สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ต่อครับ!!
หลังจากผ่านช่วงผ่านโปรมาได้ ตอนนี้เท่ากับว่าผมเป็นพนักงานประจำครับ ด้วยความที่บริษัทมีแค่ผมกับเจ้านาย ผลที่ได้รับคือความสนิท และเข้าถึงได้ง่ายครับ ในแต่ละวันการทำงานไร้ซึ่งความกดดัน แยกหน้าที่การทำงานกันอย่างเท่าเทียม และ ทุกครั้งที่เป็นการติดต่อกับลูกค้าคนไทย เค้าจะให้ผมดำเนินการ และจัดตารางงานเองตามใจชอบ ในระหว่างมีการสนทนากันถามเรื่องชีวิตทั่วไปปกติ แสดงถึงความเป็นกันเองและไม่ถือตัวของเจ้านาย มีอยู่วันที่เค้าเล่าให้ผมฟังว่า เค้าเปิดบริษัทมา 5 ปี ไม่เคยมีใครผ่านโปรเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้ เค้าเริ่มจากการรับพนักงงานที่มากประสบการณ์ เรียกเงินเดือนแต่ละทีคือ 50-70k ซึ่งแน่นอนครับเค้ายินดีที่จะให้ แต่สิ่งที่ได้รับจากพนักงานเก่าๆพวกนั้นคือ ไม่สามารถตอบสนอง และช่วยเหลืองานเค้าได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเหตุผลให้พนักงานเก่าเหล่านั้นไม่ผ่านโปรและทยอยออกไป ซึ่งผมได้ข้อคิดอย่างนึงจากความคิดเห็นของเจ้านายต่างชาติคนนี้ว่า คนไทยแปลกมาก เลือกที่จะเปลี่ยนงานบ่อยๆเพื่ออัพเงินเดือน โดยการอ้างว่ามีประสบการณ์ในแต่ละที่ มา 2 -5 ปี ซึ่งมักจะใช้คำว่ามีประสบการณ์ทำงานมาหลายปีจึงจะเรียกเงินเดือนได้สูง แต่จริงๆแล้วคนเหล่านั้นควรจะมีประสิทธิภาพด้วย ถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่สูง เปรียบเสมือนมากประสบการณ์แต่ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเกิดจากการทำงานในที่เดิมมานาน จึงทำให้ไฟในการสร้างผลงานลดลง
หลังจากผ่านมาช่วงนึงซึ่งใหล้จะครบรอบ 1 ปีที่ผมเริ่มทำงาน เป็นช่วงที่งานผมกำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ในบริษัทเล็กๆ จนมาถึงวันหนึ่ง ซึ่งผมต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันผมทำงานอยู่ต่างจังหวัดครับ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเจริญอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้ผมมีแนวโน้มว่าจะต้องย้ายกลับกรุงเทพฯในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยอมรับว่ารู้สึกใจหายครับ เพราะผมกำลังสนุกกับงานนี้มากๆ เรียกได้ว่าไฟการทำงานกำลังพุ่งถึงจุดสูงสุด แต่ถ้าเหตุผลดังกล่าว ถ้าผมต้องย้ายกลับ กรุงเทพฯ จะทำให้ผมเสียงานที่ผมตั้งใจสร้างความไว้วางใจและทุ่มเท และกำลังสนุกกับมันมานานเกือบปีนี้ทิ้งไปฟรีๆ เพื่อไปหางานใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนดีและสบายเท่านี้อีกหรือไม่ แต่แล้วไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาศสนทนากับหัวหน้าผมเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป จึงได้มีโอกาศคุยกันในเรื่องที่ว่าผมอาจจะต้องย้ายกลับกรุงเทพฯ และด้วยความที่ผมเป็นคนขี้สงสัยเลยยิงคำถามไปว่า “ถ้าผมต้องลาออกแล้วย้ายไปกรุงเทพฯคุณจะทำยังไงต่อไป” และเค้าก็ตอบว่า “นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของผมมากนะ เพราะการจะหาคนใหม่มาทำแทนได้เท่าผม ค่อนข้างยากแล้ว” และก็บทสนทนาก็เงียบลง แต่แล้วผมก็ต้องผมกับความประหลาดใจในบทสนทนาที่เกิดใหม่ต่อจากความเงียบนั้น ซึ่งเค้าได้ยื่นข้อเสนอมาให้ผม นั่นคือ “ถ้าคุณต้องย้ายไปกรุงเทพฯจริงๆ ผมมีทางออกคือให้คุณไปหาบ้านหรือห้องสักห้องเพื่อเช่าทำเป็นสำนักงานส่วนตัวของคุณ เพื่อเป็นสาขาที่กรุงเทพฯ โดยบริษัทจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำนักงานทั้งหมด โดยมีข้อแม้ว่าคุณต้องเข้ามาบริษัทที่ต่างจังหวัดอาทิตย์ละ 1 วัน ส่วนค่าน้ำมันรถบริษัทจะรับผิดชอบให้เช่นกัน ซึ่งคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาหางานใหม่ด้วย” เท่านั้นละครับความกังวลทั้งหมดในหัวผม ความเครีบดที่มีทั้งหมด หายไปจนเกลี้ยงเพียงเพราะข้อเสนอเพียงไม่กี่ประโยชน์ ซึ่งมันค่อนข้างเป็นข้อเสนอที่ใหญ่มากๆ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่ทำงานมาได้แค่ 1 ปี และแน่นอนว่าผมตอบรับข้อเสนอนั้นครับ และหลังจากเล่ากระทู้นี้จบไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมก็จะดำเนินการตามข้อเสนอนั้นต่อไปครับ เรื่องเล่าของผมก็มีเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นนะครับ
สรุปข้อคิดจากการทำงาน 1 ปีของผม
- ถ้าคุณเป็นแค่นิสิตจบใหม่ อย่ารีบเข้าองค์กรใหญ่เพราะเงินเดือนเริ่มต้นที่คุณจะได้รับ คือเงินเดือนตามโครงสร้างของบริษัท และได้ขึ้นเงินเดือนแค่ปีละครั้งตามนโยบายของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทเล็กๆที่ผมอยู่ ผมได้ขึ้นเงินเดือน 2 ครั้งก่อน 1 ปีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีโครงสร้างบริษัทแต่เป็นเงินเดือนตามความสามารถของพนักงาน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- จากข้อด้านบน ถ้าคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงจากบริษัท โปรด รักในงานและทุ่มเทกับมันถ้าและศึกษาหาประสบการทำงานใหม่ๆในระหว่างทำงานให้มากที่สุด เพื่อพัฒนาตัวคุณให้เป็นบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- อย่าทนทำงานที่คุณไม่รัก อย่าเสียเวลากับมัน เพราะลองคิดดูว่า 1 ปีที่หายไปตอนคุณทนทำงานที่คุณไม่ได้รัก สามารถเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และคุณกำลังเสียโอกาศเหล่านั้นไป
- แสดงความซื่อสัตย์และทำงานอย่างซื่อตรงแล้วคุณจะได้รับความเชื่อใจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับคุณในอนาคต
- จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่คิดไม่ออกแล้วครับ ขอบคุณครับ ถ้านึกได้จะมาตอบเพิ่มครับผม 55555
