นักเตะเหล่านี้เดินทางมาเเข่งคิงส์ คัพ ในขณะที่ตัวเองยังไม่มีชื่อเสียงและไม่เป็นที่รู้จักตามหน้าสื่อ … อย่างไรก็ตามหลังจากทัวร์นาเม้นต์จบลง พวกเขากลายเป็นนักเตะระดับท็อปของโลกจากจุดเริ่มต้นเล็กๆแห่งนี้
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (2010)
ย้อนกลับไปเมื่อ คิงส์ คัพ เมื่อปี 2010 ที่จังหวัดนครราชสีมา ดาวยิงเบอร์ท็อปของโลก ณ ปัจจุบันอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เดินทางมาร่วมวงไพบูลย์พร้อมกับทีมชาติโปแลนด์
เลวาฟดอสกี้ ในวัย 19 ปี ยังคงเป็นเพียงหอกดาวรุ่งโนเนมจากสโมสร เลซ พอชนัน เท่านั้น ซึ่ง "เลวาน" ยิงไป 2 ประตูและทัพโปแลนด์ก็คว้ารองแชมป์ในปีนั้น
หลังจากจบคิงส์ คัพ เพียง 5 เดือน ดอร์ทมุนด์ ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์ ก่อนที่ เลวานดอฟสกี้ จะใช่เวลาไม่นานเเย่งตำแหน่ง ลูคัส บาริออส ได้สำเร็จ และกลายเป็นหอกเบอร์ 1 ของเสือเหลืองพาทีมคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันได้ถึง 2 สมัย ซึ่งส่งผลให้เขาได้ย้ายมาอยู่กับทีมที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และขับฟอร์มการถล่มประตูได้สูกขึ่นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้เขายิงให้กับเสือใต้ไปแล้ว 142 ประตูจากการลงเล่น 184 นัด
... หากมีการย้ายทีมเกิดขึ้น ดูทรงเเล้วค่างวดของเขาคงไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์แน่นอน สำหรับตลาดซื้อขาย ณ ปัจจุบันนี้
2
คิม คัลสตรอม (2001)
คิม คัลสตรอม ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ของทีมชาติ สวีเดน ที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งยืนยันคือการได้ติดธงชุดใหญ่มากถึง 131 นัด
เกมแรกของเขาในนามทีมชาติเกิดขึ้นในปี 2001 ในเกมที่พบกับฟินแลนด์ ขณะที่เกมที่ 2 ของเขาเกิดขึ้นใน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 32 ในเเมตช์ที่สวีเดนพบกับทีมชาติไทย และเอาชนะไปได้ 4-1
ทัพไวกิ้งจบทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวด้วยการเป็นแชมป์ ขณะที่หลังจากนั้น คัลสตรอม ได้ขยับตัวเองไปเรื่อยๆจากทีมเล็กๆในลีกรองของประเทศอย่าง ฮัคเค่น สู่ทีมดังในบ้านเกิดอย่าง เยอร์กาเด้น และย้ายไปประสบความสำเร็จสุดๆในฝรั่งเศสกับ ลียง ที่คว้าแชมป์ลีก เอิง ได้ 2 สมัย กับแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีก 2 สมัยก่อนเขากลายเป็นนักกเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย
โยฮัน เอลมานเดอร์ (2003)
เป็นอีกครั้งที่ สวีเดน ยกพลมาเล่นในรายการคิงส์ คัพ ที่เมืองไทย และหนนี้พวกเขาคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 3 โดยมีกองหน้าดาวรุ่งชื่อว่า โยฮัน เอลมานเดอร์ ติดทีมมาด้วย
ณ ตอนนั้น เอลมานเดอร์ มีอายุ 21 ปีและยังลงเล่นให้ลีกบ้านเกิดกับ เยอร์กาเด้น ก่อนที่เขาจะมายิง 2 ประตูในเกมที่ สวีเดน เอาชนะ กาตาร์ 3-2 ในรอบแรก และยังบวกเพิ่มอีก 1 ประตูในเกมชนะไทย 4-1
หลังจากทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวจบลง เอลมานเดอร์ ย้ายไปอยู่กับ บรอนด์บี้ ก่อนเเจ้งเกิดกับ ตูลูส ในปี 2006 จนกระทั่งได้เล่นกับ โบลตัน และปิดท้ายด้วยการพากาลาตาซาราย คว้าแชมป์ตุรกีซูเปอร์ลีกอีก 2 สมัย ในปี 2012 และ 2013
คามิล กลิก (2010)
นอกจาก เลวานดอฟสกี้ ในวัยตั้งไข่ที่มาเล่นในคิงส์ คัพ ปี 2010 แล้ว ทีมชาติโปแลนด์ ยังหนีบเอา คามิล กลิก เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกัปตันทีมของ โมนาโก ชุดปัจจุบัน ในวัย 21 ปี (ขณะนั้น) ติดทีมมาด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปี ก่อน กลิก ยังเล่นให้กับทีม ปิอาสต์ กลิไวซ์ ทีมในลีกเล็กๆในบ้านเกิดอยู่เลย ก่อนที่ เขาจะยิง 1 ประตูในเกมชนะไทย 3-1 และจบทัวร์นาเม้นต์ด้วยการเป็นอันดับ 2 ในศึกคิงส์ คัพ ครั้งนั้น จากการแข่งขันแบบพบกันหมด
หลังจากศึกชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ 2010 จบลง กลิก ได้ย้ายไปเล่นกับ ปาแลร์โม่ ในเซเรีย อา แต่ก็ไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่หนเดียว จนถูกขายต่อให้กับ โตริโน่ ที่อยู่ในเซเรีย บี ด้วยค่าตัวเพียง 3 แสนยูโรเท่านั้น
การเล่นกับกระทิงหินเป็นช่วงเวลาแจ้งเกิดของเขาอย่างแท้จริง จนกระทั่งในปี 2016 กลิก ถูก โมนาโก ซื้อตัวด้วยราคาถึง 14 ล้านปอนด์ และกลายเป็น 1 ในนักเตะหัวใจสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ในฤดูกาล 2017 รวมถึงการเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย
ชูลิโอ เซซาร์ (1999)
อาจไม่มีใครได้เอะใจว่า ชูลิโอ เซซาร์ นายทวารที่ประสบความสำเร็จสูงสุดกับอินเตอร์ ในฤดูกาล 2009-10 ติดทีมชาติ บราซิล ชุด ยู 20 มาเเข่งขันในคิงส์ คัพ ปี 1999 ด้วย เพราะตอนนั้นเขาใช้ชื่อว่า ‘ชูลิโอ เอสปินโดล่า’ และยังเป็นเพียงโกลดาวรุ่งจากสโมสร ฟลาเมงโก้ เท่านั้น
หลังจาก คิงส์ คัพ 2002 จบลง เซซาร์ ก็ยึดมือ 1 ของ ฟลาเมงโก้ไปอีก 4 ปี จนได้ย้ายมาอยู่ในอิตาลีกับ อินเตอร์ มิลาน ในปี 2005 ด้วยค่าตัว 2.45 ล้านปอนด์ ซึ่งความสำเร็จของเขากับ “ทัพงูใหญ่” ก็เหมือนกับที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
ปัจจุบัน เซซาร์ ในวัย 38 ปี ย้ายไปเล่นให้กับ ฟลาเมงโก้ อีกครั้ง หลังจากอยู่กับ เบนฟิก้า 3 ฤดูกาล และพาทีมคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสได้ทั้งหมด
มันชินี่ (1999)
เป็นกรณีเดียวกับ เซซาร์ ที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น เพราะ มันชินี่ นั้นติดทัพบราซิลมาเตะคิงส์ คัพปี 1999 แบบไม่มีใครรู้จักมากมายนัก เพราะ ณ ตอนนั้นเขาเพิ่งขึ้นมาเล่นฟุตบอลระดับอาชีพให้กับ แอตเลติโก มิเนโร่ เพียงไม่ถึง 1 ปีเท่านั้น
มันชินี่นั้นย้ายมาหากินในแดนมะกะโรนีตั้งแต่ปี 2003 กับเวเนเซีย ก่อนโด่งดังสุดๆกับโรม่า โดยเฉพาะประตูที่เขาสับซ้ายสับขวาจนกองหลังของ ลียง หัวทิ่มในเกม เเชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีม เมื่อปี 2007
น่าเสียดายที่ฟอร์มระดับเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ของเขาเกิดขึ้นสั้นไปหน่อย เพราะนับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า ในปี 2008 มันชินี่ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนัก และปัจจุบันเจ้าตัวได้แขวนสตั๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
