มีประสบการณ์จะแชร์ และขอคำแนะนำค่ะ
(ขออนุญาตคัดลอกจากที่ได้พิมพ์ไว้มาโพสเลยนะคะ)
อาจจะยาวหน่อยนะคะ แต่เป็นเรื่องราวทั้งหมด
📌📌ข้าพเจ้า อายุ 31 ปี มีบุตร 1 คน เป็นเพศชาย อายุ 1 ขวบ 9 เดือนและได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ได้ไปฝากครรภ์ที่คลินิกสูตินรีแพทย์แห่งหนึ่ง วันแรกที่ไปฝากครรภ์
อายุครรภ์ 5 สัปดาห์ 5 วัน ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม 2560 รับยาบำรุงครรภ์และมีการนัดตรวจทุกๆเดือน เดือนละ 1 ครั้ง มีการทำอัลตร้าซาวด์ทุกครั้ง ซึ่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าเป็นไปตามอายุครรภ์ ทั้งขนาด น้ำหนักและลักษณะอวัยวะภายนอก โดยแพทย์ผู้ทำการตรวจแจ้งว่า ปกติแข็งแรงดีในทุกๆเดือน ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าเป็นเพศหญิง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้ากับครอบครัวคาดหวังและวางแผนไว้ว่าเราจะมีบุตรเพียง 2 คน ชาย 1 หญิง 1 ทุกคนในครอบครัวข้าพเจ้าดีใจและเฝ้ารอ ช่วยกันดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ทางฝั่งครอบครัวของสามีหรือคุณปู่ก็ดีใจมากเพราะทางครอบครัวสามีเป็นครอบครัวชายล้วนและรอคอยที่จะได้เห็นหลานสาวคนแรก
จนกระทั่งช่วงอายุครรภ์ประมาณ 28 -30 สัปดาห์ ที่ข้าพเจ้าน้ำหนักขึ้น 4 กิโล ซึ่งทางแพทย์แจ้งว่า
ให้ควบคุมการกินเพราะอาจจะทำให้ทารกตัวใหญ่เกินไปหรืออาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและในเดือนถัดไปจะขอสุ่มตรวจน้ำตาลในเลือด โดยให้ข้าพเจ้างดน้ำและอาหาร ก่อนตรวจ 4 ชั่วโมง และในวันที่ศุกร์ 8 กพ. ข้าพเจ้าก็ไปตามนัดแต่พยาบาลที่คลินิกแจ้งว่าแพทย์ไม่อยู่ ไปรับเสด็จกระทันหัน จะเจาะเลือดให้วันนี้เลยแต่ต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ในวันพรุ่งนี้ และในวันเสาร์ที่ 9 ข้าพเจ้าก็ไปตรวจตามนัด ซึ่งผลการตรวจ
ค่าน้ำตาลในเลือด ค่าอยู่ที่ 140 (ในช่วงนั่งรอที่คลินิกข้าพเจ้าเผลออมวิตามินซีกับลูกชายเข้าไปด้วย2เม็ดและแจ้งกับพยาบาลและแพทย์แล้ว) ทางแพทย์แจ้งว่าค่ามันปริ่มจะขอตรวจซ้ำโดยนัดตรวจอีกสองอาทิตย์ถัดไป ตรงกับวันเสาร์ที่ 24 กพ. แต่วันที่พุธ 21 กพ.ข้าพเจ้ามีนัดตรวจเลือด lab 2 ที่รพ.ก พอดี ทางแพทย์จึงให้ข้าพเจ้าตรวจพร้อมกันในวันที่พุธ 21 กพ.ที่รพ.กได้เลย โดยให้งดน้ำและอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 20 ช่วงหลังจากที่ไปพบแพทย์ที่คลินิกในวันนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาคุมอาหารหลายๆอย่าง เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ เปลี่ยนจากการทานข้าวเหนียว ข้าวขาว เป็นทานข้าวกล้อง งดนมหวาน อาหารรสหวาน แป้ง ทานผลไม้แค่บางชนิด ซึ่งช่วงที่รอจะถึงวันนัดก็ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทารกในครรภ์ก็ดิ้นปกติ ซึ่งจะดิ้นแรงในช่วงเย็นและเวลานอน
