ตามรอยละครบุพเพสันนิวาส ... ที่หอสมุดแห่งชาติ





ดังไม่หยุด ฉุดกันไม่อยู่จริงๆ กับกระแสความดังของละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องบุพเพสันนิวาส   ที่ออเจ้าทั้งหลายกำลังนิยมกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง  ไม่ว่าสาวน้อยสาวใหญ่ก็เฝ้าหน้าจออยู่ไม่ห่าง ต่างก็ขำไปกับลีลากวนๆ ชวนหัวของนางเอก และแก้มแดงตาลอยไปพร้อมกันเมื่อพระเอกโผล่เข้ามาในจอ  ซึ่งละครเรื่องบุเพสันนิวาสนี้กลายเป็นปรากฎการณ์ที่ดึงความสนใจของผู้คนทั่วไป  ให้หันกลับมาสนใจประวัติศาสตร์ของชาติไทยกันมากขึ้น

คุณรอมแพงผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้ได้ให้สัมภาษณ์กับหลายๆ สื่อว่า ตัวเขาใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานถึง 3 ปีกว่าจะเขียนเรื่องบุเพสันนิวาสได้   โดยการหาข้อมูลนั้นหาจากหนังสือโบราณและเอกสารโบราณที่หอสมุดแห่งชาติเป็นหลัก  ดังนั้นทางหอสมุดแห่งชาติจึงขอเกาะกระแสจัดงาน “ตามรอยละครบุพเพสันนิวาส” ขึ้นมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 ที่ห้องวชิรญาณ อาคาร 2 ชั้น 1  หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี  โดยมีทั้งการพูดคุยกับคุณรอมแพงและนิทรรศการตามรอยบุพเพสันนิวาสด้วย




นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวเปิดงาน




สำหรับการพูดคุยกับคุณรอมแพงมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้




-ถ้าถามว่าเป็นอย่างไรบ้างกับกระแสของละครบุพเพสันนิวาส  คุณรอมแพงเคยคาดคิดมาก่อนไหมว่ามันจะเกิดเป็นปรากฎการณ์ขณะนี้? คุณรอมแพงตอบว่าตอนที่เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แค่เขียนอย่างที่อยากเขียน  แต่พอเขียนจบแล้วมีคนชอบ  มีคนตอบรับ นวนิยายเรื่องนี้ก็เลยได้พิมพ์เยอะ ได้มีพิมพ์เพิ่มทุกปี  ปีละประมาณ 2-3 ครั้ง

-อย่างล่าสุดเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 83 คือแต่ละครั้งจะพิมพ์ประมาณ 1,000 – 1,500 เล่มมาตลอด  แต่พิมพ์ครั้งแรก 5,000 เล่ม  จนมาถึงตอนนี้ก็คิดว่ามีที่พิมพ์ออกไปแล้วสักประมาณ 90,000 เล่มได้

-ชื่อนามปากกาว่า “รอมแพง”  เป็นชื่อของนางเอกในนวนิยายเรื่อง “เวียงกุมกาม”  ของคุณทมยันตรี  เคยได้โอกาสได้เจอคุณทมยันตรีและได้ขออนุญาตใช้ชื่อรอมแพงเป็นชื่อนามปากกาแล้ว

-ก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักเขียนนั้น  คุณรอมแพงทำมาหลายอาชีพมาก  เท่าที่นับดูประมาณ 11 อาชีพได้  ซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายเอามาใช้ในงานเขียน

-สมัยเมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว  คุณรอมแพงได้เล่นเกมมังกรหยกออนไลน์  ที่เป็นเกมสำหรับ PC มีแซท  จึงทำให้มีโอกาสได้คุยกับคนที่อยู่ในเกม  โดยใช้วาจาที่จิกกัด โดยมีสำนวนที่เสียดสี ทำให้เริ่มมีแฟนคลับติดตามตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

