครับอาการพ่อคือ ไขมันอุดตัดในเส้นเลือด ทำให้เป็นอัมพฤก ซีกซ้ายทั้งหมด ช่วยเหลือตนได้ไม่เต็มร้อยแต่ไม่สามารถยกของได้เพราะแขนอ่อนแรง เดินกระเผกข้าง นั้นแหละครับจุดเริ่มต้นความลำบากเต็มรูปแบบครับ เพราะพ่อทำงานฟรีแลนด์บริษัทต่างๆ เงินไม่ได้เยอะ บอกเลยว่าพ่อไม่มีเงินเก็บให้ลูกเลยสักแดงครับ เพราะขนาดตอนเรียน ตั้งแต่ ม.3 ขึ้นมา ผมก็ทำงานลูกค้า หาเงินเรียนเองแล้วครับ ช่วงที่พ่อล้มป่วย ตอนนั้นกำลังจะจบ ปวส.ปีที่ 2 แล้ว แต่ผมหยุดเรียน เอาเงินที่ต้องจ่ายค่าเทอมสุดท้ายมารักษาพ่อและเป็นค่าบ้าน เพราะอยู่บ้านเช่ากับพ่อ 2 คน บอกก่อนครับผมมีพี่ 1 คน แต่พี่มีครอบครัวแต่งงาน จดทะเบียนไปแล้ว มีลูก มีรายจ่ายเยอะ บวกกับพี่ผมตกงาน มีแต่แฟนของพี่หาเลี้ยงคนเดียวครับ และผมกับพี่ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี เหตุผลเพราะเรื่องเงินที่พี่ผมยืมไปแล้วไม่คืน เลยตัดความเป็นพี่น้องกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
มาต่อเรื่องทหารครับ หลังจากมีหมายสอบสวนจากตำรวจ ผมได้ขอเข้าทำการมอบตัวทันทีครับ โดยไปที่ สน และพาพ่อไปด้วยเพราะ ตำรวจโทรไปเบอร์ตามทะเบียนบ้านและญาติได้ขอเบอร์ตำรวจท่านนั้นไว้ และบอกผมเมื่อวันที่เจอกันพอดี ก็เลยโทรคุยเล่าเรื่องพ่อ แม่ พี่ ให้เค้าฟัง เค้าบอกงั้นพาพ่อมา สน. ด้วย ผมก็พาไป ตำรวจก็บอกต้องส่งศาลในเที่ยงนั้นเลย ผมบอกโอเค โดยตำรวจให้ผมนั่งแท๊กซี่ ไปเจอที่ศาล เพราะตำรวจไม่อยากให้นั่งรวมไปกับ ผู้ร้าย เพราะในรถกะบะตำรวจ มันมีผู้ร้ายฆ่าข่มขืนพอดี ที่ต้องขึ้นศาลที่เดียวกับผม เค้าเลยบอกไปเจอที่ศาลละกัน กลัวเราถูกมองไม่ดี ก็โอเค เจอกันที่ศาล ก็ขึ้นศาล ศาลก็พูดดีมากครับ บอกรอลงอาญา 1 ปี ให้ไปทำเรื่องไรให้เสร็จและก็ถามถึงที่บ้านว่าทำไมถึงไม่ผ่อนผันปีต่อมา ไม่ตามเรื่อง ผมก็เล่าเรื่องที่บอก และก็บอกตรงๆว่าผมไม่รู้เรื่องกฎหมายตรงนี้ละเอียด เพราะตอนขึ้น สด9 ผมก็ไม่ทราบด้วยซ่ำด้วยขึ้นตอนไหน พ่อเป็นคนพาไปขึ้น และช้ากว่ากำหนดจำได้ว่าเสียค่าปรับหลักร้อยด้วย จนขึ้นศาลเสร็จเค้าก็ให้ไปติดต่อสัสดี ขึ้นศาลไม่ถึง 5 นาทีครับ เหมือนไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วกลับประมาณนั้น