จนกระทั่งช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ อายุครรภ์ตอนนั้น 33 สัปดาห์กับ 1 วัน ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าทารกในครรภ์ของข้าพเจ้ามีการดิ้นเบาลง น้อยลง แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวพอทานข้าวเย็นเสร็จค่อยนับลูกดิ้นอีกที พอทานข้าวเย็นเสร็จนั่งพัก ประมาณ 1 ทุ่มก็ลองนับลูกดิ้น ก็ยังมีการดิ้นน้อย ในใจก็คิดว่าอาจจะด้วยอายุครรภ์ที่มากขึ้นทารกตัวใหญ่ขึ้น พื้นที่อาจจะน้อยจนไม่ค่อยเคลื่อนไหว แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้นจนเข้านอนข้าพเจ้าก็ยังคงเฝ้าสังเกตอาการจนเวลาตีสอง เริ่มไม่สบายใจมากขึ้น จึงลุกไปดื่มน้ำเย็นเพราะหวังว่าลูกจะดิ้นแต่ก็ไม่ดิ้น จึงได้ส่งข้อความไปปรึกษาหลานสะไภ้เนื่องจากเขาทำงานที่รพ.ก สอบถามว่าอาการแบบนี้ไปหาหมอดีมั้ย แล้วจะมีแพทย์ตรวจหรือไม่ ทางหลานก็สอบถามไปทางรพ. แล้วตอบกลับมาให้ข้าพเจ้า
เข้าไปได้เลยมีแพทย์ตรวจ จึงชวนสามีไปรพ.ก
ข้าพเจ้าไปถึงประมาณตีสองกว่า พอไปถึงก็เห็นประตูห้องฉุกเฉินแง้มอยู่ พอส่องดูก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังนั่งคุยกัน มีบางคนก็กำลังทำอะไรที่ตู้เก็บของอะไรสักอย่าง พอเราหันมาทางห้องเบอร์ 1 เห็นมีป้ายเขียนไว้ว่าวางบัตรที่ตะกร้าและมีจนท.ผู้ชายสองคนนั่งอยู่ เราจึงเดินไปหย่อนบัตร ตามลำดับขั้นตอน จากนั้นจนท.ผู้ชายสอบถามว่า "เป็นอะไรมาครับ" เราก็แจ้งไปว่า"รัสึกว่าลูกดิ้นน้อย" จนท.ก็พาไปยังห้องคลอด ในห้องคลอด มีพยาบาลชุดขาว 2 คนและชุดเหลือง 1 คน พยาบาลถามว่า"เจ็บท้องคลอดมาหรอ" ข้าพเจ้าก็ตอบว่า"เปล่า แต่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง " "ลูกไม่ดิ้นแล้วมาหาหมอตอนตีสองเนี่ยนะ" ข้าพเจ้าไม่ทราบว่านั่นคือคำถามของพยาบาลที่ต้องการคำตอบหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบไป พยาบาลชุดเหลือง แจ้งให้เปลี่ยนผ้าถุงขึ้นนอนบนเตียงและแจ้งว่าจะใส่เครื่องตรวจสุขภาพเด็ก 20 นาที โดยตัวเครื่องก็จะมีจอแสดงตัวเลข กราฟ และเสียงชีพจรของทารกและก็มีกระดาษที่แสดงเส้นกราฟไหลออกมา มีตัวปุ่มให้ถือไว้และกดเมื่อรู้สึกว่าลูกดิ้น ซึ่งไม่ได้กดเลยตลอดเวลา 20 นาที จากนั้นพยาบาลแจ้งว่าจะทำการกระตุ้น
"เจ็บหน่อยนะ"โดยพยาบาลใช้มือกดลงบริเวรหัวหน่าว คาดว่าน่าจะเป็นบริเวรศรีษะทารกและเขย่าประมาณ 3 ครั้ง ทำการกระตุ้น 2 รอบ แต่ก็ยังไม่ดิ้น พยาบาลโทรติดต่อแพทย์เวรแจ้งอาการ อายุครรภ์และการรักษาที่ได้ทำไป จากนั้นก็มีการส่งภาพถ่ายกระดาษกราฟที่ออกมาจากเครื่องให้แพทย์เวรทางโทรศัพท์ สักพักก็โทรติดต่อแพทย์อีกครั้งและกลับมาแจ้งข้าพเจ้าว่า"แพทย์ให้ฟังอีก 40 นาที"ก็ทำเหมือนเดิมและมีการใช้มือกระตุ้นอีก 2 รอบแล้วบอกว่า "คงจะหลับลึก" และเดินกลับไปนั่งคุยกันที่โต๊ะ และมีพยาบาลชุดเหลืองพูดว่า"ความจริงหมอเวรควรจะขึ้นมานอนข้างบนนะ" จากนั้นสักพักก็เรียกสามีข้าพเจ้าและแจ้งว่าให้กลับบ้านแล้วกลับมาอีกทีพรุ่งนี้เช้าประมาณ 9 โมง พร้อมกับยื่นสมุดฝากครรภ์และใบนัดให้สามี จากนั้นเดินมาบอกข้าพเจ้าเปลี่ยนผ้าถุงแล้วให้กลับบ้านได้ พรุ่งนี้ค่อยมาตรวจใหม่ ข้าพเจ้าจึงถามกลับไปว่า "แล้วไม่ซาวด์หรอคะ" ..พยาบาลส่ายหน้า "ไม่ซาวด์" ข้าพเจ้ากับสามีก็กลับมาประมาณตีสี่กว่า มีการปรึกษากันตลอดเวลาที่รอให้ถึงเช้าว่า ไปคลินิกมั้ย แต่ก็ต้องรอคลินิกก็เปิดตอนเย็น อีกอย่างรพ.ก เค้าก็รับเคสแล้ว พรุ่งนี้เราก็ไปพบแพทย์ตามนัดแล้วกัน
