Alone in Korea 2017

กระทู้สนทนา
เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 ได้มีโอกาสได้กลับไปที่บ้านเกิดหลังที่สองอีกครั้ง และเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว มีแต่คนถามว่ากล้าไปได้ยังไง บอกได้คำเดียวว่าไม่รู้เหมือนกัน 555 แต่ได้มีการเตรียมตัวไปอย่างดี ทั้งรีวิวดูการไปของคนอื่นๆ คนอื่นเค้าก็ไปคนเดียวเหมือนกันยังไปได้ เราก็ต้องได้เหมือนกัน การเดินทางไปครั้งนี้ไปของสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเราคิดว่าก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เราว่าโอเคเลยทีเดียว ตอนจอง มีแพ็คเก็ต โหลดกระเป๋าและจองอาหารและจองที่นั่งล่วงหน้า เริดเลยทีเดียว ได้ในราคาเบ็ดเสร็จไปกลับ 12200 บาท ถือว่าไม่แพงเอาไหวเลยละ ช่วงที่เดินทางคือวันที่ 1-5 พ.ย.2017 เดินทางวันที่ 1  พ.ย 60 เวลา 8.05 ไฟล์ XJ708 ถึงสนามบินอินชอนเวลา 15.20 เวลาที่บ้านเค้า ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องเวลาถือว่าโอเค ระหว่างนั่งคอยขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง แอบเหงาเหมือนกันนะ และก็แอบกลัวด้วย ว่าไปถึงแล้วจะสือสารกับเค้ารู้เรื่องไหม โดยเฉพาะตม. แอบหวั่นๆ เพราะช่วงที่เราเดินทางจะมีข่าวเรื่องคนไทยที่แอบหนีไปทำงานที่เกาหลีและถูกส่งกลับเยอะมาก
ท้องฟ้า สดใส ระหว่างนั้นขอนอนเอาแรง บินครั้งนี้นั่งข้างๆ กับน้องที่มากับครอบครัว มาเป็นทัวร์ คิดว่าเด็กน้อยช่างโชคดีที่ได้มาเที่ยวตั้งแต่ยังเด็ก (ไม่ได้ถ่ายรูปน้องมานะคะ) เรากว่าจะได้มาก็ต้องทำงานแล้ว
เมื่อมาถึงสนามบินอินชอน จะต้องนั่งรถไฟไป terminal 1 เพื่อผ่านตม. คะ ขอเล่าบรรยากาศระหว่างผ่านตม. ใจแอบตุบๆ ตอมๆ เหมือนกันนะคะ ทั้งๆ ที่เราว่าเราไม่มีอะไร และเตรียมตัวมาอย่างดีเอกสารที่เตรียมไว้ในมือ
1. แผนเทียวว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง
2. ใบที่เราจองโรงแรม ว่าเราพักที่ไหน แผนที่โรงแรมด้วย
3. หนังสือรับรองการทำงานแบบภาษาอังกฤษ
4. พาสปอร์ต มีกี่เล่มเตรียมเอาไว้เลย
ระหว่างนั่น คนที่อยู่ข้างหน้าเราก็เป็นคนไทย ที่มาเป็นทัวร์ เมื่อเค้าเข้าที่ยืนที่หน้าตม. สักพักก็ยกมือ ก็มีคนมาพาคนไทยที่อยู่หน้าเราไปยังห้องเย็น มองเข้าไปนั่งรอเยอะพอสมควรเหมือนกัน เอาแล้วไง แล้วฉันละ เมื่อถึงคิวเรา ยื่นพาสปอร์ต เค้าก็ถามเราเป็นภาษาอังกฤษว่า มากี่วัน มากับใคร ไปที่ไหนบ้าง
เราก็ตอบไปว่า มา 5 วัน มาคนเดียว และชื่อสถานที่จะไป เค้าก็ตกใจเหมือนกันถามซ้ำว่ามาคนเดียวหรือ? เราก็ตอบว่าใช่ มาคนเดียว ด้วยความที่เราตัวเล็กเหมือนเด็กมั้ง เค้าก็คงงง และปั้มตราผ่านแบบงงๆ
เมื่อผ่านตม. มาเรียบร้อยก็มารับกระเป๋า สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากออกมาคือต้องหาที่เช่า pocket wifi เราใช้ของ LG U+ เคาร์เตอร์อยู่ที่ทางออก 9,10
เค้าจะถามเราว่า ใช้กี่วัน ของเรา 5 วัน (ราคาจำไม่ได้แล้วอ่ะ) เค้าจะสอนเราใช้เครื่องและเอาเครื่องไปใช้ได้เลย วันกลับค่อยจ่ายเงิน (แต่ต้องใช้บัครเคดิต เป็นหลักประกันไว้ก่อนนะ) หลังจากได้ pocket wifi ก็ต้องหาทางเข้าเมืองกัน เราเดินทางด้วย Lemusen bus Airport ราคาใครว่าจะแพงหน่อยแต่เราว่าสะดวกสำหรับเรา และอีกอย่างเราไปคนเดียวก็สบายมากขึ้น โรงแรมที่พักชื่อว่า Myeongdong stay Residence อยู่แถวเมียงดงเลย และรถก็จอดตรงข้ามกับโรงแรมสะดวกมั้ยละ
แอบเอารูปมาจาก booking.com ไม่ได้ถ่ายเอาไว้เลย แต่อยากจะบอกว่าโอป้าเจ้าของที่พักใจดีและน่ารักมากๆ เลย เมื่อเก็บกระเป๋าที่ห้องเรียบร้อยก็ลุยคะ หาข้าวทานก็จบสำหรับวันแรกที่มาถึงแล้ว ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย
อาหารมื้อแรกเมื่อมาถึงเกาหลี
เดี๋ยวมาต่อของวันที่สองนะคะ
Day 2
วันที่สอง เราจะไป Haneul Park  Seoullo 7017 Hongik University และ Ewa University
1. Haneul Park เป็นสถานที่ตั้งใจไว้มากหลังจากที่ไปเมื่อปี 2016 กลับมาฉันจะต้องไปยังทุ่งหญ้านี่ให้ได้ เพราะมีคนเอามาโพสเอาไว้สวยงามทั้งนั้น ตื่นเช้าวันที่สองจึงต้องหาอะไรรับประทานเอาแรง
การเดินทางมา เราเริ่มต้นที่ myeongdong station จะต้องไปลงที่สถานี World cup stadium station ทางออก 1 โดยเปลี่ยนสถานีที่ Samgakji station เมื่อมาถึง  World cup stadium station เดินออกมาถึงกับงง อ๊า แล้วฉันต้องไปอย่างไรต่อ เพราะดูจากที่เค้ารีวิวไว้ก็ยังแอบงง อยู่ เอาว่ะ!! เดินไปก่อนแล้วกัน หลังจากที่เดินวนรอบสนามกีฬาเกือบรอบ เราก็เดินมาถูกทาง เพราะจริงๆ ต้องข้ามถนนมาอีกทาง
ถ้าเดินมาแล้วเห็นเจ้าสิ่งนี้แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว
เห็นสะพานนี้ก็ถึงแล้วจ้า
ขอบอกว่าการเดินทางมานี่เหนื่อยมากๆ เพราะต้องเดินตลอด ไม่เพียงเท่านั้นการจะขึ้นไปเห็นอะไรที่สวยงามต้องแลกมาด้วยเหงื่อ ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถกอล์ฟ พาขึ้นไป แต่เนื่องด้วยหาไม่เจอ ดังนั้นจึงต้องเดิน!!! ไต่บันได 296 ขั้น จากอากาศหนาวๆ เย็นๆ กลายเป็นร้อนในบัดดล แต่ในเมื่อมาแล้วจะหยุดไม่ได้ เมื่อเห็นป้ายหินอันนี้เป็นอันบอกว่าฉันมาถึงแล้วววววว!!!!
ขอบอกว่าหายเหนื่อยไปทันที สมกับที่อยากเห็น ที่นั่นจะมีร้านเล็กๆ ขายของ เราเลยซื้ออุด้งเป็นถ้วย ซึ่งมันร้อนๆ นั่งกินรับลมเย็นๆ บนเนินของ Haneul park บรรยากาศมันสุดชิวจริงๆ คะ
ทานเสร็จเราก็จะเดินทางไปยังสสถานที่ต่อไป แต่เมื่อนึกถึงขากลับก็ แฮ่ๆ แอบเหนี่อยกว่าจะถึงสถานีรถไฟ
2.Seoullo 7017 นั่งรถไฟมาลงที่สถานี seoul station ทางออก2 เดินเลี้ยวขวาไปหน่อย ทางขึ้นอยู่ทางขวามือ เป็นสถานที่ที่พึ่งเปิดให้นักท่องเทียวได้มาเยี่ยมชม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เป็นทางเดินเหมือนสะพานลอยที่เป็น walk street ทางเดินเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ใจกลางเมือง
ก็จะมีต้นไม้สวยๆ มาปลูกให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ มาถ่ายเอาไว้เก็บเป็นที่ระลึก
3.ไปกันต่อที่ Hongik University ลงที่สถานี Hongik University station โดยใช้รถไฟสาย Airport line ออกมาจากสถานีก็จะเห็นเหล่านักศึกษาทั้งชายหญิงเดินกัน ให้ชุ่มชื่นหัวใจ (แฮ่ๆ นิดนึ่ง) เวลาที่มาถึงนั้นใกล้เที่ยงก็ต้องหาอะไรทานกันก่อน ก่อนมาได้เปิดหาร้านจาจังเมียนในตำนานที่เค้าว่าเด็ด เราก็ต้องตามหาให้เจอ แต่ว่าร้านนี้อยู่ชั้นใต้ดิน แต่หาไม่อยากเลย ชื่อร้านว่า ชองแฮลู
ราคาไม่แพง นักศึกษาเต็มร้านเลย
หลังจากนั้นเราก็มาถลุงกระเป๋าตังค์ของเรากันคะ ขอบอกว่าเสื้อผ้านั้นสวยๆ ทุกร้าน และราคาก็ไม่แพงนะ ถ้าเทียบว่าเอาชุดแบบนี้มาขายที่ได้ก็เกือบ 7-8 ร้อยแล้ว แต่ที่นี่ตีแล้วก็ 3 ร้อยกว่าเท่านั้นเอง
4. มหาลัยแถวนั้นยังไม่หมดคะ มหาวิทยาลัยต่อไปที่ต้องมาคือมหาวิทยาลับ Ewha University มหาวิทยาลัยหญิงล้วนของประเทศเกาหลีใต้ แต่พอออกมาจากสถานีแล้ว ฝนตกคะ ฝนตกอีกแล้ว!!! ปีที่แล้วมาฝนก็ตกไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับมหาวิทยาลัยนี้ แต่ฝนนั้นไม่อาจหยุดการเที่ยวของเราได้

เที่ยวสองมหาวิทยาลัยได้เสื่อผ้ากลับมาเต็มไม้เต็มมือ เป็นเวลาพอสมควรที่จะต้องกลับห้องเอาเจ้าสิ่งที่ซื้อมากลับไปโยนไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ไปหาอะไรรับประทาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่