-สำหรับแรงบันดาลใจจากการแต่งนวนิยายเรื่องบุพเพสันนิวาสนี้  มาจากตอนที่เริ่มเป็นนักเขียนก็อยากจะเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์  เพราะว่าเราเรียนจบมาทางด้านนี้ (คุณรอมแพง จบจากคณะโบราณคดี  มหาวิทยาลัยศิลปากร) แต่เราอยากจะเขียนให้เป็นเรื่องรักโรแมนติคคอมเมอร์ดี้  เป็นรักแบบกุ๊กกิ๊กๆ และอยากใส่มุกขำๆ ลงไปในนิยายด้วย

-ตอนที่อยากเขียนก็เริ่มหาว่าจะเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในยุคไหนดี  จึงเริ่มหาข้อมูล  โดยมาหาข้อมูลที่หอสมุดแห่งชาติ  และห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากรที่วังท่าพระ

-ตอนแรกคิดอยากจะเขียนเป็นยุคสมัยรัชกาลที่ 5 แต่เราตั้งใจจะให้นางเอกของเรารั่วมาก ออกแนวขำๆ หน่อย  เราก็คิดว่าถ้าเราเขียนอะไรที่มันใกล้กับปัจจุบันเกินไปมันคงไม่ดีแน่  เพราะว่าลูกหลานของเขายังอยู่  เราจะเล่นพลิกแพลงอะไรได้ไม่เต็มที่นัก

-พอคิดว่าจะเขียนในยุคที่เสียกรุงฯ ก็ไม่น่าจะเขียนได้  เพราะว่ามันจะกลายเป็นโศกนาฎกรรมมากกว่า  เรารู้ดีว่าตอนนั้นมันโศรกเศร้ามาก  แล้วเราเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องเศร้าๆ ด้วยจึงไม่ได้เลือกเขียนในยุคนี้

-จึงสรุปได้ว่าเขียนถึงยุคในสมเด็จพระนาราษณ์มหาราชน่าจะดีกว่า  เพราะในยุคนั้นมีความรุ่งเรืองมาก มีความเจริญมากมายเนื่องจากมีชาวตะวันตกเข้ามาแล้ว  เป็นยุคที่บ้านเมืองมีสีสันมาก จึงตัดสินใจเขียนโดยใช้ยุคที่ใกล้จะถึงการสวรรคตของสมเด็จพระนาราษณ์มหาราช

-ช่วงที่หาข้อมูลเกี่ยวกับยุคสมัยนั้น  พอเราเจอข้อมูลอะไรที่น่าสนใจเราก็จะพยายามเอาใส่เข้าไปในนิยายของเราด้วย เช่นไปอ่านเจอเรื่องราวที่พราหมณ์มีวิชาอาคม ,  เรื่องชีปะขาว , เอาตำนานศรีปราชญ์มาใส่ไว้ด้วย ฯลฯ

-ตัวพระเอกในเรื่องเราจับเอาคนที่มีตัวตนจริงๆ ประวัติศาสตร์มาเขียน  โดยคนนี้มีรายละเอียดไม่มากไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร  จึงเป็นการง่ายที่เราจะจับเอามาผูกเป็นเรื่อง

-หาข้อมูลสำหรับเขียนเรื่องบุพเพสันนิวาสอยู่ประมาณ 3 ปี  โดยในช่วงแรกต้องเข้ามาอ่านเอกสารโบราณที่หอสมุดแห่งชาติเกือบทุกวัน  ต้องไปดูสถานที่จริงที่อยุธยาด้วย  ไปหาข้อมูลในพิพิธภัณฑ์ที่อยุธยา นั่งเรือรอบเกาะอยุธยาเพื่อคิดสร้างเรื่องว่าบ้านใครควรจะอยู่ตรงไหน ตลาดจะอยู่ตรงไนอย่างไร เพื่อความสมจริงของเรื่องโดยใช้แผนที่อยุธยาโบราณเป็นหลัก

-ถามว่าทำไมถึงอยากเขียนเรื่องราวย้อนยุค?  คงเป็นเพราะคิดว่าถ้าตัวเราเองย้อนยุคไปได้  เราจะย้อนไปยุคไหน?  และเราจะไปทำอะไรบ้าง?  เราจึงเขียนเรื่องโดยสร้างให้ตัวนางเอกเป็นผู้ที่ย้อนยุคไปแทนเรา  ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นตัวเราเองที่อยากจะย้อนยุคไป

-ต้องคิดถึงรายละเอียดของเรื่องด้วย   เช่นถ้าเขียนถึงเรื่องของกิน  เราต้องไปหาข้อมูลว่าในสมัยนั้น พริกมีหรือยัง? น้ำปลามีไหม? คนเขากินอะไรกันบ้าง?  คิดไปถึงว่าถ้าเป็นผู้หญิงที่มีรอบเดือน  สมัยนั้นมีผ้าอนามัยหรือยัง?  แล้วเขาใช้อะไรกัน?

