พ่อผมป่วยเป็นโรคไตเสื่อมระยะสุดท้าย พ่ออายุ 63
แกเป็นทั้งโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดสมองตีบ ทำให้แขนขาชาไปข้างนึง
เป็นต้อกระจก และเบาหวานขึ้นตา ทำให้มองไม่ค่อยเห็น
ล่าสุดก็เป็นวัณโรคที่เยื่อหุ้มปอด ทำให้น้ำในปอดออกเยอะ เหนื่อยง่าย
ทุกวันนี้เดินเองไม่ได้ นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน จะปลุกมากินข้าว ต้องพยุงมานั่ง
ยังดีที่ยังกินข้าวเองได้ แต่เดินเองไม่ได้ ต้องมีคนมาพยุงรักแร้ไว้ทั้ง 2 ข้าง
ประเด็นคือพ่อผมใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท ในการรักษาโรคไต
ตอนแรกคุณหมอที่ รพ. แจ้งว่าพ่อผมต้องล้างไตด้วยช่องท้อง หรือฟอกไตด้วยเครื่อง (แจ้งปีที่แล้ว)
ซึ่งประเด็นคือถ้าล้างไตผ่านหน้าท้อง ต้องมีคนดูแลแก เนื่องจากต้องล้างทุกวันๆละ 4 รอบ (เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน)
แต่เนื่องด้วยที่บ้านผมแม่ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว ลูก 4 คน เสียไป 1 คน อีก 2 คนทำงานหาเช้ากินค่ำอยู่ต่างจังหวัด
เหลือผมที่แยกย้ายมีครอบครัวออกมาอยู่กับบ้านพ่อแม่แฟน โดยที่พ่ออยู่ลูกพี่สาวคนที่ 2 (หลานอายุ 17 ปี)
ครั้นจะมาช่วยดูแลพ่อวันละ 4 รอบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไหนจะงานที่เลิกไม่แน่นอน ไหนจะลูกเมียที่ต้องดูแลอีก
ส่วนหลานก็ต้องเรียน เลยแจ้งคุณหมอให้ช่วยส่งเรื่องให้ สปสช พิจารณาขอสิทธิ์ฟอกไตด้วยเครื่อง เนื่องจากพ่อไม่สามารถล้างไตผ่านหน้าท้องได้ด้วยตนเอง โดยระหว่างที่ยื่นเรื่องก็สำรองจ่ายไปก่อน ต้องบอกว่าเครียดมาก เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ค่าฟอกอย่างเดียวตกเดือนละ 13,000 บาท
ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารถไป-กลับ รพ., ค่าแพมเพิสพ่อ ค่าจ้างคนมาดูแล ค่าบ้านที่ต้องผ่อนให้พ่อกับหลานอยู่ ฯลฯ รวมกันก็เดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้ทุกเดือน เพราะค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ
ยื่นเรื่องขอสิทธิฟอกไตด้วยเครื่องไปประมาณพฤศจิกายนปีที่แล้ว (2560) วันที่ 15 มี.ค. ทาง สปสช. แจ้งผลไม่อนุมัติ โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่าพ่อผมสามารถล้างไตผ่านหน้าท้องเองได้!!!
ผมไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของคณะกรรมการ สปสช. ในเมื่อพ่อไม่สามารถล้างไตผ่านหน้าท้องด้วยตนเองได้
เลยยื่นเรื่องผ่านคุณหมออีกครั้ง โดยแจ้งข้อมูลผ่านหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ของ รพ.