เช้าวันอังคารที่ 20 กพ. ข้าพเจ้าไปตามนัด ไปสอบถามประชาสัมพันธ์ว่ามีใบนัดนี้มา เข้าตรวจเลยได้มั้ยที่ห้องคลอดเพราะมารอบนึงตอนตี 2 แต่จนท.แจ้งว่าให้รอตามคิว ให้ยื่นใบนัดไว้ แต่ทางสามีไปถามที่ห้องคลอดว่าขอเข้ามาตรวจเลยได้มั้ยเรามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เรามีใบนัดมา ลูกผมไม่ดิ้น ทางพยาบาลจึงยอมให้เข้าไปก่อนแล้วบัตรค่อยเอามาทีหลัง พยาบาลให้ขึ้นนอนบนเตียงติดเครื่องตรวจสุขภาพเด็กเหมือนเดิม มีการเก็บปัสสวะไปตรวจ 2 ครั้ง และแจ้งว่ารอแพทย์ตรวจคนไข้ข้างบนเสร็จแล้วจะลงมาตรวจ จนเวลา 9-10 โมงโดยประมาณ แพทย์ก็เข้ามาทำอัลตร้าซาวด์ แพทย์พูดว่า"หัวใจเต้นปกติแต่นิ่งมากเลย น้ำคร่ำมีแค่ 6 เอง" ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่า 6 คืออะไร แล้วควรมีเท่าไหร่ จากนั้นให้พยาบาลมากระตุ้นโดยใช้มืออีก จนต้องถามว่า "ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอเราเจ็บ" หลังจากกระตุ้นก็ยังไม่ดิ้น ตลอดเวลาที่แพทย์และพยาบาลตรวจไม่มีการบอกอะไรเลย เป็นเพียงการคุยกันของแพทย์และพยาบาล ซึ่งข้าพเจ้าต้องเป็นฝ่ายถามเมื่อสงสัยอยากรู้จริงๆ ต่อมาแพทย์แจ้งให้นอนรพ.และให้ทางพยาบาลให้ออกซิเจนกับน้ำเกลือเพื่อจะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ทารกและให้ย้ายไปนอนที่ห้องรอคลอด จากนั้นช่วงบ่ายก็กลับไปอัลตร้าซาวน์อีกรอบโดยแพทย์อีกท่านหนึ่ง ผลการอัลตร้าซาวด์เป็นยังไงอันนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทราบเพียงว่าจะมีการโทรติดต่อไปหาแพทย์เฉพาะทางของรพ.ข หลังจากโทรแล้วก็มีการแจ้งว่าให้ข้าพเจ้านอนดูอาการ แล้วจะมีการส่งตัวไปรพ.ข ในเช้าวันศุกร์ นั่นแปลว่าต้องนอนรอ 3 คืน เมื่อสอบถามทางพยาบาลว่าอาการจะดีขึ้นมั้ย พยาบาลก็แจ้งว่านี่ตอนนี้ก็ทำอยู่คือให้น้ำเกลือกับออกซิเจนไปช่วยทารกในครรภ์ซึ่งเป็นการรักษาเท่าที่ทำได้ พร้อมกับติดเครื่องตรวจสุขภาพเด็กไว้ตลอดเวลา ทางครอบครัวก็สอบถามว่าถ้าจะขอย้ายไปรพ.ข วันนี้เลยไม่ได้หรอ ทางแพทย์ตอบว่า ติดต่อไปทางรพ.ข แล้ว แพทย์เด็กยังไม่รับเพราะยังไม่เป็นกรณีเร่งด่วน จนถึงช่วงเย็นมีแพทย์อีกท่านนึงเข้ามาอัลตร้าซาวด์และแจ้งว่าพรุ่งนี้แพทย์จะติดต่อไปหาแพทย์ม.อีกที เนื่องจากแพทย์ ม. เป็นแพทย์เวรวันพรุ่งนี้และเป็นแพทย์คลินิกที่ข้าพเจ้าฝากครรภ์ด้วย
เที่ยงคืนวันนั้นมีการงดน้ำและอาหารเพื่อตรวจเลือดlab2และตรวจน้ำตาลในเลือดในเช้าวันรุ่งขึ้น
ช่วงเวลาหัวค่ำข้าพเจ้ารู้สึกว่าลูกมีการเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่เหมือนปกติ จากนั้นก็นอนพักจนเช้ารีบตื่นมารอแพทย์และพยาบาลเพื่อเจาะเลือด ซึ่งผลการตรวจทั้ง2อย่างปกติ จากนั้นตอนสาย แพทย์โทรติดต่อกับแพทย์รพ.ข ทางรพ.ข รับเคสให้รีเฟอไปได้เลย โดยก่อนเดินทางมีการฉีดยากระตุ้นปอดให้ข้าพเจ้า 1 เข็ม
รถรพ.ก ส่งข้าพเจ้าถึงห้องฉุกเฉินรพ.ข เวลาประมาณ 10 โมงกว่า ซักประวัติหน้าห้องฉุกเฉิน น้ำหนัก ส่วนสูง ประจำเดือนครั้งสุดท้าย วัดความดัน จากนั้นได้เข้าห้องฉุกเฉิน รอแพทย์มาอัลตร้าซาวด์ประมาณ 20 นาที มีแพทย์มาอัลตร้าซาวด์ หัวใจเต้นปกติ แต่ได้ยินแพทย์พูดกับพยาบาลที่ไปส่งว่า