.-ส่วนเรื่องการพูดของตัวละครจะใช้ข้อมูลจากจดหมายเหตุลาลูแบร์เป็นหลัก ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งการพูดจาของคน , การอยู่กินของคน , การใช้ชีวิตของคนในยุคนั้น ฯลฯ  แล้วก็เอาวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมาเปรียบเทียบกับรายละเอียดในเรื่องของเราด้วย

-อย่างชื่อของคุณหญิงนิ่ม  ตอนที่เขียนยังหาข้อมูลไม่เจอว่าภรรยาของโกษาธิบดี (เหล็ก) ชื่อว่าอะไร? ตอนเขียนเลยใช้ชื่อนิ่มไปก่อน  แต่พอเขียนไปสักพักมีคนหาข้อมูลมาให้บอกว่าชื่อนิ่ม  ซึ่งตรงกับที่เราใช้พอดีเลย

-ชื่อนางเอก  การะเกด  มีคนถามว่าเอามาจากเนื้อร้องเพลงกล่อมเด็กใช่ไหม?  ที่เนื้อเพลงบอกว่าเจ้ากระเกดทะเลาะกับฝรั่งในตลาด

-ตอนที่ไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยุธยาไปเจอเครื่องกรองน้ำในสมัยโบราณ  เลยเอามาใช้ใส่ไว้ในละครด้วย

-ตอนที่จะเริ่มเขียนต้องวางพล็อตคร่าวๆ ไว้ก่อน  แล้วจึงหาว่าจะเขียนในยุคสมัยไหนดี  พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเขียนในยุคไหนก็ต้องทำพล็อตที่ละเอียดขึ้นมาก่อน  จึงจะเขียนได้

-การที่เราหาข้อมูลมานั้น  เราต้องอ่านและเอามาย่อยในหัวของเราก่อน  โดยพยายามเขียนให้เป็นกลางมากที่สุด  สร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละครไว้ก่อนเลย  ว่าตัวละครตัวไหนชอบอะไร  ไม่ชอบอะไร พยายามทำตัวละครในเรื่องให้กลมที่สุด  สร้างตัวละครให้เหมือนคนจริงๆ มากที่สุด

-พอเราสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละครชัดเจนทุกตัวแล้ว  จะทำให้การเขียนของเราลื่นไหลมากขึ้น





-ในเรื่องบุพเพสันนิวาส  คุณรอมแพงเขียนโดยให้ตัวนางเอกมองประวัติศาสตร์ผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้น  โดยพยายามจะแทรกจินตนาการเพิ่มเติมเข้าไปในประวัติศาสตร์  ซึ่งมันจะยากในระดับหนึ่ง

-มีตัวละครแค่ 3-4 ตัว ที่ไม่มีตัวตนจริงๆ ในประวัติศาสตร์  คือตัวนางเอก (การะเกด) , ขุนเรือง , แม่หญิงจันทร์วาด , แม่หญิงจำปา

-เวลาที่เขียนเรื่องเราต้องให้ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง   เพื่อความสมจริงเราจึงต้องเอาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มาผสมกับจินตนาการของเรา  ทำให้กลายเป็นเรื่องบุพเพสันนิวาสขึ้นมาได้

-ตอนที่เขียนพยายามทำให้เป็นกลางมากที่สุด พยายามเอาทุกกระแส (ข้อมูลทางประวัติศาสตร์) ที่เราหาได้มาใส่ไว้ในนิยายให้มากที่สุด  โดยมีพล็อตมาคลุมไว้  ซึ่งอาจจะทำให้คนอ่านอ่านแล้วต้องคิดต่อเองว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร? ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการทำให้คนอ่านกลับมาสนใจประวัติศาสตร์ชาติไทยกันมากขึ้น