ปีเตอร์ ชไมเคิล
ในคิงส์ คัพ ปี 1988 เดนมาร์ก ขนเอานักเตะสายเลือดใหม่มาแข่งขัน คิงส์ คัพที่เมืองไทย และแข้งหลายรายจากทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวก็ได้กลายเป็นนักเตะตัวหลักในทีม โคนม ชุดคว้าแชมป์ ยูโร 1992 อีกด้วย
ปีเตอร์ ชไมเคิล คือ 1 ในนั้น ในช่วงปี 1988 เจ้าตัวยังเล่นให้กับ บอร์นบี้ ทีมในลีกบ้านเกิดอยู่เลย ก่อนที่ ยักษ์เดนส์ จะพาทีมคว้าแชมป์ คิงส์ คัพ ได้สำเร็จด้วยการพาทีมชนะ เอฟซี สวารอฟสกี
หลังจากนั้น ชไมเคิล ก็ย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 1991 ก่อนจะกล้ายเป็น 1 ในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมปีศาจเเดง โดยเฉพาะการคว้าทริปเปิลแชมป์ปี 1999 อย่างยิ่งใหญ่
ไบรอัน เลาดรูป (1988)
ขณะที่ ไมเคิล ผู้พี่โด่งดังกับ ยูเวนตุส ไปแล้วจึงไม่ได้ติดทีมชุดนี้มาเล่นในคิงส์ คัพ ด้วย ดังนั้นจึงเหลือแต่น้องชายอย่าง ไบรอัน เดินทางแข่งขัน คิงส์ คัพ ปี 1988 พร้อมๆกับทีมชาติเดนมาร์กชุดปรีโอลิมปิก ณ ตอนนั้นไบรอันผู้น้องนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มอาชีพค้าแข้งกับ บรอนด์บี้
ในคิงส์ คัพ ครั้งดังกล่าว ไบรอัน ยิงได้ 1 ประตูและพาทีมโคนมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะได้ย้ายไปเล่นในเยอรมันและพัฒนาตัวเองจนได้อยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ในอีก 2 ปีต่อมา รวมถึงการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรปี 1992 อีกด้วย
ไบรอัน ติดทีมชาติมากถึง 82 นัดยิงไป 21 ประตูและได้ร่วมลงเล่นในศึกฟุตบอลโลก 1998 อีกด้วย ก่อนที่ท้ายที่สุดในปี 2000 เขาจะแขวนสตั๊ดหลังจากลงเล่นให้กับ อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัมส์
โรนัลดินโญ่ (1999)
นักเตะที่พริ้วไหวที่ในโลกลูกหนังรายนี้เคยมาเล่นในคิงส์ คัพ ถึง 2 สมัย โดยครั้งแรกในปี 1999 เขามาในชื่อเดิมคือ โรนัลโด้ โมเรย์ร่า (ชื่อเต็ม : โรนัลโด เดอ แอสซิส โมเรย์ร่า) พร้อมทัพ แซมบ้า ชุดยู 20
เจ้าตัวก็แสดงให้เห็นทักษะที่เกินตัวเมื่อพาทัพแซมบ้าเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ด้วยผลงานชนะ 2 เสมอ 1 ก่อนกด 2 ตุงช่วยให้บราซิลชุดยู-20 ถล่มเกาหลีเหนือขาดลอย 7-1
หลังจากทัวร์นาเม้นต์คิงส์ คัพ จบลง โรนัลโด้ โมเรย์ร่า ก็ถูกเรียกในอีกชื่อว่า โรนัลดินโญ่ ก่อนที่เจ้าตัวกลายเป็นวันเดอร์คิดของบราซิลลงเล่นให้กับ เกรมิโอ 52 นัดนัดยิงไป 21 ประตู และติดทีมชาติชุดใหญ่ไปคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ในปีเดียวกันอีกด้วย
โรนัลดินโญ่ พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยจนมีโอกาสได้มาเล่น คิงส์ คัพ ปี 2000 อีกครั้ง หนนี้เขามาในชุดเดียวกับโคตรเเข้งอย่าง ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ เซ โรแบร์โต้ ก่อนที่ทัพแซมบ้าชุดนี้ถล่มไทยไปถึง 7-0 ซึ่งในเกมดังกล่าวเขายังยิงไปอีก 1 ประตูอีกด้วย
คงไม่ต้องบอกว่า...หลังจากนั้นเขายิ่งใหญ่แค่ไหนซินะ?