ไม่เห็นน้ำคร่ำเลย น้อยมาก แนบตัวเด็กเลย นิ่งมากเลย แต่ก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกับข้าพเจ้า จากนั้นก็นอนรอบนเตียงสักพัก ไม่ทราบเหมือนกันว่ารออะไร จนมีเจ้าหน้าที่เข็นขึ้นไปห้องรอคลอด ชั้น 4 พยาบาลห้องรอคลอดได้ทำความสะอาดหน้าท้องและอวัยวะเพศ แล้วพาไปส่งที่เตียงหมายเลข 4 ผ่านไปประมาณ 10 นาที แพทย์ ม. ก็เข้ามา มีการคุยกันกับพยาบาลว่า ทำไมพยาบาลที่มาส่งถึงได้พาไปที่ห้องฉุกเฉิน เสียเวลาตั้งนาน แทนที่จะพาขึ้นมาส่งเลย แจ้งไปแล้วว่าให้ขึ้นมาเลย จากนั้นแพทย์ได้เข้ามาซักถามอาการและเปิดสมุดฝากครรภ์ และแจ้งว่าอายุครรภ์น้อย ไม่อยากผ่าตอนนี้แต่ถ้าไม่ดีขึ้นจริงๆก็ต้องผ่าแต่ตอนนี้แพทย์จะให้ยากระตุ้นปอดสำหรับทารกในครรภ์ให้ครบ 4 เข็มก่อน ซึ่งแต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 12 ชั่วโมง ซึ่งเข็มแรกฉีดไปตอน 10 โมงเช้า จะครบ 4 เข็ม ตอน 4 ทุ่มคืนถัดไป จากนั้นพยาบาลก็ได้นำเครื่องตรวจสุขภาพเด็กมาติดให้ พร้อมกับนำเอกสารการยินยอมให้ผ่าตัดมาให้เซ็น ข้าพเจ้ากับสามีก็เซ็นให้พยาบาลเอาเสื้อผ้าของทางรพ.มาให้เปลี่ยน เพราะที่ใส่อยู่เป็นรพ.ก จากนั้นก็นอนพักจนถึงเวลาฉีดยากระตันปอดเข็มที่ 2 ตอน 4 ทุ่ม พยาบาลก็มาฉีดให้ จากนั้นก็หลับไปและตื่นอีกทีประมาณ 5 ทุ่ม ก็หลับๆตื่นๆ
จนเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ลูกดิ้นค่ะ ดีใจมากเพราะลูกดิ้นแรงขึ้น พยาบาลเดินมาพอดี ก็บอกพยาบาล ย้ำนะว่าที่บอกพยาบาลคือลูกดิ้น ไม่ได้มีเสียงสัญญานจากเครื่องอะไรใดๆทั้งสิ้น ขณะที่ลูกดิ้นพยาบาลก็เข้ามาตรวจ มาฟังเสียงชีพจร แต่เครื่องฟังและเครื่องตรวจสุขภาพเด็กจับได้เพียงแค่ชีพจรของข้าพเจ้า พยาบาลทั้งสองคนก็พยายามให้ขยับเปลี่ยนท่านอน ซึ่งในขณะที่พยาบาลตรวจหาชีพจรคือ ลูกในท้องของข้าพเจ้ามีการดิ้นตลอดเวลาดิ้นแรงด้วย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตัดสินใจถามพยาบาลว่า "ทำไมไม่ซาวด์ ที่นี่มีเครื่องซาวด์มั้ย" พยาบาลแจ้งว่า "ข้างบนนี้ไม่มีเครื่องซาวด์ มีสองวิธีตอนนี้คือเราจะลงไปเอาเครื่องหรือจะเอาคนไข้ลงไป" ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "ลงไปก็ได้ ไปเลยค่ะ" พร้อมกับรีบลุกจากเตียงเพื่อไปขึ้นเปลนอนที่หน้าลิฟท์ ในระหว่างนั้นพยาบาลก็มีการโทรติดต่อแพทย์ให้มาทำการอัลตร้าซาวด์ที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อถึงห้องฉุกเฉินสักพักก็มีนายแพทย์มาทำการอัลตร้าซาวด์ ซึ่งปรากฎว่าลักษณะหัวใจของทารกที่แพทย์เห็นนั้นจากคำพูดของแพทย์ที่คุยกับพยาบาลคือ ขยับเบามากและมีบางช่วงที่เหมือนกับไม่ขยับ ประมาณ 5-10 นาทีนายแพทย์ปรึกษากับพยาบาลว่าควรโทรตามแพทย์เจ้าของไข้ มีการแจ้งผลการอัลตร้าซาวด์และแจ้งด้วยว่าตนทำการอัลตร้าซาวด์ได้เพียงแค่ดูภาพแต่ไม่สามารถเปิดดูค่าหรืออัตราต่างๆได้เนื่องจากใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เครื่องนี้ไม่เป็น แต่ใช้วิธีนับอัตราการเต้นของหัวใจทารกแบบดูจากจอแล้วนับ จากนั้นสัก 5-10 นาที แพทย์ ม. ซึ่งเป็นแพทย์
เจ้าของไข้ก็มาถึง มีการอัลตร้าซาวด์ซ้ำและเห็นว่าหัวใจเต้นช้าลงจะต้องรีบเอาทารกออกมาช่วยเหลือด้านนอกให้เร็วที่สุด จึงตัดสินใจทำการผ่าตัด มีการให้พยาบาลใส่สายปัสสวะและเข็นข้าพเจ้าขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องผ่าตัด