-อาจารย์ศัลยาผู้เขียนบทก็ต้องหาข้อมูลประกอบการเขียนเช่นเดียวกันกับเรา อาจารย์ศัลยาหาข้อมูลนานกว่า 2 ปี จึงจะเขียนบทละครเรื่องนี้ได้

-ตอนที่เราเขียน  เราไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เลย  ความตั้งใจของเราคือการเล่าประวัติศาสตร์ที่มีอยู่แล้วให้สนุก  ให้มีความน่าสนใจ  โดยย่อยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้ผู้อ่านอ่านได้ง่ายขึ้น

-สำหรับเรื่องที่จะเขียนในภาคที่ 2 นั้น จะเขียนถึงยุคปลายสมัยสมเด็จพระเพทราชา เลยไปถึงยุคพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ  จะพูดถึงเรื่องการค้าของอยุธยาในสมัยนั้น  หลังจากที่กองทหารฝรั่งออกไปจากอยุธยาแล้ว  ซึ่งอยุธยาในตอนนั้นจะเริ่มทำการค้าขายกับจีนมากขึ้น  หาข้อมูลมาเจอว่าในยุคสมัยพระเจ้าท้ายสระไทยมีการขายข้าวให้จีนเยอะมาก

-ในภาค 2 จะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์เหมือนเดิม  โดยจะเล่าเรื่องตามทามไลน์  ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง   แต่จะอัพเดทชีวิตของตัวละครการะเกดหลังจากที่ตัวเขาย้อนยุคไป  ซึ่งการเขียนในภาค 2 นี้ต้องมาหาข้อมูลเพิ่มเติมที่หอสมุดแห่งชาติแน่ๆ

-เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาหาข้อมูลที่หอสมุดแห่งชาติเพื่อเอาไปเขียนเรื่องบุเพสันนิวาส  ปรากฎว่าเอกสารเก่า เอกสารโบราณเราไม่สามารถแตะต้องได้เลย  แต่เมื่อ 5 ปีที่แล้วมาหาข้อมูลที่หอสมุดแห่งชาติเพื่อเอาไปเขียนเรื่อง “มณีรัตนะ”  ปรากฎว่าเริ่มแตะต้องเอกสารโบราณได้มากขึ้น  ถ่ายเอกสารได้แล้ว  โดยต้องซีร็อกจดหมายเหตุบางกอกรีคอเดอร์  ที่เขียนเป็นภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เอากลับไปอ่านที่บ้าน

-แต่ ณ ปัจจุบันนี้ทางหอสมุดแห่งชาติอนุญาตให้ถ่ายรูปเอกสารโบราณต่างๆ ได้แล้ว  และถ่ายซีร็อกหนังสือ โบราณต่างๆ ได้เช่นกัน  เพียงแค่กรอกข้อมูลในเอกสารคำขอฯ นิดหน่อยเอง

-ในการอ่านนิยายต่างๆ คุณรอมแพงแนะนำว่าเมื่ออ่านไปแล้ว  ควรจะคิดตามไปด้วยว่าเรื่องราวมันเป็นจริงตามที่นิยายเขียนไว้หรือไม่? จะทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นจากการอ่านนิยายด้วย

-ส่วนประเภทของนวนิยายต่างๆ นั้น  ถือว่าเป็นความหลากหลายของคนเขียน  แต่การที่จะเขียนเรื่องอะไรขึ้นมาสักเรื่อง  คนเขียนต้องดูความต้องการของคนอ่านด้วยว่าอยากอ่านเรื่องในแนวนั้นหรือไม่?  ซึ่งนักเขียนจะเขียนเรื่องราวอย่างไรก็ได้ แต่ต้องมีเหตุผลรองรับการกระทำต่างๆ ของตัวละครในเรื่องด้วย

-ไม่เคยคิดว่างานเขียนในแนวของตัวเอง (แนวพีเรียดย้อนยุค) จะสูงส่งกว่าของคนอื่น  แต่คิดเสมอว่าเราจะเขียนอย่างไรให้คนอ่านจ่ายเงินซื้อหนังสือเราแล้วเขาคุ้มค่ามากที่สุดมากกว่า








แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่