หลังจากผ่านช่วงผ่านโปรมาได้ ตอนนี้เท่ากับว่าผมเป็นพนักงานประจำครับ ด้วยความที่บริษัทมีแค่ผมกับเจ้านาย ผลที่ได้รับคือความสนิท และเข้าถึงได้ง่ายครับ ในแต่ละวันการทำงานไร้ซึ่งความกดดัน แยกหน้าที่การทำงานกันอย่างเท่าเทียม และ ทุกครั้งที่เป็นการติดต่อกับลูกค้าคนไทย เค้าจะให้ผมดำเนินการ และจัดตารางงานเองตามใจชอบ ในระหว่างมีการสนทนากันถามเรื่องชีวิตทั่วไปปกติ แสดงถึงความเป็นกันเองและไม่ถือตัวของเจ้านาย มีอยู่วันที่เค้าเล่าให้ผมฟังว่า เค้าเปิดบริษัทมา 5 ปี ไม่เคยมีใครผ่านโปรเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้ เค้าเริ่มจากการรับพนักงงานที่มากประสบการณ์ เรียกเงินเดือนแต่ละทีคือ 50-70k ซึ่งแน่นอนครับเค้ายินดีที่จะให้ แต่สิ่งที่ได้รับจากพนักงานเก่าๆพวกนั้นคือ ไม่สามารถตอบสนอง และช่วยเหลืองานเค้าได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเหตุผลให้พนักงานเก่าเหล่านั้นไม่ผ่านโปรและทยอยออกไป ซึ่งผมได้ข้อคิดอย่างนึงจากความคิดเห็นของเจ้านายต่างชาติคนนี้ว่า คนไทยแปลกมาก เลือกที่จะเปลี่ยนงานบ่อยๆเพื่ออัพเงินเดือน โดยการอ้างว่ามีประสบการณ์ในแต่ละที่ มา 2 -5 ปี ซึ่งมักจะใช้คำว่ามีประสบการณ์ทำงานมาหลายปีจึงจะเรียกเงินเดือนได้สูง แต่จริงๆแล้วคนเหล่านั้นควรจะมีประสิทธิภาพด้วย ถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่สูง เปรียบเสมือนมากประสบการณ์แต่ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเกิดจากการทำงานในที่เดิมมานาน จึงทำให้ไฟในการสร้างผลงานลดลง
หลังจากผ่านมาช่วงนึงซึ่งใหล้จะครบรอบ 1 ปีที่ผมเริ่มทำงาน เป็นช่วงที่งานผมกำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ในบริษัทเล็กๆ จนมาถึงวันหนึ่ง ซึ่งผมต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันผมทำงานอยู่ต่างจังหวัดครับ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเจริญอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้ผมมีแนวโน้มว่าจะต้องย้ายกลับกรุงเทพฯในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยอมรับว่ารู้สึกใจหายครับ เพราะผมกำลังสนุกกับงานนี้มากๆ เรียกได้ว่าไฟการทำงานกำลังพุ่งถึงจุดสูงสุด แต่ถ้าเหตุผลดังกล่าว ถ้าผมต้องย้ายกลับ กรุงเทพฯ จะทำให้ผมเสียงานที่ผมตั้งใจสร้างความไว้วางใจและทุ่มเท และกำลังสนุกกับมันมานานเกือบปีนี้ทิ้งไปฟรีๆ เพื่อไปหางานใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนดีและสบายเท่านี้อีกหรือไม่ แต่แล้วไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาศสนทนากับหัวหน้าผมเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป จึงได้มีโอกาศคุยกันในเรื่องที่ว่าผมอาจจะต้องย้ายกลับกรุงเทพฯ และด้วยความที่ผมเป็นคนขี้สงสัยเลยยิงคำถามไปว่า “ถ้าผมต้องลาออกแล้วย้ายไปกรุงเทพฯคุณจะทำยังไงต่อไป” และเค้าก็ตอบว่า “นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของผมมากนะ เพราะการจะหาคนใหม่มาทำแทนได้เท่าผม ค่อนข้างยากแล้ว” และก็บทสนทนาก็เงียบลง แต่แล้วผมก็ต้องผมกับความประหลาดใจในบทสนทนาที่เกิดใหม่ต่อจากความเงียบนั้น ซึ่งเค้าได้ยื่นข้อเสนอมาให้ผม นั่นคือ “ถ้าคุณต้องย้ายไปกรุงเทพฯจริงๆ ผมมีทางออกคือให้คุณไปหาบ้านหรือห้องสักห้องเพื่อเช่าทำเป็นสำนักงานส่วนตัวของคุณ เพื่อเป็นสาขาที่กรุงเทพฯ โดยบริษัทจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำนักงานทั้งหมด โดยมีข้อแม้ว่าคุณต้องเข้ามาบริษัทที่ต่างจังหวัดอาทิตย์ละ 1 วัน ส่วนค่าน้ำมันรถบริษัทจะรับผิดชอบให้เช่นกัน ซึ่งคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาหางานใหม่ด้วย” เท่านั้นละครับความกังวลทั้งหมดในหัวผม ความเครีบดที่มีทั้งหมด หายไปจนเกลี้ยงเพียงเพราะข้อเสนอเพียงไม่กี่ประโยชน์ ซึ่งมันค่อนข้างเป็นข้อเสนอที่ใหญ่มากๆ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่ทำงานมาได้แค่ 1 ปี และแน่นอนว่าผมตอบรับข้อเสนอนั้นครับ และหลังจากเล่ากระทู้นี้จบไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมก็จะดำเนินการตามข้อเสนอนั้นต่อไปครับ เรื่องเล่าของผมก็มีเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นนะครับ
สรุปข้อคิดจากการทำงาน 1 ปีของผม
- ถ้าคุณเป็นแค่นิสิตจบใหม่ อย่ารีบเข้าองค์กรใหญ่เพราะเงินเดือนเริ่มต้นที่คุณจะได้รับ คือเงินเดือนตามโครงสร้างของบริษัท และได้ขึ้นเงินเดือนแค่ปีละครั้งตามนโยบายของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทเล็กๆที่ผมอยู่ ผมได้ขึ้นเงินเดือน 2 ครั้งก่อน 1 ปีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีโครงสร้างบริษัทแต่เป็นเงินเดือนตามความสามารถของพนักงาน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- จากข้อด้านบน ถ้าคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงจากบริษัท โปรด รักในงานและทุ่มเทกับมันถ้าและศึกษาหาประสบการทำงานใหม่ๆในระหว่างทำงานให้มากที่สุด เพื่อพัฒนาตัวคุณให้เป็นบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- อย่าทนทำงานที่คุณไม่รัก อย่าเสียเวลากับมัน เพราะลองคิดดูว่า 1 ปีที่หายไปตอนคุณทนทำงานที่คุณไม่ได้รัก สามารถเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และคุณกำลังเสียโอกาศเหล่านั้นไป
- แสดงความซื่อสัตย์และทำงานอย่างซื่อตรงแล้วคุณจะได้รับความเชื่อใจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับคุณในอนาคต
- จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่คิดไม่ออกแล้วครับ ขอบคุณครับ ถ้านึกได้จะมาตอบเพิ่มครับผม 55555
แสดงความคิดเห็น
รีวิวประสบการณ์การทำงาน 1 ปีแรกหลังเรียนจบ