ฝากครรภ์หมอว่าลูกปกติดีแต่ต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดแล้วลูกเสียชีวิต
(ขออนุญาตคัดลอกจากที่ได้พิมพ์ไว้มาโพสเลยนะคะ)
อาจจะยาวหน่อยนะคะ แต่เป็นเรื่องราวทั้งหมด
📌📌ข้าพเจ้า อายุ 31 ปี มีบุตร 1 คน เป็นเพศชาย อายุ 1 ขวบ 9 เดือนและได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ได้ไปฝากครรภ์ที่คลินิกสูตินรีแพทย์แห่งหนึ่ง วันแรกที่ไปฝากครรภ์
อายุครรภ์ 5 สัปดาห์ 5 วัน ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม 2560 รับยาบำรุงครรภ์และมีการนัดตรวจทุกๆเดือน เดือนละ 1 ครั้ง มีการทำอัลตร้าซาวด์ทุกครั้ง ซึ่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าเป็นไปตามอายุครรภ์ ทั้งขนาด น้ำหนักและลักษณะอวัยวะภายนอก โดยแพทย์ผู้ทำการตรวจแจ้งว่า ปกติแข็งแรงดีในทุกๆเดือน ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าเป็นเพศหญิง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้ากับครอบครัวคาดหวังและวางแผนไว้ว่าเราจะมีบุตรเพียง 2 คน ชาย 1 หญิง 1 ทุกคนในครอบครัวข้าพเจ้าดีใจและเฝ้ารอ ช่วยกันดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ทางฝั่งครอบครัวของสามีหรือคุณปู่ก็ดีใจมากเพราะทางครอบครัวสามีเป็นครอบครัวชายล้วนและรอคอยที่จะได้เห็นหลานสาวคนแรก
จนกระทั่งช่วงอายุครรภ์ประมาณ 28 -30 สัปดาห์ ที่ข้าพเจ้าน้ำหนักขึ้น 4 กิโล ซึ่งทางแพทย์แจ้งว่า
ให้ควบคุมการกินเพราะอาจจะทำให้ทารกตัวใหญ่เกินไปหรืออาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและในเดือนถัดไปจะขอสุ่มตรวจน้ำตาลในเลือด โดยให้ข้าพเจ้างดน้ำและอาหาร ก่อนตรวจ 4 ชั่วโมง และในวันที่ศุกร์ 8 กพ. ข้าพเจ้าก็ไปตามนัดแต่พยาบาลที่คลินิกแจ้งว่าแพทย์ไม่อยู่ ไปรับเสด็จกระทันหัน จะเจาะเลือดให้วันนี้เลยแต่ต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ในวันพรุ่งนี้ และในวันเสาร์ที่ 9 ข้าพเจ้าก็ไปตรวจตามนัด ซึ่งผลการตรวจ
ค่าน้ำตาลในเลือด ค่าอยู่ที่ 140 (ในช่วงนั่งรอที่คลินิกข้าพเจ้าเผลออมวิตามินซีกับลูกชายเข้าไปด้วย2เม็ดและแจ้งกับพยาบาลและแพทย์แล้ว) ทางแพทย์แจ้งว่าค่ามันปริ่มจะขอตรวจซ้ำโดยนัดตรวจอีกสองอาทิตย์ถัดไป ตรงกับวันเสาร์ที่ 24 กพ. แต่วันที่พุธ 21 กพ.ข้าพเจ้ามีนัดตรวจเลือด lab 2 ที่รพ.ก พอดี ทางแพทย์จึงให้ข้าพเจ้าตรวจพร้อมกันในวันที่พุธ 21 กพ.ที่รพ.กได้เลย โดยให้งดน้ำและอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 20 ช่วงหลังจากที่ไปพบแพทย์ที่คลินิกในวันนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาคุมอาหารหลายๆอย่าง เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ เปลี่ยนจากการทานข้าวเหนียว ข้าวขาว เป็นทานข้าวกล้อง งดนมหวาน อาหารรสหวาน แป้ง ทานผลไม้แค่บางชนิด ซึ่งช่วงที่รอจะถึงวันนัดก็ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทารกในครรภ์ก็ดิ้นปกติ ซึ่งจะดิ้นแรงในช่วงเย็นและเวลานอน
