สวัสดีค่ะ ก่อนหน้านี้เราได้ตั้งกระทู้ถามเรื่องลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก ผลที่ได้จากการตั้งกระทู้นั้น มีทั้งคนเห็นด้วยและส่วนมากเหมือนกันที่ไม่เห็นด้วย และเชียร์ให้ทำราชการต่อ
ตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงลาเลี้ยงลูก 9 เดือน อยู่ค่ะ เข้าเดือนที่ 7 แล้ว ก็คือไม่ได้เงินเดือนมาเกือบจะ 4 เดือน และในช่วงเวลาเกือบ 7 เดือนนี่แหละค่ะ ที่เราเริ่มได้คำตอบกับตัวเองว่า อยากลาออกเพื่อมาเป็นคุณแม่ฟูลไทม์จริงๆ
เราเป็นหมอจบเฉพาะทางมา และตอนนี้ก็ทำราชการได้กำลังเข้าปีที่ 2 หน้าที่การงานถือว่าดีมาก มาถึงได้เป็นหัวหน้างานเลย และถ้าทำต่อมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นหัวหน้าของหัวหน้า (รอง ผอ.) ไปอีก ซึ่งสำหรับผู้หญิงอายุยังไม่ 30 อย่างเรา เราคิดว่ามันก็เป็นเรื่องก้าวกระโดดมากๆ
เราเป็นหมอก็จริง แต่เนื้องานคือเริ่มงาน 8.30 น. เลิก 16.30 น. เฉพาะวันราชการ แต่จะมีประชุมที่ต้องไป ตจว.บ่อยเหมือนกัน
ตอนนี้รายได้เราอยู่ที่ประมาณ 38k (รวมทุกอย่างแล้ว) ส่วนสามีเราเป็นอเมริกันรายได้อยู่ราวๆ อย่างต่ำ 100k ต่อเดือน
พอเราเริ่มตัดสินใจว่าอยากลาออกมาเลี้ยงลูกช่วงที่เค้ายังเล็ก ก่อนเข้า รร. เราวางแผนไปรับ part time คลินิกเอกชน สัปดาห์ละ 2 วัน ซึ่งรายได้จะมากกว่าที่ทำอยู่ (สมัครไปแล้ว รอตอบกลับ) ซึ่งเราคุยกับสามีไว้ ว่าถ้าได้/ไม่ได้ งาน part time ที่ว่า เราก็จะลาออกอยู่ดี
เรารู้ว่าพ่อแม่เรา โดยเฉพาะพ่อ ต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ แต่ก็ยังอยากปรึกษา และเล่าให้พวกท่านฟังอยู่ แล้วคำตอบหลังจากเล่าให้ฟังคือ "พ่อไม่เห็นด้วย!"
พ่อเราบอกว่า
- ไม่ไว้ใจสามีเรา เพราะเป็นฝรั่ง
- ไม่ไว้ใจสามีเรา เพราะคบกันไม่ถึง 2 ปีก็แต่ง (ตอนนี้แต่งงานมาปีกว่าแล้วค่ะ มีลูก 1 คน)
- คิดว่าสามีเราล้างสมองเรา เพราะเค้าโตมากับแม่ที่เลี้ยงเค้าเองจนเข้า รร.ถึงกลับไปทำงาน + ที่นู้นเรื่อง stay home mom เป็นเรื่องปกติมากๆ
- คิดว่าถ้าสามีเราตายจะทำยังไง (มีประกัน 5 ล้านชื่อเรา)
- คิดว่าถ้าสามีเลิกกับเราจะทำยังไง (เราก็กลับไปเป็นหมอ full time หรือแม้กระทั่ง part time เอกชนเหมือนเดิม หรือเข้า ระบบราชการ เหมือนเดิม)
- คิดว่าถ้าสามีพิการจะทำยังไง (ต้องดูเรื่องสวัสดิการอเมริกัน ซิติเซ่น อีกที เหมือนจะมีซัพพอร์ท)
- คิดว่าถ้าสามีทิ้งเรา เราจะทำใจไม่ได้
- คิดว่าเค้าก็เลี้ยงเรามาไม่เห็นต้องลาออก ก็โตมาได้ (พ่อเราเป็นรัฐวิสาหกิจ แม่เป็น ขรก.)
