เก่งไม่พอหรือวาสนาไม่ได้? : 11 แข้งเวิลด์คลาสที่อดไปฟุตบอลโลกแบบไม่น่าเชื่อ

"ทางขนาน" นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่บางรายไม่ได้เกิดมา เพื่อประสบความสำเร็จในทุกสังเวียน นี่คือกลุ่มผู้เล่นระดับโลกที่ไม่เคยสัมผัสรสชาติฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายแม้แต่ครั้งเดียว

บางรายคือพระเจ้าลูกหนังของชาติเล็ก บางรายตกเป็นทาสอารมณ์ศิลปินจนบอกปัดทัวร์นาเม้นต์ใหญ่นี้ ขณะที่บางรายมีปัญหากับกุนซือ จนต้องเก็บของกลับบ้านในนาทีสุดท้ายอย่างน่าปวดใจ...


อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ (อาร์เจนตินา, โคลอมเบีย, สเปน)


ตำนานแข้งล่วงลับ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ คือพระเจ้าลูกหนังสำหรับ เรอัล มาดริด ด้วยความสำเร็จท่วมท้นในระดับสโมสร ทว่า กับฟุตบอลโลกแล้ว เจ้าของแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัย (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) ไม่เคยย่างกรายในรอบสุดท้ายแม้แต่ครั้งเดียว

อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ เกิดที่อาร์เจนติน่าและเล่นให้ทัพฟ้าขาวในช่วงเริ่มต้นค้าแข้ง และนำทัพ "ฟ้าขาว" คว้าแชมป์โกปา อเมริกา ในปี 1947 เหลือเชื่อว่า นั่นเป็นเพียงเกียรติยศเดียวในระดับทีมชาติของเขา อีก 3 ปีถัดมา เขาพลาดโอกาสเล่นในบอลโลก 1950 แต่อาร์เจนตินาปฏิเสธเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนั้น เช่นเดียวกับอีก 4 ปีถัดมา

หลังจากนั้น เขาเล่นให้ทีมชาติโคลอมเบียด้วย (ไม่ได้รับการยอมรับจากฟีฟ่า) ก่อนได้รับสัญชาติสเปน และเริ่มสวมชุด "กระทิงดุ" ในปี 1957 พร้อมกับโอกาสโลดแล่นในบอลโลกครั้งแรกในปี 1962 แต่ฝันเป็นอันสลายลงในพริบตา หลังได้รับบาดเจ็บรบกวน ก่อนแขวนสตั๊ดในปี 1966

วาเลนติโน่ มาซโซล่า (อิตาลี)

นี่คือหนึ่งในแข้งผู้โชคร้าย ตำนานกองหน้ายุค 40 ของโตริโน่ โด่งดังสุดขีดในระดับสโมสร วาเลนติโน่ มาซโซล่า เป็นหนึ่งในผู้เล่นอิตาเลียนที่ดีที่สุดตลอดกาล

ทว่า กับทีมชาติแล้ว มาซโซล่า ถือว่าอับโชค โดยสวมชุด "อัซซูรี่" เพียง 12 นัดและยิงเพียง 4 ประตู จากการติดธงนานถึง 7 ปี แน่นอน เขาชวดฟุตบอลโลกอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี

จอร์จ เบสต์ (ไอร์แลนด์เหนือ)


ตำนานหมายเลข 7 ของ "ปีศาจแดง" ได้รับการยอมรับจากสุดยอดแข้งรุ่นร่วมอย่าง เปเล่ ว่า "สุดยอดทั้งชื่อ และสุดยอดทั้งการเป็นนักเตะโดยสมบูรณ์แบบ" ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงสำหรับ จอร์จ เบสต์ แม้แต่น้อย

ในยูนิฟอร์มแดงฉานของแมนฯ ยูไนเต็ด นี่คือพ่อมดลูกหนัง ผู้มีเวทมนต์อยู่ที่ 2 เท้า ซึ่งกับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ เบสต์ทำประตูแห่งความทรงจำที่ซัดผ่าน กอร์ดอน แบงค์ส ตำนานอังกฤษ และเป็นหนึ่งใน 9 ประตูที่เขายิงได้ระหว่างรับใช้ชาติ ระหว่างปี 1964-1977 อย่างไรก็ตาม ในช่วงดังกล่าว ไอร์แลนด์เหนือไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายแม้แต่หนเดียว

โอกาสลุยบอลโลกของเบสต์ เวียนมาอีกครั้ง หลังกุนซือ บิลลี่ บิงแฮม โค้ชทีมชาติไอร์แลนด์เหนือพาทีมโลดแล่นในเวิลด์ คัพ 1982 และพิจารณาเขาเป็นทางเลือก ทว่า ท้ายสุด ด้วยวัย 36 ปี, ฝีเท้าที่ดร็อปลงตามอายุ รวมถึงการใช้ชีวิตด้วยการดื่มอย่างหนัก เบสต์จึงโดนหมางเมินอย่างสมควร

แบรนด์ ชูสเตอร์ (เยอรมัน)


เยอรมันไม่เคยชวดลุยฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1950 (และไม่เคยพลาดโควตารายการใหญ่นับจากยูโร 1968) แข้งสายพันธุ์ "อินทรีเหล็ก" แจ้งเกิดในเวทีระดับเมเจอร์มาแล้วรุ่นต่อรุ่น ทว่า ไม่ใช่สำหรับคนหัวแข็งอย่าง แบรนด์ ชูสเตอร์

เจ้าของฉายา "ขบถลูกหนัง" มีฝีเท้ายอดเยี่ยมแค่ไหนไม่ต้องสืบ การลงเล่นกับ 3 ทีมใหญ่แดนกระทิงดุทั้ง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และแอต.มาดริด บ่งบอกทุกอย่างในตัว กระนั้น กับทีมชาติ ชูสเตอร์เล่นเพียง 21 นัด (4 ประตู) โดยหมางเมินและหันหลังให้มาตุภูมิหลังเล่นทีมชาติแค่ 5 ปี

น่าเสียดายที่ยูโร 1980 คือทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ครั้งเดียวของยอดมิดฟิลด์ ผู้เปี่ยมด้วยฝีเท้าและมันสมอง แต่พร้อมสะบั้นความสัมพันธ์ หากไม่สบอารมณ์ ในบอลโลก 1982 เขาปฏิเสธทีมชาติ เนื่องจากป่วยเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งนำมาสู่ปัญหากับ จุ๊ปป์ แดร์วัลล์ โค้ชตอนนั้นที่ไม่เชื่อว่า เขาป่วยจริง เนื่องด้วยวีรกรรมที่พร้อมมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมทั้งกับ พอล ไบรท์เนอร์ และ คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้

ทัศนคติเป็นอุปสรรคสำคัญของชูสเตอร์ เขาพร้อมบอกปัดทีมชาติทันที หากมองว่า นั่นไม่ใช่เกมสำคัญ แม้ได้รับโอกาสเลือกติดธงอีกครั้ง แต่ชูสเตอร์ก็ยังมีปัญหากับ อูลี่ สติลีเก้ อีก นั่นทำให้เพื่อนร่วมทีมหลายราย เริ่มไม่พอใจในพฤติกรรม และการเข้าแคมป์ทีมชาติของเขานำมาสู่ปัญหาและความขัดแย้ง ไม่แปลกที่เขาไม่เคยเล่นฟุตบอลโลกแม้แต่ครั้งเดียว

เลียม เบรดี้ (ไอร์แลนด์)


ตำนานแข้งอัจฉริยะชาวไอริชในยุค 80 สร้างชื่อสนั่นกับอาร์เซน่อล ก่อนโลดแล่นสู่กัลโช่ เซเรีย อา กับยูเวนตุส, ซามพ์โดเรีย, อินเตอร์ และอัสโคลี่  ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับแข้งต่างชาติในพ.ศ.นั้น ก่อนกลับมาแขวนสตั๊ดในเวสต์แฮม

อย่างไรก็ตาม เบรดี้มาก่อนยุคทองของ "ยักษ์เขียว" นับตั้งแต่เริ่มต้นรับใช้ชาติในปี 1974 กระทั่งอำลาในปี 1990 ซึ่งเป็นหนแรกที่ไอร์แลนด์คว้าตั๋วลุยฟุตบอลโลกสำเร็จ ตอนนั้น เบรดี้อายุล่วงเลยถึง 36 ปีแล้ว ทำให้โอกาสลิ้มรสความหอมหวานของ เวิลด์ คัพผ่านเลยอย่างน่าเสียดาย

เอียน รัช (เวลส์)