จนกระทั่งช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ อายุครรภ์ตอนนั้น 33 สัปดาห์กับ 1 วัน ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าทารกในครรภ์ของข้าพเจ้ามีการดิ้นเบาลง น้อยลง แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวพอทานข้าวเย็นเสร็จค่อยนับลูกดิ้นอีกที พอทานข้าวเย็นเสร็จนั่งพัก ประมาณ 1 ทุ่มก็ลองนับลูกดิ้น ก็ยังมีการดิ้นน้อย ในใจก็คิดว่าอาจจะด้วยอายุครรภ์ที่มากขึ้นทารกตัวใหญ่ขึ้น พื้นที่อาจจะน้อยจนไม่ค่อยเคลื่อนไหว แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้นจนเข้านอนข้าพเจ้าก็ยังคงเฝ้าสังเกตอาการจนเวลาตีสอง เริ่มไม่สบายใจมากขึ้น จึงลุกไปดื่มน้ำเย็นเพราะหวังว่าลูกจะดิ้นแต่ก็ไม่ดิ้น จึงได้ส่งข้อความไปปรึกษาหลานสะไภ้เนื่องจากเขาทำงานที่รพ.ก สอบถามว่าอาการแบบนี้ไปหาหมอดีมั้ย แล้วจะมีแพทย์ตรวจหรือไม่ ทางหลานก็สอบถามไปทางรพ. แล้วตอบกลับมาให้ข้าพเจ้า
เข้าไปได้เลยมีแพทย์ตรวจ จึงชวนสามีไปรพ.ก
ข้าพเจ้าไปถึงประมาณตีสองกว่า พอไปถึงก็เห็นประตูห้องฉุกเฉินแง้มอยู่ พอส่องดูก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังนั่งคุยกัน มีบางคนก็กำลังทำอะไรที่ตู้เก็บของอะไรสักอย่าง พอเราหันมาทางห้องเบอร์ 1 เห็นมีป้ายเขียนไว้ว่าวางบัตรที่ตะกร้าและมีจนท.ผู้ชายสองคนนั่งอยู่ เราจึงเดินไปหย่อนบัตร ตามลำดับขั้นตอน จากนั้นจนท.ผู้ชายสอบถามว่า "เป็นอะไรมาครับ" เราก็แจ้งไปว่า"รัสึกว่าลูกดิ้นน้อย" จนท.ก็พาไปยังห้องคลอด ในห้องคลอด มีพยาบาลชุดขาว 2 คนและชุดเหลือง 1 คน พยาบาลถามว่า"เจ็บท้องคลอดมาหรอ" ข้าพเจ้าก็ตอบว่า"เปล่า แต่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง " "ลูกไม่ดิ้นแล้วมาหาหมอตอนตีสองเนี่ยนะ" ข้าพเจ้าไม่ทราบว่านั่นคือคำถามของพยาบาลที่ต้องการคำตอบหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบไป พยาบาลชุดเหลือง แจ้งให้เปลี่ยนผ้าถุงขึ้นนอนบนเตียงและแจ้งว่าจะใส่เครื่องตรวจสุขภาพเด็ก 20 นาที โดยตัวเครื่องก็จะมีจอแสดงตัวเลข กราฟ และเสียงชีพจรของทารกและก็มีกระดาษที่แสดงเส้นกราฟไหลออกมา มีตัวปุ่มให้ถือไว้และกดเมื่อรู้สึกว่าลูกดิ้น ซึ่งไม่ได้กดเลยตลอดเวลา 20 นาที จากนั้นพยาบาลแจ้งว่าจะทำการกระตุ้น
"เจ็บหน่อยนะ"โดยพยาบาลใช้มือกดลงบริเวรหัวหน่าว คาดว่าน่าจะเป็นบริเวรศรีษะทารกและเขย่าประมาณ 3 ครั้ง ทำการกระตุ้น 2 รอบ แต่ก็ยังไม่ดิ้น พยาบาลโทรติดต่อแพทย์เวรแจ้งอาการ อายุครรภ์และการรักษาที่ได้ทำไป จากนั้นก็มีการส่งภาพถ่ายกระดาษกราฟที่ออกมาจากเครื่องให้แพทย์เวรทางโทรศัพท์ สักพักก็โทรติดต่อแพทย์อีกครั้งและกลับมาแจ้งข้าพเจ้าว่า"แพทย์ให้ฟังอีก 40 นาที"ก็ทำเหมือนเดิมและมีการใช้มือกระตุ้นอีก 2 รอบแล้วบอกว่า "คงจะหลับลึก" และเดินกลับไปนั่งคุยกันที่โต๊ะ และมีพยาบาลชุดเหลืองพูดว่า"ความจริงหมอเวรควรจะขึ้นมานอนข้างบนนะ" จากนั้นสักพักก็เรียกสามีข้าพเจ้าและแจ้งว่าให้กลับบ้านแล้วกลับมาอีกทีพรุ่งนี้เช้าประมาณ 9 โมง พร้อมกับยื่นสมุดฝากครรภ์และใบนัดให้สามี จากนั้นเดินมาบอกข้าพเจ้าเปลี่ยนผ้าถุงแล้วให้กลับบ้านได้ พรุ่งนี้ค่อยมาตรวจใหม่ ข้าพเจ้าจึงถามกลับไปว่า "แล้วไม่ซาวด์หรอคะ" ..พยาบาลส่ายหน้า "ไม่ซาวด์" ข้าพเจ้ากับสามีก็กลับมาประมาณตีสี่กว่า มีการปรึกษากันตลอดเวลาที่รอให้ถึงเช้าว่า ไปคลินิกมั้ย แต่ก็ต้องรอคลินิกก็เปิดตอนเย็น อีกอย่างรพ.ก เค้าก็รับเคสแล้ว พรุ่งนี้เราก็ไปพบแพทย์ตามนัดแล้วกัน