- คิดว่าเสียดายสวัสดิการรัฐ (ตอนนี้เราไม่เคยเอาลูกเราใช้เบิกตรงเลย สามีก็ไม่เคยใช้ สามีมีประกันตัวเอง เรากลับไปใช้ ประกันสังคมได้ ลูกให้เป็น บัตรทอง แล้วซื้อประกันสุขภาพเอา ไปเอกชนดีกว่า ก่อนเราเรียนจบ เราเริ่มออมเงินลงทุนเพื่อ support ชีวิตเกษียณไว้แล้ว ถึงไม่มีบำเน็จ บำนาญ ไม่ใช่ปัญหา)
และพ่อก็พูดว่า "พ่อเหนื่อยกับเรามาก ทุ่มทุกอย่างให้ลูก ได้ภูมิใจแค่แป๊บเดียว พ่อว่ามันเร็วไป"
เราฟังแล้ว จะว่า จุกก็จุก จะว่า งงก็งง ที่ผ่านมาพ่อเราเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้องสิบกว่าคน แล้วไม่มีใครสนใจฟังความเห็นแก จนลืมตาอ้าปากได้ และลูกสองคน (เรามีพี่สาวคนนึง) เป็นหมอ
พี่สาวเราเป็นถึงอาจารย์แพทย์ อยู่ในระบบราชการ (ที่กำลังจะลาออก เหมือนกัน) ยังโดนเปรียบเทียบกับเรา "เลือกงานไม่เหมือนน้อง น้องเรียนอันที่คุณภาพชีวิตดี ไม่หนัก ทำงานก็ไม่หนัก จบมาเห็นมั้ย ได้เป็นหัวหน้าเลย อีกไม่นานก็กลายเป็น ผอ. ดูอย่างน้องสิ เพราะฉะนั้น เวลาพี่สาวเราเหนื่อยๆ บ่นอะไรให้ที่บ้านฟัง จะจบด้วย "เลือกเองนิ" (ทั้งที่พ่อบังคับพี่สาวเราให้เรียนหมอ)
เวลารวมญาติก็จะแบบอารมณ์ ลูกชั้นเป็นหมอสองคน คนนึงเป็นอาจารย์แพทย์ คนนึงเป็นหัวหน้างาน เกทับ(แบบเนียนๆ) กับลูกของพี่น้องตัวเองไปทั่ว
มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า ... ที่พ่อบอก "ตามใจลูกนะ จะตัดสินใจอะไร **แต่....แต่....แต่.... บลาๆ** แล้วจบที่เรื่องเราจะทำให้เค้าไม่ภูมิใจในตัวเราที่เราจะลาออก
.
.