"เพชฌฆาตหนวดหิน" หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดในยุโรปยุค 80 เอียน รัช คือตำนานและเจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล (346 ประตู) รวมถึงกับทีมชาติเวลส์ (28 ประตูจนถึงตอนนี้) กระนั้น ดาวยิงหน้าติดหนวดไม่ได้เกิดมาเพื่อฟุตบอลโลก

ด้วยการเป็นชาติเล็กๆ แห่งเกาะอังกฤษอย่าง เวลส์ เวิลด์ คัพ หนแรกและครั้งเดียวของ "มังกรแดง" เกิดขึ้นในปี 1958 ก่อนพ่ายบราซิล แชมป์ในบั้นปลาย "รัชชี่" เล่นให้ทีมชาติตั้งแต่ปี 1981-1996 โดย 3 จาก 4 ครั้งที่พวกเขาพลาดโควตาอย่างเฉียดฉิว

1982 : ได้อันดับ 3 ของกลุ่ม ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เป็นรองอันดับ 2 อยู่ 4 ประตู (2 อันดับแรกเข้ารอบ)

1986 : ได้อันดับ 3 ของกลุ่ม ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เป็นรองอันดับ 2 อยู่ 3 ประตู (อันดับแรกเข้ารอบ, อันดับ 2 เพลย์ออฟ)

1994 : ได้อันดับ 4 ของกลุ่ม ด้วยแต้มห่างพื้นที่เข้ารอบ 3 คะแนน หลังแพ้คาบ้านในนัดสุดท้าย (เหมือนปีนี้ยังไงยังงั้น)

เอริค คันโตน่า (ฝรั่งเศส)


"ก็องโต้" ผู้พลิกโฉมหน้าสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยแท้ ครั้งหนึ่ง เอริค คันโตน่า กองหน้าจอมศิลปินชาวฝรั่งเศสคือคู่ขาของดาวยิงร่วมรุ่นอย่าง ฌอง ปิแอร์-ปาแป็ง

คันโตน่า รับใช้ทัพ "ตราไก่" ตั้งแต่ปี 1987 ก็จริง แต่ก็ดันไปวิจารณ์กุนซืออย่าง อองรี มิเชล และโดนแบนจากทีมชาติ ก่อนได้เกิดอย่างแท้จริงในยุคของ มิเชล พลาตินี่ และเป็นตัวหลักในยูโร 1992 ซึ่งฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในทีมเต็ง แต่ตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างผิดคาด

โอกาสทองของคันโตน่าเกิดขึ้นในปี 1994 ในยุคของ เชราร์ อุลลิเย่ร์ ซึ่งฝรั่งเศสทำผลงานได้ดี ก่อนตกม้าตายด้วยความพ่ายแพ้คารัง 2 นัดสุดท้าย โดยเฉพาะเกมชี้ชะตากับบัลแกเรีย ก่อนหลุดทีมชาติถาวรหลังไปสร้างวีรกรรม "กังฟูคิก" เมื่อปี 1995 และเสียตำแหน่งให้ ซีเนดีน ซีดาน นับแต่นั้น

ซึ่งการแขวนสตั๊ดแบบสุดช็อกด้วยวัยเพียง 30 ปี เมื่อปี 1997 ก็ทำให้คันโตน่าหมดสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของทีมตราไก่ชุด "ฟร้องซ์ 98" ที่ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกในบ้านตัวเองไปโดยปริยาย โดยเจ้าตัวเปิดใจถึงเรื่องนี้เมื่อปี 2015 ว่า หากยังไม่หลุดโผทีมชาติในตอนนั้น บางทีอาจจะเลื่อนกำหนดการแขวนสตั๊ดออกไปอีกซักปีก็เป็นได้

จอร์จ เวอาห์ (ไลบีเรีย)


นักเตะคนแรกที่แหวกม่านประเพณี ด้วยการเป็นผู้เล่นนอกทวีปยุโรปคนแรกที่คว้ารางวัลบัลลง ดอร์ จอร์จ เวอาห์ แข้งสัญชาติไลบีเรีย คว้าเกียรติยศดังกล่าวในปี 1995 สมัยเล่นให้ เอซี มิลาน