credit : www.fourfourtwo.com/th
ตอนนั้นยังตั้งไข่ : 9 ผู้เล่นโนเนมลุยศึกคิงส์ คัพ ก่อนกลายเป็นแข้งระดับโลกเวลาต่อมา
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (2010)
ย้อนกลับไปเมื่อ คิงส์ คัพ เมื่อปี 2010 ที่จังหวัดนครราชสีมา ดาวยิงเบอร์ท็อปของโลก ณ ปัจจุบันอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เดินทางมาร่วมวงไพบูลย์พร้อมกับทีมชาติโปแลนด์
เลวาฟดอสกี้ ในวัย 19 ปี ยังคงเป็นเพียงหอกดาวรุ่งโนเนมจากสโมสร เลซ พอชนัน เท่านั้น ซึ่ง "เลวาน" ยิงไป 2 ประตูและทัพโปแลนด์ก็คว้ารองแชมป์ในปีนั้น
หลังจากจบคิงส์ คัพ เพียง 5 เดือน ดอร์ทมุนด์ ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์ ก่อนที่ เลวานดอฟสกี้ จะใช่เวลาไม่นานเเย่งตำแหน่ง ลูคัส บาริออส ได้สำเร็จ และกลายเป็นหอกเบอร์ 1 ของเสือเหลืองพาทีมคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันได้ถึง 2 สมัย ซึ่งส่งผลให้เขาได้ย้ายมาอยู่กับทีมที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และขับฟอร์มการถล่มประตูได้สูกขึ่นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้เขายิงให้กับเสือใต้ไปแล้ว 142 ประตูจากการลงเล่น 184 นัด
... หากมีการย้ายทีมเกิดขึ้น ดูทรงเเล้วค่างวดของเขาคงไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์แน่นอน สำหรับตลาดซื้อขาย ณ ปัจจุบันนี้
2
คิม คัลสตรอม (2001)
คิม คัลสตรอม ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ของทีมชาติ สวีเดน ที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งยืนยันคือการได้ติดธงชุดใหญ่มากถึง 131 นัด
เกมแรกของเขาในนามทีมชาติเกิดขึ้นในปี 2001 ในเกมที่พบกับฟินแลนด์ ขณะที่เกมที่ 2 ของเขาเกิดขึ้นใน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 32 ในเเมตช์ที่สวีเดนพบกับทีมชาติไทย และเอาชนะไปได้ 4-1
ทัพไวกิ้งจบทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวด้วยการเป็นแชมป์ ขณะที่หลังจากนั้น คัลสตรอม ได้ขยับตัวเองไปเรื่อยๆจากทีมเล็กๆในลีกรองของประเทศอย่าง ฮัคเค่น สู่ทีมดังในบ้านเกิดอย่าง เยอร์กาเด้น และย้ายไปประสบความสำเร็จสุดๆในฝรั่งเศสกับ ลียง ที่คว้าแชมป์ลีก เอิง ได้ 2 สมัย กับแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีก 2 สมัยก่อนเขากลายเป็นนักกเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย
โยฮัน เอลมานเดอร์ (2003)
เป็นอีกครั้งที่ สวีเดน ยกพลมาเล่นในรายการคิงส์ คัพ ที่เมืองไทย และหนนี้พวกเขาคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 3 โดยมีกองหน้าดาวรุ่งชื่อว่า โยฮัน เอลมานเดอร์ ติดทีมมาด้วย
ณ ตอนนั้น เอลมานเดอร์ มีอายุ 21 ปีและยังลงเล่นให้ลีกบ้านเกิดกับ เยอร์กาเด้น ก่อนที่เขาจะมายิง 2 ประตูในเกมที่ สวีเดน เอาชนะ กาตาร์ 3-2 ในรอบแรก และยังบวกเพิ่มอีก 1 ประตูในเกมชนะไทย 4-1
หลังจากทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวจบลง เอลมานเดอร์ ย้ายไปอยู่กับ บรอนด์บี้ ก่อนเเจ้งเกิดกับ ตูลูส ในปี 2006 จนกระทั่งได้เล่นกับ โบลตัน และปิดท้ายด้วยการพากาลาตาซาราย คว้าแชมป์ตุรกีซูเปอร์ลีกอีก 2 สมัย ในปี 2012 และ 2013