ตกลงเค้าต้องการอะไรจากเรากันแน่ ชื่อเสียงเพื่อให้ตัวเองคุยกับคนอื่นได้? แล้วเราแค่เปลี่ยนที่ทำงาน เพื่อลูกเราบ้าง เหมือนที่พ่อแม่ก็ focus ที่เราซึ่งเป็นลูก ไม่ได้หรอ
ดูเหมือนต่อให้เรามีช่องทาง ทางหนีทีไล่ สำหรับความไม่แน่นอนแล้ว ก็ยังไม่ถูกใจ ถ้าเราไม่เดินตามที่เค้ากำหนด
เราอยาก raise ลูกเราขึ้นมาเอง เมื่อเรามีช๊อยส์ที่ทำได้ ทำไมเราต้องเลือกที่จะเอาลูกเข้า day care เพื่อเราได้ทำงานต่อ และเป็นหัวหน้า เป็นรอง ผอ. ที่เราไม่ได้ focus ตรงจุดนั้น ณ เวลานี้ สำหรับเรามันเลยจุดที่เราฝันสำหรับอาชีพเราแล้ว ตอนนี้คือกำไร แต่ความฝันเรื่องลูกที่เราอยากทำ กลับไม่ได้รับการสนับสนุน
เราอึดอัดใจ อยากเป็นลูกที่ดี และแม่ที่ดี (ในแบบของเราดัวย) ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่เราทำได้ และอยากทำ เราคงต้องมานั่งเสียใจและเสียดายไปตลอดชีวิตแน่
ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน
ใครจะรู้ว่า อีกกี่วันเราจะตาย เดินไปโดนงูกัด ข้ามถนนโดนรถชน ยังไม่ทันได้ใช้เงินบำนาญหรือเบิกตรงเลย เราเลยอยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ
เรื่องเลี้ยงลูกก็ขัดแย้งกันเอง
เราฝึกลูกนอนเองแบบแยกเตียง และ plan จะแยกห้อง
พ่อเราก็บอก สงสารลูกเรา (แยกเตียงลูกเราหลับสบายกว่า) บอก "จะได้มีเวลาอยู่กับลูกนานแค่ไหนเชียว เนี่ยๆ ถ้าเอาเข้านานาชาติ ประถมก็เป็นสาวละ หัวรั้นหัวดื้อ ไม่อยากอยู่กับเราแล้ว แทนที่จะเอามานอนด้วยกัน" เราเลยแบบ ... คิดในใจว่า อ้าว ทีอย่างนี้บอกอยากให้ใช้เวลากับลูก
นั่นแหละค่ะ จะว่าเป็นกระทู้บ่นก็ได้ ระบายความในใจก็ดี ใครมีประสบการณ์อะไรมาแชร์มาเล่ามั้ยคะ ... เฮ้อ เหนื่อยใจค่า
ปล.พิมพ์ในมือถือ ไม่รู้อ่านยากมั้ย ตามนั้นแหละค่ะ
อยากลาออกจากราชการ (หมอ) มาเลี้ยงลูก แต่พ่อไม่เห็นด้วย
ตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงลาเลี้ยงลูก 9 เดือน อยู่ค่ะ เข้าเดือนที่ 7 แล้ว ก็คือไม่ได้เงินเดือนมาเกือบจะ 4 เดือน และในช่วงเวลาเกือบ 7 เดือนนี่แหละค่ะ ที่เราเริ่มได้คำตอบกับตัวเองว่า อยากลาออกเพื่อมาเป็นคุณแม่ฟูลไทม์จริงๆ
เราเป็นหมอจบเฉพาะทางมา และตอนนี้ก็ทำราชการได้กำลังเข้าปีที่ 2 หน้าที่การงานถือว่าดีมาก มาถึงได้เป็นหัวหน้างานเลย และถ้าทำต่อมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นหัวหน้าของหัวหน้า (รอง ผอ.) ไปอีก ซึ่งสำหรับผู้หญิงอายุยังไม่ 30 อย่างเรา เราคิดว่ามันก็เป็นเรื่องก้าวกระโดดมากๆ
เราเป็นหมอก็จริง แต่เนื้องานคือเริ่มงาน 8.30 น. เลิก 16.30 น. เฉพาะวันราชการ แต่จะมีประชุมที่ต้องไป ตจว.บ่อยเหมือนกัน
ตอนนี้รายได้เราอยู่ที่ประมาณ 38k (รวมทุกอย่างแล้ว) ส่วนสามีเราเป็นอเมริกันรายได้อยู่ราวๆ อย่างต่ำ 100k ต่อเดือน
พอเราเริ่มตัดสินใจว่าอยากลาออกมาเลี้ยงลูกช่วงที่เค้ายังเล็ก ก่อนเข้า รร. เราวางแผนไปรับ part time คลินิกเอกชน สัปดาห์ละ 2 วัน ซึ่งรายได้จะมากกว่าที่ทำอยู่ (สมัครไปแล้ว รอตอบกลับ) ซึ่งเราคุยกับสามีไว้ ว่าถ้าได้/ไม่ได้ งาน part time ที่ว่า เราก็จะลาออกอยู่ดี
เรารู้ว่าพ่อแม่เรา โดยเฉพาะพ่อ ต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ แต่ก็ยังอยากปรึกษา และเล่าให้พวกท่านฟังอยู่ แล้วคำตอบหลังจากเล่าให้ฟังคือ "พ่อไม่เห็นด้วย!"