เริ่มตรงที่ว่า หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยมานั้น เราก็จะเริ่มมีแนวทางของแต่ละคน ไม่ว่าจะไปสืบทอดกิจการที่บ้าน ไปเป็นพนักงานบริษัท หรือก่อตั้งกิจการของตนเอง แต่ในส่วนของผมนั้นด้วยความที่ต้นทุนชีวิตไม่ได้ปูด้วยพรมแดง จึงต้องเริ่มขวนขวายตามหาตำแหน่งงานในฝันเอาเอง ซึ่งหลังจากเรียนจบมาก็เริ่มมองหางานตามเว็บสมัครงานต่าง ๆ และ มีการส่งเรซูเม่ไปบ้าง ซึ่งตอนเรียนจบมา GPA ที่ได้มานั้นชั่งน้อยนิด หรือเรียกว่าเกรดนิยมนั่นเอง หลังจากเรซูเม่ไปตามบริษัทต่าง ๆ ในช่วง 2 - 3 เดือนแรก ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เรียกได้ว่า "เงียบกริบ" จึงเริ่มมานั่งคิดว่าโปรไฟล์ของเรามันน่าเกรียดขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมถึงไม่มีเสียงตอบรับกลับมาบ้าง นั่งคิดไปซักพักก็เกิดไอเดียในหัวว่า ในเมื่อส่งเรซูเม่ผ่านอีเมลล์แล้วมันเงียบนัก ทำไมไม่โทรไปถามฝ่าย HR มันเลยวะ ก็เลยยกมือถือขึ้นมาแล้ว เปิดคอมฯหาเบอร์บริษัทที่สนใจตามเว็บสมัครงานไปด้วย และจึงเริ่มโทรไปถามทุกบริษัทที่สนใจ เท่านั้นแหละครับ ทุกบริษัทที่โทรไป นัดสัมภาษณ์ทันที ซึ่งนัดแนะตามวันเวลาที่เราสะดวก ซึ่งเท่ากับว่าผมได้ผ่านปราการด่านแรกมาแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่ผ่านด่านแรกมาได้ครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันคือด่านแรก เพราะแค่นัดสัมภาษณ์ไม่ได้แปลว่าจะได้งาน ซึ่งผมแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ เตรียมแค่ชุดแต่กาย และเอกสารที่จำเป็นเท่านั้น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ จนถึงวันสัมภาษณ์ บรรยากาศทุกบริษัทเป็นไปอย่างเรียบง่ายครับ มีการทำข้อสอบก่อนสัมภาษณ์ หลังจากทำข้อสอบเสร็จ ก็จะย้ายเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ และเป็นซักถามประวัติของเรา สอบถามผลงานของเรา และความสามารถของเรา บางบริษัทอาจจะมีการให้ลองแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ไม่ต้องเกร็งครับพูดเท่าที่เราพูดได้ เพราะมันคือภาษาที่สอง เราทำให้ดีที่สุดก็พอ จนมาถึงจุดไคลแม็กซ์ครับ นั่นคือช่วงที่เราต้องรวบรวมความกล้าเพื่อจะถามเรื่องเงินเดือนที่ทางบริษัทตั้งเป้าไว้ อย่ากังวลที่จะถามครับ เพราะนี่คือสิทธิ์ที่ทุกคนควรจะได้รับข้อมูลตั้งแต่วันสัมภาษณ์ว่ามันตรงตามใจเราหรือไม่ และต่อรองได้มากน้อยแค่ไหน และที่ทำคัญนะครับ จงศึกษาฐานเงินเดือนของเด็กจบใหม่ของละแวกบริษัทที่คุณไปสมัครด้วยครับถ้าไม่อยากแป้กเรื่องเงือนเดือน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ หลังจากสัมภาษณ์เสร็จไปด้วยดีก็กลับมานั่งรอผลสัมภาษณ์ที่บ้านครับ และ ใช้เวลาว่างที่เหลือไปสัมภาษณ์หลาย ๆ บริษัท เพื่อเป็นสร้างทางเลือกให้ตัวเองเยอะ ๆ และที่สำคัญครับตอนสัมภาษณ์จงตอบความจริงทั้งหมดและแสดงความมั่นใจออกมา อย่าโกหกถ้าไม่จำเป็น เพราะท่าทางของเราตอนโกหกเค้าจะรู้ได้ทันที เพราะคนโกหกแค่มองตาก็รู้แล้วครับว่าไม่ได้พูดความจริง หลังจากที่รอมาสักพักก็ได้มีบริษัทแห่งนึงครับตอบรับกลับมาว่า "คุณผ่านการสัมภาษณ์" สำหรับเด็กจบใหม่อย่างผม แน่นอนว่าดีใจกระโดดรอบบ้านเลยครับ และด่านที่สองก็ผ่านไปครับ