อย่างไรก็ตาม เวอาห์ ไม่ต่างกับนักเตะผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายรายที่พลาดเล่นฟุตบอลโลก เนื่องจากชาติของพวกเขาเล็กเกินไป นับตั้งแต่เริ่มต้นรับใช้ทีมชาติในปี 1987 ก่อนอำลาในปี 2003 ใช่ ไลบีเรีย ไม่เคยผ่านเข้ารอบสุดท้าย เวิลด์ คัพ ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

"หากผมต้องการที่จะลงเล่นในเวิลด์คัพจริงๆ แบบไม่คิดอะไรมาก ผมก็สามารถเลือกเล่นให้กับฝรั่งเศส หรือว่า แคเมอรูน ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ว่าผมต้องการที่จะลงเล่นให้กับ ไลบีเรีย ชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินแม่ของผม" เวอาห์เคยกล่าวไว้อย่างนั้น

คาซูโยชิ มิอุระ (ญี่ปุ่น)


"คิง คาซู" คาซูโยชิ มิอุระ ตำนานกองหน้าคนแรกของวงการลูกหนังญี่ปุ่น เป็นผู้เล่นแดนซามูไรรายแรกที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเอเชีย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังโลดแล่นไปไกลถึงกัลโช่ เซเรีย อา กับเจนัวอีกด้วย

ในรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 1998 "คิง คาซู" ทำ 14 ประตูและช่วยให้ญี่ปุ่นผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี ที่ฝรั่งเศส คาซู ไม่ได้มีส่วนร่วมดังกล่าว หลังทะเลาะกับ ทาเคชิ โอกาดะ โค้ชของทีมในการเก็บตัวหนสุดท้ายที่สวิตเซอร์แลนด์ จนต้องยอมนั่งเครื่องบินกลับบ้านมาอย่างช้ำชอกใจ

ในปี 2000 คาซูประกาศอำลาทีมชาติ ก่อนญี่ปุ่นเริ่มต้นสถาปนาตัวเองเป็นยเลข 1 ของเอเชียและคว้าตั๋วฟุตบอลโลกอย่างต่อเนื่องนับจากนั้น

ปัจจุบัน ในวัย 51 ปี คาซูยังเล่นฟุตบอลกับ โยโกฮาม่า เอฟซี และเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุมากที่สุดและทำประตูได้ในลีกอาชีพ ซึ่งถึงเจ้าตัวจะไม่เคยไปฟุตบอลโลกในสนามใหญ่ แต่คาซูก็เคยไปฟุตบอลโลกในสนามเล็ก เมื่อเขาติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดลุยศึกฟุตซอลโลก ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2012

ไรอัน กิ๊กส์ (เวลส์)


"ปีกพ่อมด" ยุคก่อน แกเร็ธ เบล คือตำนานแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นสร้างชื่อตั้งแต่เป็นดาวรุ่งของ "ปีศาจแดง" กระทั่งแขวนเกือกในปี 2014

ไม่ต่างกับรุ่นพี่อย่าง เอียน รัช, มาร์ค ฮิวจ์ส, ดีน ซอนเดอร์ส หรือ เนวิลล์ เซาธอลล์ "มังกรแดง" ในยุคนั้น ได้แค่ "เกือบ" โลดแล่นในฟุตบอลโลก "กิ๊กซี่" เริ่มต้นรับใช้ชาติในปี 1991 ก่อนอำลาทีมชาติเมื่อปี 2007

ในช่วงดังกล่าว "มังกรแดง" คือไม้ประดับของวงการโดยแท้ และไม่มีลุ้นเข้ารอบสุดท้ายเลยในฟุตบอลโลก 1998, 2002 และ 2006 (รวมทั้งศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วย) เท้าซ้ายมหัศจรรย์ของกิ๊กส์ไม่อาจแบกเวลส์ได้ทั้งทีม มันเป็นช่วงเวลามืดมนของชาติโดยแท้

ยารี่ ลิตมาเน่น (ฟินแลนด์)


อีกหนึ่งซูเปอร์สตาร์จากชาติเล็ก ยารี่ ลิตมาเน่น ฟันเฟืองสำคัญของอาแจ็กซ์ ชุดแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1995 รวมถึงเล่นให้ยักษ์ใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า

"ลิตตี้" เป็นเจ้าของสถิติเล่นทีมชาติฟินแลนด์สูงสุด (137) และยิงประตูมากที่สุด (32) กระนั้น นั่นไม่เพียงพอช่วยทัพฟินน์ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก ได้สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

credit : www.fourfourtwo.com/th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่