พ่อเราบอกว่า
- ไม่ไว้ใจสามีเรา เพราะเป็นฝรั่ง
- ไม่ไว้ใจสามีเรา เพราะคบกันไม่ถึง 2 ปีก็แต่ง (ตอนนี้แต่งงานมาปีกว่าแล้วค่ะ มีลูก 1 คน)
- คิดว่าสามีเราล้างสมองเรา เพราะเค้าโตมากับแม่ที่เลี้ยงเค้าเองจนเข้า รร.ถึงกลับไปทำงาน + ที่นู้นเรื่อง stay home mom เป็นเรื่องปกติมากๆ
- คิดว่าถ้าสามีเราตายจะทำยังไง (มีประกัน 5 ล้านชื่อเรา)
- คิดว่าถ้าสามีเลิกกับเราจะทำยังไง (เราก็กลับไปเป็นหมอ full time หรือแม้กระทั่ง part time เอกชนเหมือนเดิม หรือเข้า ระบบราชการ เหมือนเดิม)
- คิดว่าถ้าสามีพิการจะทำยังไง (ต้องดูเรื่องสวัสดิการอเมริกัน ซิติเซ่น อีกที เหมือนจะมีซัพพอร์ท)
- คิดว่าถ้าสามีทิ้งเรา เราจะทำใจไม่ได้
- คิดว่าเค้าก็เลี้ยงเรามาไม่เห็นต้องลาออก ก็โตมาได้ (พ่อเราเป็นรัฐวิสาหกิจ แม่เป็น ขรก.)
- คิดว่าเสียดายสวัสดิการรัฐ (ตอนนี้เราไม่เคยเอาลูกเราใช้เบิกตรงเลย สามีก็ไม่เคยใช้ สามีมีประกันตัวเอง เรากลับไปใช้ ประกันสังคมได้ ลูกให้เป็น บัตรทอง แล้วซื้อประกันสุขภาพเอา ไปเอกชนดีกว่า ก่อนเราเรียนจบ เราเริ่มออมเงินลงทุนเพื่อ support ชีวิตเกษียณไว้แล้ว ถึงไม่มีบำเน็จ บำนาญ ไม่ใช่ปัญหา)
และพ่อก็พูดว่า "พ่อเหนื่อยกับเรามาก ทุ่มทุกอย่างให้ลูก ได้ภูมิใจแค่แป๊บเดียว พ่อว่ามันเร็วไป"
เราฟังแล้ว จะว่า จุกก็จุก จะว่า งงก็งง ที่ผ่านมาพ่อเราเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้องสิบกว่าคน แล้วไม่มีใครสนใจฟังความเห็นแก จนลืมตาอ้าปากได้ และลูกสองคน (เรามีพี่สาวคนนึง) เป็นหมอ
พี่สาวเราเป็นถึงอาจารย์แพทย์ อยู่ในระบบราชการ (ที่กำลังจะลาออก เหมือนกัน) ยังโดนเปรียบเทียบกับเรา "เลือกงานไม่เหมือนน้อง น้องเรียนอันที่คุณภาพชีวิตดี ไม่หนัก ทำงานก็ไม่หนัก จบมาเห็นมั้ย ได้เป็นหัวหน้าเลย อีกไม่นานก็กลายเป็น ผอ. ดูอย่างน้องสิ เพราะฉะนั้น เวลาพี่สาวเราเหนื่อยๆ บ่นอะไรให้ที่บ้านฟัง จะจบด้วย "เลือกเองนิ" (ทั้งที่พ่อบังคับพี่สาวเราให้เรียนหมอ)
เวลารวมญาติก็จะแบบอารมณ์ ลูกชั้นเป็นหมอสองคน คนนึงเป็นอาจารย์แพทย์ คนนึงเป็นหัวหน้างาน เกทับ(แบบเนียนๆ) กับลูกของพี่น้องตัวเองไปทั่ว
มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า ... ที่พ่อบอก "ตามใจลูกนะ จะตัดสินใจอะไร **แต่....แต่....แต่.... บลาๆ** แล้วจบที่เรื่องเราจะทำให้เค้าไม่ภูมิใจในตัวเราที่เราจะลาออก
.