หลังจากผ่านด่านการรอผลสัมภาษณ์งานมาได้คราวนี้ก็ถึงจุดที่เรานัดวันตกลงกับเค้า และคุยกันเรื่องเงินเดือนอีกรอบ และพูดถึงวันเริ่มงาน เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ก็ข้ามไปในวันเริ่มงานเลย ซึ่งสำหรับเด็กจบใหม่ ไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าโรงเรียนวันแรกครับ คุณจะได้พบคแปลกหน้า ได้พบสังคมใหม่ ๆ แต่ที่แตกต่างออกไป คือที่นี่ไม่มีคุณครู เพราะคุณครูคือตัวเราเองครับ ตั้งแต่เริ่มงานสิ่งที่เราจะได้รับ คือการวัดพื้นฐานของเราว่าเราทำงานตรงไหนได้บ้าง ตรงไหนที่เค้าต้องมาเทรนให้เรา อาจจะมีการเทรนในส่วนของระบบการทำงานภายในบริษัท ว่าแต่ละแผนกแต่ละหน่อยงานทำงานกันยังไง เป็นความรู้พื้นฐานที่ต้องมีครับ ซึ่งในบริษัทที่ผมเข้าไปทำที่แรกนั้น ค่อนข้างเป็นบริษัทที่ใหญ๋พอสมควร จึงมีการแบ่งงานเป็นแผนกอย่างชัดเจน แต่ที่แย่คือตำแหน่งที่ผมเข้ามาทำนั้น ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เท่ากับว่าเอาผมมาบุกเบิกตำแหน่งงานนี้เลยครับจึงทำให้เกิดปัญหาที่ว่า ไม่มีใครสามารถสอนหรือช่วยแก้ปัญหาเวลาที่งานของเรามีการติดขัดได้เลยครับ เราต้องช่วยเหลือตัวเองทั้งหมด จึงทำให้ผมตัดสินใจ "ลาออก" ครับ โดยในระยะเวลาการทำงานนั้นผมได้รับโปรเจคมาหนึ่งโปรเจค ผมต้องศึกษาทุกอย่างด้วยตนเอง และ ทำงานตามหน้าที่ของผม จนทำให้โปรเจคนี้เสร็จสิ้นไปด้วยดี หลังจากที่จบโปรเจคไปประมาณ 5 นาที ผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปหาหัวหน้าแผนกและถามหาใบลาออก ซึ่งที่บริษัทค่อนข้างตกใจครับ ว่าผมก็ทำงานได้ ลากโปรเจคให้มันจบได้ ก็ดูไปได้สวย ทำไมถึงตัดสินใจลาออก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ในวันที่ผมลาออกนั้นตั้งแต่หัวหน้ายาวไปยันผู้อำนวยการได้เรียกผมประชุมเพื่อถามสาเหตุ และ มีการพูดจาเพื่อยื้อผมว่า แต่ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และได้เซ็นต์ใบลาออกในที่ รวมระยะเวลาการทำงานในบริษัทแรกทั้งหมด 20 วัน บางท่านอาจจะเห็นว่าทำไมทำงานไม่ทนเลย มีมีความอดทนไม่รู้จักรับแรงกดดัน แน่นอนความคิดเห็นของท่านไม่ผิดครับ แต่ในความคิดของผมคือ ถ้าหากทำงานซักที่หนึ่ง และคุณรู้ว่าจะต้องทำงานนี้ต่อไปเป็นปี ๆ หลาย ๆ ปี แต่งานที่คุณทำนั้นทำให้คุณเป็นทุกข์ รู้สึกไม่สนุกไม่มีไฟกับการทำงาน คุณจะอยู่ไปเพื่ออะไรครับในเมื่องานสมัยนี้มีให้คุณเลือกค่อนข้างเยอะ อย่าเสียเวลากับสิ่งที่คุณรู้สึกว่าไม่ชอบ และจงตามหาชีวิตที่คุณชอบครับ !!เดี๊ยวมาต่อนะครับไปทำธุระแปปนึง