ยื่นเรื่องไปได้ 2 สัปดาห์กว่าๆ วันนี้ลองโทรไปถามว่าคืบหน้าที่ สปสช. ซึ่ง สปสช. แจ้งว่ายังไม่ได้รับเรื่องการยื่นรอบ 2
จึงโทรไปถามเจ้าหน้าที่ รพ.ที่ส่งเรื่อง แจ้งว่ายื่นไปแล้ว เลยงงว่าตกลงยื่นไปหรือยัง?? แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าเรื่องคงอยู่ระหว่างทาง ทาง สปสช. เลยยังไม่ได้รับเรื่องเข้าระบบ
แต่ก็ถามทางเจ้าหน้าที่ รพ.ไปว่าจะมีสิทธิผ่านมั้ยรอบนี้ เนื่องจากเครียดกับค่าใช้จ่ายมาก
เจ้าหน้าที่ รพ. บอกว่าขึ้นอยู่กับคณะกรรมกาารพิจารณา เนื่องจากกรณีพ่อผมเป็นปัญหาทางครอบครัวที่ไม่มีคนดูแล
ไม่ใช่ปัญหาด้านสุขภาพ???
คือจะบอกว่าโรคเกี่ยวกับตาพ่อผมก็รักษาที่ รพ.นี้ คุณก็มีประวัติ ทำไมไม่ยื่นเรื่องไปว่ามีปัญหาด้านสายตา ล้างไตเองไม่ได้
อีกอย่างมือพ่อผมก็ดามเหล็กด้านในทั้งมือ ทำให้มือขยับไม่ถนัด (มือโดนเครื่องจักรหนักทับจนมือพัง และปลายนิ้วโป้งขาดไปส่วนนึง)
ค่ือผมดิ้นรนมากที่จะให้ สปสช. พิจารณาอนุมัติให้ซักที ช่วงเวลาที่ยื่นเรื่องรอบแรก ผมโทรถามผล สปสช. ทุหสัปดาห์ (ทุกสัปดาห์จริงๆ)
จนมารอบ 2 ผมก็เฝ้าโทรถามเรื่องว่าได้รับเรื่องหรือยัง ยอมรับว่ารอบนี้ท้อมาก
ผมต้องทำยังไงทาง สปสช. จึงจะรู้ว่าพ่อผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องให้คณะกรรมการมาตรวจพ่อผมเองมั้ย จะได้เห็นกับตาว่าพ่อผมล้างไตผ่านหน้าท้องด้วยตนเองไม่ได้
ทำยังไงถึงได้สิทธิล้างไตด้วยเครื่อง??
แกเป็นทั้งโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดสมองตีบ ทำให้แขนขาชาไปข้างนึง
เป็นต้อกระจก และเบาหวานขึ้นตา ทำให้มองไม่ค่อยเห็น
ล่าสุดก็เป็นวัณโรคที่เยื่อหุ้มปอด ทำให้น้ำในปอดออกเยอะ เหนื่อยง่าย
ทุกวันนี้เดินเองไม่ได้ นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน จะปลุกมากินข้าว ต้องพยุงมานั่ง
ยังดีที่ยังกินข้าวเองได้ แต่เดินเองไม่ได้ ต้องมีคนมาพยุงรักแร้ไว้ทั้ง 2 ข้าง
ประเด็นคือพ่อผมใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท ในการรักษาโรคไต
ตอนแรกคุณหมอที่ รพ. แจ้งว่าพ่อผมต้องล้างไตด้วยช่องท้อง หรือฟอกไตด้วยเครื่อง (แจ้งปีที่แล้ว)
ซึ่งประเด็นคือถ้าล้างไตผ่านหน้าท้อง ต้องมีคนดูแลแก เนื่องจากต้องล้างทุกวันๆละ 4 รอบ (เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน)
แต่เนื่องด้วยที่บ้านผมแม่ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว ลูก 4 คน เสียไป 1 คน อีก 2 คนทำงานหาเช้ากินค่ำอยู่ต่างจังหวัด
เหลือผมที่แยกย้ายมีครอบครัวออกมาอยู่กับบ้านพ่อแม่แฟน โดยที่พ่ออยู่ลูกพี่สาวคนที่ 2 (หลานอายุ 17 ปี)
ครั้นจะมาช่วยดูแลพ่อวันละ 4 รอบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไหนจะงานที่เลิกไม่แน่นอน ไหนจะลูกเมียที่ต้องดูแลอีก
ส่วนหลานก็ต้องเรียน เลยแจ้งคุณหมอให้ช่วยส่งเรื่องให้ สปสช พิจารณาขอสิทธิ์ฟอกไตด้วยเครื่อง เนื่องจากพ่อไม่สามารถล้างไตผ่านหน้าท้องได้ด้วยตนเอง โดยระหว่างที่ยื่นเรื่องก็สำรองจ่ายไปก่อน ต้องบอกว่าเครียดมาก เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ค่าฟอกอย่างเดียวตกเดือนละ 13,000 บาท
ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารถไป-กลับ รพ., ค่าแพมเพิสพ่อ ค่าจ้างคนมาดูแล ค่าบ้านที่ต้องผ่อนให้พ่อกับหลานอยู่ ฯลฯ รวมกันก็เดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้ทุกเดือน เพราะค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ
ยื่นเรื่องขอสิทธิฟอกไตด้วยเครื่องไปประมาณพฤศจิกายนปีที่แล้ว (2560) วันที่ 15 มี.ค. ทาง สปสช. แจ้งผลไม่อนุมัติ โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่าพ่อผมสามารถล้างไตผ่านหน้าท้องเองได้!!!
ผมไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของคณะกรรมการ สปสช. ในเมื่อพ่อไม่สามารถล้างไตผ่านหน้าท้องด้วยตนเองได้
เลยยื่นเรื่องผ่านคุณหมออีกครั้ง โดยแจ้งข้อมูลผ่านหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ของ รพ.
ยื่นเรื่องไปได้ 2 สัปดาห์กว่าๆ วันนี้ลองโทรไปถามว่าคืบหน้าที่ สปสช. ซึ่ง สปสช. แจ้งว่ายังไม่ได้รับเรื่องการยื่นรอบ 2
จึงโทรไปถามเจ้าหน้าที่ รพ.ที่ส่งเรื่อง แจ้งว่ายื่นไปแล้ว เลยงงว่าตกลงยื่นไปหรือยัง?? แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าเรื่องคงอยู่ระหว่างทาง ทาง สปสช. เลยยังไม่ได้รับเรื่องเข้าระบบ
แต่ก็ถามทางเจ้าหน้าที่ รพ.ไปว่าจะมีสิทธิผ่านมั้ยรอบนี้ เนื่องจากเครียดกับค่าใช้จ่ายมาก
เจ้าหน้าที่ รพ. บอกว่าขึ้นอยู่กับคณะกรรมกาารพิจารณา เนื่องจากกรณีพ่อผมเป็นปัญหาทางครอบครัวที่ไม่มีคนดูแล
ไม่ใช่ปัญหาด้านสุขภาพ???
คือจะบอกว่าโรคเกี่ยวกับตาพ่อผมก็รักษาที่ รพ.นี้ คุณก็มีประวัติ ทำไมไม่ยื่นเรื่องไปว่ามีปัญหาด้านสายตา ล้างไตเองไม่ได้
อีกอย่างมือพ่อผมก็ดามเหล็กด้านในทั้งมือ ทำให้มือขยับไม่ถนัด (มือโดนเครื่องจักรหนักทับจนมือพัง และปลายนิ้วโป้งขาดไปส่วนนึง)
ค่ือผมดิ้นรนมากที่จะให้ สปสช. พิจารณาอนุมัติให้ซักที ช่วงเวลาที่ยื่นเรื่องรอบแรก ผมโทรถามผล สปสช. ทุหสัปดาห์ (ทุกสัปดาห์จริงๆ)
จนมารอบ 2 ผมก็เฝ้าโทรถามเรื่องว่าได้รับเรื่องหรือยัง ยอมรับว่ารอบนี้ท้อมาก
ผมต้องทำยังไงทาง สปสช. จึงจะรู้ว่าพ่อผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องให้คณะกรรมการมาตรวจพ่อผมเองมั้ย จะได้เห็นกับตาว่าพ่อผมล้างไตผ่านหน้าท้องด้วยตนเองไม่ได้