.
ตกลงเค้าต้องการอะไรจากเรากันแน่ ชื่อเสียงเพื่อให้ตัวเองคุยกับคนอื่นได้? แล้วเราแค่เปลี่ยนที่ทำงาน เพื่อลูกเราบ้าง เหมือนที่พ่อแม่ก็ focus ที่เราซึ่งเป็นลูก ไม่ได้หรอ
ดูเหมือนต่อให้เรามีช่องทาง ทางหนีทีไล่ สำหรับความไม่แน่นอนแล้ว ก็ยังไม่ถูกใจ ถ้าเราไม่เดินตามที่เค้ากำหนด
เราอยาก raise ลูกเราขึ้นมาเอง เมื่อเรามีช๊อยส์ที่ทำได้ ทำไมเราต้องเลือกที่จะเอาลูกเข้า day care เพื่อเราได้ทำงานต่อ และเป็นหัวหน้า เป็นรอง ผอ. ที่เราไม่ได้ focus ตรงจุดนั้น ณ เวลานี้ สำหรับเรามันเลยจุดที่เราฝันสำหรับอาชีพเราแล้ว ตอนนี้คือกำไร แต่ความฝันเรื่องลูกที่เราอยากทำ กลับไม่ได้รับการสนับสนุน
เราอึดอัดใจ อยากเป็นลูกที่ดี และแม่ที่ดี (ในแบบของเราดัวย) ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่เราทำได้ และอยากทำ เราคงต้องมานั่งเสียใจและเสียดายไปตลอดชีวิตแน่
ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน
ใครจะรู้ว่า อีกกี่วันเราจะตาย เดินไปโดนงูกัด ข้ามถนนโดนรถชน ยังไม่ทันได้ใช้เงินบำนาญหรือเบิกตรงเลย เราเลยอยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ
เรื่องเลี้ยงลูกก็ขัดแย้งกันเอง
เราฝึกลูกนอนเองแบบแยกเตียง และ plan จะแยกห้อง
พ่อเราก็บอก สงสารลูกเรา (แยกเตียงลูกเราหลับสบายกว่า) บอก "จะได้มีเวลาอยู่กับลูกนานแค่ไหนเชียว เนี่ยๆ ถ้าเอาเข้านานาชาติ ประถมก็เป็นสาวละ หัวรั้นหัวดื้อ ไม่อยากอยู่กับเราแล้ว แทนที่จะเอามานอนด้วยกัน" เราเลยแบบ ... คิดในใจว่า อ้าว ทีอย่างนี้บอกอยากให้ใช้เวลากับลูก
นั่นแหละค่ะ จะว่าเป็นกระทู้บ่นก็ได้ ระบายความในใจก็ดี ใครมีประสบการณ์อะไรมาแชร์มาเล่ามั้ยคะ ... เฮ้อ เหนื่อยใจค่า
ปล.พิมพ์ในมือถือ ไม่รู้อ่านยากมั้ย ตามนั้นแหละค่ะ