เช้าวันอังคารที่ 20 กพ. ข้าพเจ้าไปตามนัด ไปสอบถามประชาสัมพันธ์ว่ามีใบนัดนี้มา เข้าตรวจเลยได้มั้ยที่ห้องคลอดเพราะมารอบนึงตอนตี 2 แต่จนท.แจ้งว่าให้รอตามคิว ให้ยื่นใบนัดไว้ แต่ทางสามีไปถามที่ห้องคลอดว่าขอเข้ามาตรวจเลยได้มั้ยเรามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เรามีใบนัดมา ลูกผมไม่ดิ้น ทางพยาบาลจึงยอมให้เข้าไปก่อนแล้วบัตรค่อยเอามาทีหลัง พยาบาลให้ขึ้นนอนบนเตียงติดเครื่องตรวจสุขภาพเด็กเหมือนเดิม มีการเก็บปัสสวะไปตรวจ 2 ครั้ง และแจ้งว่ารอแพทย์ตรวจคนไข้ข้างบนเสร็จแล้วจะลงมาตรวจ จนเวลา 9-10 โมงโดยประมาณ แพทย์ก็เข้ามาทำอัลตร้าซาวด์ แพทย์พูดว่า"หัวใจเต้นปกติแต่นิ่งมากเลย น้ำคร่ำมีแค่ 6 เอง" ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่า 6 คืออะไร แล้วควรมีเท่าไหร่ จากนั้นให้พยาบาลมากระตุ้นโดยใช้มืออีก จนต้องถามว่า "ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอเราเจ็บ" หลังจากกระตุ้นก็ยังไม่ดิ้น ตลอดเวลาที่แพทย์และพยาบาลตรวจไม่มีการบอกอะไรเลย เป็นเพียงการคุยกันของแพทย์และพยาบาล ซึ่งข้าพเจ้าต้องเป็นฝ่ายถามเมื่อสงสัยอยากรู้จริงๆ ต่อมาแพทย์แจ้งให้นอนรพ.และให้ทางพยาบาลให้ออกซิเจนกับน้ำเกลือเพื่อจะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ทารกและให้ย้ายไปนอนที่ห้องรอคลอด จากนั้นช่วงบ่ายก็กลับไปอัลตร้าซาวน์อีกรอบโดยแพทย์อีกท่านหนึ่ง ผลการอัลตร้าซาวด์เป็นยังไงอันนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทราบเพียงว่าจะมีการโทรติดต่อไปหาแพทย์เฉพาะทางของรพ.ข หลังจากโทรแล้วก็มีการแจ้งว่าให้ข้าพเจ้านอนดูอาการ แล้วจะมีการส่งตัวไปรพ.ข ในเช้าวันศุกร์ นั่นแปลว่าต้องนอนรอ 3 คืน เมื่อสอบถามทางพยาบาลว่าอาการจะดีขึ้นมั้ย พยาบาลก็แจ้งว่านี่ตอนนี้ก็ทำอยู่คือให้น้ำเกลือกับออกซิเจนไปช่วยทารกในครรภ์ซึ่งเป็นการรักษาเท่าที่ทำได้ พร้อมกับติดเครื่องตรวจสุขภาพเด็กไว้ตลอดเวลา ทางครอบครัวก็สอบถามว่าถ้าจะขอย้ายไปรพ.ข วันนี้เลยไม่ได้หรอ ทางแพทย์ตอบว่า ติดต่อไปทางรพ.ข แล้ว แพทย์เด็กยังไม่รับเพราะยังไม่เป็นกรณีเร่งด่วน จนถึงช่วงเย็นมีแพทย์อีกท่านนึงเข้ามาอัลตร้าซาวด์และแจ้งว่าพรุ่งนี้แพทย์จะติดต่อไปหาแพทย์ม.อีกที เนื่องจากแพทย์ ม. เป็นแพทย์เวรวันพรุ่งนี้และเป็นแพทย์คลินิกที่ข้าพเจ้าฝากครรภ์ด้วย
เที่ยงคืนวันนั้นมีการงดน้ำและอาหารเพื่อตรวจเลือดlab2และตรวจน้ำตาลในเลือดในเช้าวันรุ่งขึ้น
ช่วงเวลาหัวค่ำข้าพเจ้ารู้สึกว่าลูกมีการเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่เหมือนปกติ จากนั้นก็นอนพักจนเช้ารีบตื่นมารอแพทย์และพยาบาลเพื่อเจาะเลือด ซึ่งผลการตรวจทั้ง2อย่างปกติ จากนั้นตอนสาย แพทย์โทรติดต่อกับแพทย์รพ.ข ทางรพ.ข รับเคสให้รีเฟอไปได้เลย โดยก่อนเดินทางมีการฉีดยากระตุ้นปอดให้ข้าพเจ้า 1 เข็ม
รถรพ.ก ส่งข้าพเจ้าถึงห้องฉุกเฉินรพ.ข เวลาประมาณ 10 โมงกว่า ซักประวัติหน้าห้องฉุกเฉิน น้ำหนัก ส่วนสูง ประจำเดือนครั้งสุดท้าย วัดความดัน จากนั้นได้เข้าห้องฉุกเฉิน รอแพทย์มาอัลตร้าซาวด์ประมาณ 20 นาที มีแพทย์มาอัลตร้าซาวด์ หัวใจเต้นปกติ แต่ได้ยินแพทย์พูดกับพยาบาลที่ไปส่งว่า