และก็บ่ายนิดๆ ก็รีบนั่งวินไปอำเภอเพื่อติดต่อสัสดี ก็คุยกับสัสดี ว่าผมจะขอตามผ่อนผันดูแลพ่อได้ไหม สัสดีพูดสวนเลย กูจะให้เป็นและยังไงก็ต้องเป็น ปีหน้าพลัด 1 ผมก็ตกใจ เพราะนี้ก็จะสิ้นปีแล้ว ก็เลยบอก แล้วใครจะดูแลพ่อผมละ ใครจะหาเงินเช่าบ้าน ค่ายาของพ่อ ค่าใช้จ่ายอีก เพราะตรงๆ พี่ผมไม่เคยช่วยอะไรเลยสักบาท เพราะมันเองยังเอาตัวไม่รอดเลยมั้ง ทักมายืมเงินผมบ่อยๆ ผมก็ไม่ให้ บอกก่อนนะครับส่วนตัวผมทำงาน 2 กะครับ เป็นลูกจ้างร้านขายของคลองถม ได้วันละ 330 บาท และเอาของที่ร้านเปิดร้านขายออนไลน์ ซึ่งเดือนๆ นึง รวมๆ รายได้ประมาณ 15000-20000 ยังไม่หักค่าใช้จ่ายนะครับ ถ้าพูดถึงเงินเก็บ มีนิดหน่อยแค่หลักหมื่นครับ สำหรับวัยขนาดนี้ผมถือว่าน้อย และหลักจากวันนั้นที่ไปหาสัสดี ปีต่อมา ผมก็ไม่ได้ไปคัดเลือกอีกเลย จนอายุ 30 นิดๆแล้ว หมายอะไรก็ยังไม่เคยได้ เพราะเคยถามเจ้าบ้าน ว่ามีหมายหรือจดหมายชื่อผมมามั้งป่าว เค้าบอกว่า ไม่มี (อันนี้ไม่แน่ใจว่าญาติเค้าสนใจหรือป่าว เพราะตอนนี้อยู่ ตจว ไม่ได้อยู่ กทม ตามทะเบียนบ้าน)
เลยอยากทราบว่า
- หลังจากนี้ไป ผมทำอะไรได้มั้ง เพราะบอกตรงๆ พ่ออยู่ได้อีกไม่นานครับเพราะอาการแย่ลงกว่าช่วงแรกหลายเท่าแล้ว
- ผมต้องติดต่อทำเรื่องให้ถูกต้องอะไรได้บ้างครับ
- ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างครับ
- ต้องรับโทษอะไรมั้งครับ
** ขอคนตอบแบบดีๆนะครับ เพราะผมเจอมาหลายโพส ชอบเหน็บแนม ซึ่งการเป็นทหารผมไม่ได้กลัวครับ หากเค้าจะให้เป็นก็ยินดี แต่ห่วงครอบครัวมากกว่า เพราะการเป็นทหารไม่ได้การันตีว่าครอบครัวจะอยู่รอด ถ้าการที่ผมเป็นทหาร แล้วทำให้ขาดคนดูแลพ่อ ไม่มีบ้านอยู่ ผมไม่โอเคครับ ผมมีภาระจริงๆ ผมถึงเลือกที่จะปล่อยเรื่องทหารไป ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตปกติดีครับบัตรประชาชนก็หมดอายุมาหลายปีแล้วละ ไม่กล้าไปต่อกลัวจะงานเข้า ตรงๆ ถ้าไม่มีพ่อ ผมยอมมอบเป็นไปนานแล้ว ติดตรงนี้จริงๆ ไม่ได้วอนให้เห็นใจ แต่โปรดเข้าใจผมหน่อยนะครับ รับใช้ชาติแต่ครอบครัวพิการ ผมว่ามันไม่แฟร์ต่อชนชั้นต่ำอย่างผมจริงๆ
ฝากไว้ด้วยครับ
อายุ30 ปี ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร
มาต่อครับ ปีที่มีหมายเรียกสอบสวนนั้นพ่อก็ได้ล้มป่วยก่อนหน้ามีหมายไม่กี่เดือนครับอาการพ่อคือ ไขมันอุดตัดในเส้นเลือด ทำให้เป็นอัมพฤก ซีกซ้ายทั้งหมด ช่วยเหลือตนได้ไม่เต็มร้อยแต่ไม่สามารถยกของได้เพราะแขนอ่อนแรง เดินกระเผกข้าง นั้นแหละครับจุดเริ่มต้นความลำบากเต็มรูปแบบครับ เพราะพ่อทำงานฟรีแลนด์บริษัทต่างๆ เงินไม่ได้เยอะ บอกเลยว่าพ่อไม่มีเงินเก็บให้ลูกเลยสักแดงครับ เพราะขนาดตอนเรียน ตั้งแต่ ม.3 ขึ้นมา ผมก็ทำงานลูกค้า หาเงินเรียนเองแล้วครับ ช่วงที่พ่อล้มป่วย ตอนนั้นกำลังจะจบ ปวส.ปีที่ 2 แล้ว แต่ผมหยุดเรียน เอาเงินที่ต้องจ่ายค่าเทอมสุดท้ายมารักษาพ่อและเป็นค่าบ้าน เพราะอยู่บ้านเช่ากับพ่อ 2 คน บอกก่อนครับผมมีพี่ 1 คน แต่พี่มีครอบครัวแต่งงาน จดทะเบียนไปแล้ว มีลูก มีรายจ่ายเยอะ บวกกับพี่ผมตกงาน มีแต่แฟนของพี่หาเลี้ยงคนเดียวครับ และผมกับพี่ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี เหตุผลเพราะเรื่องเงินที่พี่ผมยืมไปแล้วไม่คืน เลยตัดความเป็นพี่น้องกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
มาต่อเรื่องทหารครับ หลังจากมีหมายสอบสวนจากตำรวจ ผมได้ขอเข้าทำการมอบตัวทันทีครับ โดยไปที่ สน และพาพ่อไปด้วยเพราะ ตำรวจโทรไปเบอร์ตามทะเบียนบ้านและญาติได้ขอเบอร์ตำรวจท่านนั้นไว้ และบอกผมเมื่อวันที่เจอกันพอดี ก็เลยโทรคุยเล่าเรื่องพ่อ แม่ พี่ ให้เค้าฟัง เค้าบอกงั้นพาพ่อมา สน. ด้วย ผมก็พาไป ตำรวจก็บอกต้องส่งศาลในเที่ยงนั้นเลย ผมบอกโอเค โดยตำรวจให้ผมนั่งแท๊กซี่ ไปเจอที่ศาล เพราะตำรวจไม่อยากให้นั่งรวมไปกับ ผู้ร้าย เพราะในรถกะบะตำรวจ มันมีผู้ร้ายฆ่าข่มขืนพอดี ที่ต้องขึ้นศาลที่เดียวกับผม เค้าเลยบอกไปเจอที่ศาลละกัน กลัวเราถูกมองไม่ดี ก็โอเค เจอกันที่ศาล ก็ขึ้นศาล ศาลก็พูดดีมากครับ บอกรอลงอาญา 1 ปี ให้ไปทำเรื่องไรให้เสร็จและก็ถามถึงที่บ้านว่าทำไมถึงไม่ผ่อนผันปีต่อมา ไม่ตามเรื่อง ผมก็เล่าเรื่องที่บอก และก็บอกตรงๆว่าผมไม่รู้เรื่องกฎหมายตรงนี้ละเอียด เพราะตอนขึ้น สด9 ผมก็ไม่ทราบด้วยซ่ำด้วยขึ้นตอนไหน พ่อเป็นคนพาไปขึ้น และช้ากว่ากำหนดจำได้ว่าเสียค่าปรับหลักร้อยด้วย จนขึ้นศาลเสร็จเค้าก็ให้ไปติดต่อสัสดี ขึ้นศาลไม่ถึง 5 นาทีครับ เหมือนไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วกลับประมาณนั้น และก็บ่ายนิดๆ ก็รีบนั่งวินไปอำเภอเพื่อติดต่อสัสดี ก็คุยกับสัสดี ว่าผมจะขอตามผ่อนผันดูแลพ่อได้ไหม สัสดีพูดสวนเลย กูจะให้เป็นและยังไงก็ต้องเป็น ปีหน้าพลัด 1 ผมก็ตกใจ เพราะนี้ก็จะสิ้นปีแล้ว ก็เลยบอก แล้วใครจะดูแลพ่อผมละ ใครจะหาเงินเช่าบ้าน ค่ายาของพ่อ ค่าใช้จ่ายอีก เพราะตรงๆ พี่ผมไม่เคยช่วยอะไรเลยสักบาท เพราะมันเองยังเอาตัวไม่รอดเลยมั้ง ทักมายืมเงินผมบ่อยๆ ผมก็ไม่ให้ บอกก่อนนะครับส่วนตัวผมทำงาน 2 กะครับ เป็นลูกจ้างร้านขายของคลองถม ได้วันละ 330 บาท และเอาของที่ร้านเปิดร้านขายออนไลน์ ซึ่งเดือนๆ นึง รวมๆ รายได้ประมาณ 15000-20000 ยังไม่หักค่าใช้จ่ายนะครับ ถ้าพูดถึงเงินเก็บ มีนิดหน่อยแค่หลักหมื่นครับ สำหรับวัยขนาดนี้ผมถือว่าน้อย และหลักจากวันนั้นที่ไปหาสัสดี ปีต่อมา ผมก็ไม่ได้ไปคัดเลือกอีกเลย จนอายุ 30 นิดๆแล้ว หมายอะไรก็ยังไม่เคยได้ เพราะเคยถามเจ้าบ้าน ว่ามีหมายหรือจดหมายชื่อผมมามั้งป่าว เค้าบอกว่า ไม่มี (อันนี้ไม่แน่ใจว่าญาติเค้าสนใจหรือป่าว เพราะตอนนี้อยู่ ตจว ไม่ได้อยู่ กทม ตามทะเบียนบ้าน)
เลยอยากทราบว่า
- หลังจากนี้ไป ผมทำอะไรได้มั้ง เพราะบอกตรงๆ พ่ออยู่ได้อีกไม่นานครับเพราะอาการแย่ลงกว่าช่วงแรกหลายเท่าแล้ว
- ผมต้องติดต่อทำเรื่องให้ถูกต้องอะไรได้บ้างครับ
- ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างครับ
- ต้องรับโทษอะไรมั้งครับ
** ขอคนตอบแบบดีๆนะครับ เพราะผมเจอมาหลายโพส ชอบเหน็บแนม ซึ่งการเป็นทหารผมไม่ได้กลัวครับ หากเค้าจะให้เป็นก็ยินดี แต่ห่วงครอบครัวมากกว่า เพราะการเป็นทหารไม่ได้การันตีว่าครอบครัวจะอยู่รอด ถ้าการที่ผมเป็นทหาร แล้วทำให้ขาดคนดูแลพ่อ ไม่มีบ้านอยู่ ผมไม่โอเคครับ ผมมีภาระจริงๆ ผมถึงเลือกที่จะปล่อยเรื่องทหารไป ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตปกติดีครับบัตรประชาชนก็หมดอายุมาหลายปีแล้วละ ไม่กล้าไปต่อกลัวจะงานเข้า ตรงๆ ถ้าไม่มีพ่อ ผมยอมมอบเป็นไปนานแล้ว ติดตรงนี้จริงๆ ไม่ได้วอนให้เห็นใจ แต่โปรดเข้าใจผมหน่อยนะครับ รับใช้ชาติแต่ครอบครัวพิการ ผมว่ามันไม่แฟร์ต่อชนชั้นต่ำอย่างผมจริงๆ
ฝากไว้ด้วยครับ