คามิล กลิก (2010)
นอกจาก เลวานดอฟสกี้ ในวัยตั้งไข่ที่มาเล่นในคิงส์ คัพ ปี 2010 แล้ว ทีมชาติโปแลนด์ ยังหนีบเอา คามิล กลิก เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกัปตันทีมของ โมนาโก ชุดปัจจุบัน ในวัย 21 ปี (ขณะนั้น) ติดทีมมาด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปี ก่อน กลิก ยังเล่นให้กับทีม ปิอาสต์ กลิไวซ์ ทีมในลีกเล็กๆในบ้านเกิดอยู่เลย ก่อนที่ เขาจะยิง 1 ประตูในเกมชนะไทย 3-1 และจบทัวร์นาเม้นต์ด้วยการเป็นอันดับ 2 ในศึกคิงส์ คัพ ครั้งนั้น จากการแข่งขันแบบพบกันหมด
หลังจากศึกชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ 2010 จบลง กลิก ได้ย้ายไปเล่นกับ ปาแลร์โม่ ในเซเรีย อา แต่ก็ไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่หนเดียว จนถูกขายต่อให้กับ โตริโน่ ที่อยู่ในเซเรีย บี ด้วยค่าตัวเพียง 3 แสนยูโรเท่านั้น
การเล่นกับกระทิงหินเป็นช่วงเวลาแจ้งเกิดของเขาอย่างแท้จริง จนกระทั่งในปี 2016 กลิก ถูก โมนาโก ซื้อตัวด้วยราคาถึง 14 ล้านปอนด์ และกลายเป็น 1 ในนักเตะหัวใจสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ในฤดูกาล 2017 รวมถึงการเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย
ชูลิโอ เซซาร์ (1999)
อาจไม่มีใครได้เอะใจว่า ชูลิโอ เซซาร์ นายทวารที่ประสบความสำเร็จสูงสุดกับอินเตอร์ ในฤดูกาล 2009-10 ติดทีมชาติ บราซิล ชุด ยู 20 มาเเข่งขันในคิงส์ คัพ ปี 1999 ด้วย เพราะตอนนั้นเขาใช้ชื่อว่า ‘ชูลิโอ เอสปินโดล่า’ และยังเป็นเพียงโกลดาวรุ่งจากสโมสร ฟลาเมงโก้ เท่านั้น
หลังจาก คิงส์ คัพ 2002 จบลง เซซาร์ ก็ยึดมือ 1 ของ ฟลาเมงโก้ไปอีก 4 ปี จนได้ย้ายมาอยู่ในอิตาลีกับ อินเตอร์ มิลาน ในปี 2005 ด้วยค่าตัว 2.45 ล้านปอนด์ ซึ่งความสำเร็จของเขากับ “ทัพงูใหญ่” ก็เหมือนกับที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
ปัจจุบัน เซซาร์ ในวัย 38 ปี ย้ายไปเล่นให้กับ ฟลาเมงโก้ อีกครั้ง หลังจากอยู่กับ เบนฟิก้า 3 ฤดูกาล และพาทีมคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสได้ทั้งหมด
มันชินี่ (1999)
เป็นกรณีเดียวกับ เซซาร์ ที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น เพราะ มันชินี่ นั้นติดทัพบราซิลมาเตะคิงส์ คัพปี 1999 แบบไม่มีใครรู้จักมากมายนัก เพราะ ณ ตอนนั้นเขาเพิ่งขึ้นมาเล่นฟุตบอลระดับอาชีพให้กับ แอตเลติโก มิเนโร่ เพียงไม่ถึง 1 ปีเท่านั้น
มันชินี่นั้นย้ายมาหากินในแดนมะกะโรนีตั้งแต่ปี 2003 กับเวเนเซีย ก่อนโด่งดังสุดๆกับโรม่า โดยเฉพาะประตูที่เขาสับซ้ายสับขวาจนกองหลังของ ลียง หัวทิ่มในเกม เเชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีม เมื่อปี 2007
น่าเสียดายที่ฟอร์มระดับเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ของเขาเกิดขึ้นสั้นไปหน่อย เพราะนับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า ในปี 2008 มันชินี่ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนัก และปัจจุบันเจ้าตัวได้แขวนสตั๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