ไม่เห็นน้ำคร่ำเลย น้อยมาก แนบตัวเด็กเลย นิ่งมากเลย แต่ก็ไม่ได้บอกหรือพูดอะไรกับข้าพเจ้า จากนั้นก็นอนรอบนเตียงสักพัก ไม่ทราบเหมือนกันว่ารออะไร จนมีเจ้าหน้าที่เข็นขึ้นไปห้องรอคลอด ชั้น 4 พยาบาลห้องรอคลอดได้ทำความสะอาดหน้าท้องและอวัยวะเพศ แล้วพาไปส่งที่เตียงหมายเลข 4 ผ่านไปประมาณ 10 นาที แพทย์ ม. ก็เข้ามา มีการคุยกันกับพยาบาลว่า ทำไมพยาบาลที่มาส่งถึงได้พาไปที่ห้องฉุกเฉิน เสียเวลาตั้งนาน แทนที่จะพาขึ้นมาส่งเลย แจ้งไปแล้วว่าให้ขึ้นมาเลย จากนั้นแพทย์ได้เข้ามาซักถามอาการและเปิดสมุดฝากครรภ์ และแจ้งว่าอายุครรภ์น้อย ไม่อยากผ่าตอนนี้แต่ถ้าไม่ดีขึ้นจริงๆก็ต้องผ่าแต่ตอนนี้แพทย์จะให้ยากระตุ้นปอดสำหรับทารกในครรภ์ให้ครบ 4 เข็มก่อน ซึ่งแต่ละเข็มจะฉีดห่างกัน 12 ชั่วโมง ซึ่งเข็มแรกฉีดไปตอน 10 โมงเช้า จะครบ 4 เข็ม ตอน 4 ทุ่มคืนถัดไป จากนั้นพยาบาลก็ได้นำเครื่องตรวจสุขภาพเด็กมาติดให้ พร้อมกับนำเอกสารการยินยอมให้ผ่าตัดมาให้เซ็น ข้าพเจ้ากับสามีก็เซ็นให้พยาบาลเอาเสื้อผ้าของทางรพ.มาให้เปลี่ยน เพราะที่ใส่อยู่เป็นรพ.ก จากนั้นก็นอนพักจนถึงเวลาฉีดยากระตันปอดเข็มที่ 2 ตอน 4 ทุ่ม พยาบาลก็มาฉีดให้ จากนั้นก็หลับไปและตื่นอีกทีประมาณ 5 ทุ่ม ก็หลับๆตื่นๆ
จนเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ลูกดิ้นค่ะ ดีใจมากเพราะลูกดิ้นแรงขึ้น พยาบาลเดินมาพอดี ก็บอกพยาบาล ย้ำนะว่าที่บอกพยาบาลคือลูกดิ้น ไม่ได้มีเสียงสัญญานจากเครื่องอะไรใดๆทั้งสิ้น ขณะที่ลูกดิ้นพยาบาลก็เข้ามาตรวจ มาฟังเสียงชีพจร แต่เครื่องฟังและเครื่องตรวจสุขภาพเด็กจับได้เพียงแค่ชีพจรของข้าพเจ้า พยาบาลทั้งสองคนก็พยายามให้ขยับเปลี่ยนท่านอน ซึ่งในขณะที่พยาบาลตรวจหาชีพจรคือ ลูกในท้องของข้าพเจ้ามีการดิ้นตลอดเวลาดิ้นแรงด้วย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตัดสินใจถามพยาบาลว่า "ทำไมไม่ซาวด์ ที่นี่มีเครื่องซาวด์มั้ย" พยาบาลแจ้งว่า "ข้างบนนี้ไม่มีเครื่องซาวด์ มีสองวิธีตอนนี้คือเราจะลงไปเอาเครื่องหรือจะเอาคนไข้ลงไป" ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "ลงไปก็ได้ ไปเลยค่ะ" พร้อมกับรีบลุกจากเตียงเพื่อไปขึ้นเปลนอนที่หน้าลิฟท์ ในระหว่างนั้นพยาบาลก็มีการโทรติดต่อแพทย์ให้มาทำการอัลตร้าซาวด์ที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อถึงห้องฉุกเฉินสักพักก็มีนายแพทย์มาทำการอัลตร้าซาวด์ ซึ่งปรากฎว่าลักษณะหัวใจของทารกที่แพทย์เห็นนั้นจากคำพูดของแพทย์ที่คุยกับพยาบาลคือ ขยับเบามากและมีบางช่วงที่เหมือนกับไม่ขยับ ประมาณ 5-10 นาทีนายแพทย์ปรึกษากับพยาบาลว่าควรโทรตามแพทย์เจ้าของไข้ มีการแจ้งผลการอัลตร้าซาวด์และแจ้งด้วยว่าตนทำการอัลตร้าซาวด์ได้เพียงแค่ดูภาพแต่ไม่สามารถเปิดดูค่าหรืออัตราต่างๆได้เนื่องจากใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เครื่องนี้ไม่เป็น แต่ใช้วิธีนับอัตราการเต้นของหัวใจทารกแบบดูจากจอแล้วนับ จากนั้นสัก 5-10 นาที แพทย์ ม. ซึ่งเป็นแพทย์
เจ้าของไข้ก็มาถึง มีการอัลตร้าซาวด์ซ้ำและเห็นว่าหัวใจเต้นช้าลงจะต้องรีบเอาทารกออกมาช่วยเหลือด้านนอกให้เร็วที่สุด จึงตัดสินใจทำการผ่าตัด มีการให้พยาบาลใส่สายปัสสวะและเข็นข้าพเจ้าขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องผ่าตัด