ปีเตอร์ ชไมเคิล
ในคิงส์ คัพ ปี 1988 เดนมาร์ก ขนเอานักเตะสายเลือดใหม่มาแข่งขัน คิงส์ คัพที่เมืองไทย และแข้งหลายรายจากทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวก็ได้กลายเป็นนักเตะตัวหลักในทีม โคนม ชุดคว้าแชมป์ ยูโร 1992 อีกด้วย
ปีเตอร์ ชไมเคิล คือ 1 ในนั้น ในช่วงปี 1988 เจ้าตัวยังเล่นให้กับ บอร์นบี้ ทีมในลีกบ้านเกิดอยู่เลย ก่อนที่ ยักษ์เดนส์ จะพาทีมคว้าแชมป์ คิงส์ คัพ ได้สำเร็จด้วยการพาทีมชนะ เอฟซี สวารอฟสกี
หลังจากนั้น ชไมเคิล ก็ย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 1991 ก่อนจะกล้ายเป็น 1 ในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมปีศาจเเดง โดยเฉพาะการคว้าทริปเปิลแชมป์ปี 1999 อย่างยิ่งใหญ่
ไบรอัน เลาดรูป (1988)
ขณะที่ ไมเคิล ผู้พี่โด่งดังกับ ยูเวนตุส ไปแล้วจึงไม่ได้ติดทีมชุดนี้มาเล่นในคิงส์ คัพ ด้วย ดังนั้นจึงเหลือแต่น้องชายอย่าง ไบรอัน เดินทางแข่งขัน คิงส์ คัพ ปี 1988 พร้อมๆกับทีมชาติเดนมาร์กชุดปรีโอลิมปิก ณ ตอนนั้นไบรอันผู้น้องนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มอาชีพค้าแข้งกับ บรอนด์บี้
ในคิงส์ คัพ ครั้งดังกล่าว ไบรอัน ยิงได้ 1 ประตูและพาทีมโคนมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะได้ย้ายไปเล่นในเยอรมันและพัฒนาตัวเองจนได้อยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ในอีก 2 ปีต่อมา รวมถึงการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรปี 1992 อีกด้วย
ไบรอัน ติดทีมชาติมากถึง 82 นัดยิงไป 21 ประตูและได้ร่วมลงเล่นในศึกฟุตบอลโลก 1998 อีกด้วย ก่อนที่ท้ายที่สุดในปี 2000 เขาจะแขวนสตั๊ดหลังจากลงเล่นให้กับ อาหยักซ์ อัมส์เตอร์ดัมส์
โรนัลดินโญ่ (1999)
นักเตะที่พริ้วไหวที่ในโลกลูกหนังรายนี้เคยมาเล่นในคิงส์ คัพ ถึง 2 สมัย โดยครั้งแรกในปี 1999 เขามาในชื่อเดิมคือ โรนัลโด้ โมเรย์ร่า (ชื่อเต็ม : โรนัลโด เดอ แอสซิส โมเรย์ร่า) พร้อมทัพ แซมบ้า ชุดยู 20
เจ้าตัวก็แสดงให้เห็นทักษะที่เกินตัวเมื่อพาทัพแซมบ้าเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ด้วยผลงานชนะ 2 เสมอ 1 ก่อนกด 2 ตุงช่วยให้บราซิลชุดยู-20 ถล่มเกาหลีเหนือขาดลอย 7-1
หลังจากทัวร์นาเม้นต์คิงส์ คัพ จบลง โรนัลโด้ โมเรย์ร่า ก็ถูกเรียกในอีกชื่อว่า โรนัลดินโญ่ ก่อนที่เจ้าตัวกลายเป็นวันเดอร์คิดของบราซิลลงเล่นให้กับ เกรมิโอ 52 นัดนัดยิงไป 21 ประตู และติดทีมชาติชุดใหญ่ไปคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ในปีเดียวกันอีกด้วย
โรนัลดินโญ่ พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยจนมีโอกาสได้มาเล่น คิงส์ คัพ ปี 2000 อีกครั้ง หนนี้เขามาในชุดเดียวกับโคตรเเข้งอย่าง ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ เซ โรแบร์โต้ ก่อนที่ทัพแซมบ้าชุดนี้ถล่มไทยไปถึง 7-0 ซึ่งในเกมดังกล่าวเขายังยิงไปอีก 1 ประตูอีกด้วย
คงไม่ต้องบอกว่า...หลังจากนั้นเขายิ่งใหญ่แค่ไหนซินะ?
credit : www.fourfourtwo.com/th