สวัสดีครับพี่ ป้า น้า อา แห่งห้องคนบ้ามือหมุนที่เคารพทุกๆท่าน
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาปัจจุบัน ห้องมือหมุนแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็น
“บ้านร้าง” บนโลกออนไลน์ไปอย่างสมบูรณ์
จำนวนสมาชิกที่เคยแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ ได้ลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย
คล้ายกับบรรดา
“กองหนุน” ของใครบางคนบนดินแดนขวานทองแห่งนี้
ที่ใครหลายคนลงความเห็นว่ามีจำนวน
“ลดลง” อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
HA HA HA!!!
อย่างไรก็ตามผมขออาสาขยับกระทู้เพื่อให้ห้องแห่งนี้ได้คลายความวังเวงลงบ้างสักหนึ่งกระทู้ก็แล้วกัน
ส่วนจะมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมหรือติดตามมากหรือน้อยมันไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ
ปลายเดือนที่แล้วมีโอกาสไปทำธุระสองสามวันแถวๆเมือง
“พัทยา” ครับพี่น้อง
หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้อง
“แอบหนีเที่ยว” ที่
“เกาะล้าน” ให้จงได้
เพราะหลังจากที่เดินทางมาที่แห่งนี้พร้อมกับครอบครัวเมื่อสองสามปีก่อนนั้น
ครั้งนั้นติดเลนส์ที่ยาวที่สุดมาคือเจ้า
Jupiter-21M 4/200
ซึ่งเมื่อมาเจอสถานการณ์ที่เกาะล้านนั้น พบว่ามันกลายเป็นเลนส์เทเลขนาดสั้นไปในทันทีทันใดครับ
ครั้งนี้จึงวางแผนใหม่ เป็นแผนการณ์ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
นั่นก็คือไปเกาะล้านด้วยเลนส์
“เพียงตัวเดียว”
และที่สำคัญคือไม่ใช่เลนส์วายด์แองเกิ้ล
ไม่ใช่นอมอลเลนส์ และไม่ใช่เทเลสั้นๆ
แต่เป็นเลนส์กระจก ระยะ 550mm
(สมัยผมยังเป็นวัยรุ่น คนส่วนใหญ่จะเรียกมันว่าเลนส์รีเฟลกซ์ครับ)
ซึ่งรีเฟลกซ์เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์ที่ผมมักจะหนีบมันไปด้วยเสมอๆเวลาไปเที่ยวทะเลครับ
HA HA HA!!!
มันคือรีเฟลกซ์จากรัสเซียนามว่า
MTO-500A 8.5/550
เลนส์ขนาดเท่าลูกมะพร้าว พิกัดน้ำหนักเกือบสองกิโลกรัม
ผมหวังผลอะไรจากเลนส์ขนาดมหึมาตัวนี้ ขอเชิญรับชมด้วยใจระทึก
เกาะล้านวันนี้กลายสภาพเป็น
“สวนจตุจักรบนหาดทราย” ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ฝรั่ง แขก หัวเหลือง หัวดำ เดินกันขวักไขว่
แต่ที่มากันมากที่สุด ราวกับเป็นดินแดนในอาณานิคมของพวกเขาเอง ก็คือกลุ่มนักท่องเที่ยวลูกหลานของเติ้ง เสี่ยว ผิง
มากันเป็นกลุ่มใหญ่นับสิบกลุ่ม ส่งเสียงเอะอะโวยวายแข่งกับเสียงสายลมร้อนแบบไม่คิดจะเกรงใจใครไปทั่วหาดทราย
ผู้ใหญ่หลายคนในดินแดนสยามเมืองยิ้มเคยหล่นความเห็นเอาไว้ว่า
นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนหลายล้านคนในแต่ละปี
จะเข้ามาช่วยโอบอุ้มระบบเศรษฐกิจของชาติ ให้มีความศิวิไลซ์ ประเทศชาติจะได้เม็ดเงินมหาศาลเพื่อไปจ่ายหนี้
ประชาชนโดยเฉพาะในท้องถิ่นจะอยู่ดีกินดี มีรายได้ เด็กๆมีอาชีพเสริม ผู้ใหญ่มีงานทำ ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริงมัน
“อาจ” ไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นได้
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่นั่น
พบว่านักท่องเที่ยวไม่ค่อยจับจ่ายใช้เงินเหมือนสมัยก่อน
ยุคสมัยนี้นักท่องเที่ยวจากแดนมังกรเดินทางเข้ามามากกว่ายุคก่อนอย่างเห็นได้ชัดก็จริงอยู่
แต่รายได้จากการค้าขายกลับมีแนวโน้ม
“ลดลดง” อย่างมีนัยสำคัญ
แม่ค้าท่านหนึ่งบอกผมว่าแต่ก่อนค้าขายของที่ระลึกได้เงินวันละห้าถึงหกพันบาท
แต่วันนี้ถ้าได้ห้าร้อยบาทก็แทบจะปิดเกาะเลี้ยงฉลองกันแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ!!!
บรรดาผู้ประกอบการร้านอาหารก็หล่นทรรศนะอย่างน่าขบคิดเอาไว้ว่า
กลุ่มทัวร์จีนแต่ละกลุ่มจะเดินทางเข้ามาเล่นน้ำเพียงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
จากนั้นก็จะรีบลงเรือกลับทันที ไม่ซื้ออาหาร ไม่ซื้อน้ำดื่ม เพราะพวกเขามีอาหารกล่องแจกให้บนเรืออยู่แล้ว
แต่ที่พ่อค้าแม่ขายที่ขายอาหารยังคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ ก็มาจาก
“ดอลลาร์” จากนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตก
ซึ่งเป็นพวก
“แบ๊คแพ็ค” ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงท่องเที่ยวต่างดูถูกดูแคลนนั่นแหละครับ
ซึ่งสถานการณ์เช่นที่เกาะล้านแห่งนี้ก็มีความคล้ายคลึงกับแหล่งท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งบนแผ่นดินสยามแห่งนี้
เชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง หัวหิน ฯลฯ เป็นตัวอย่าง
ผมเคยนั่งคุยกับรุ่นน้องสองสามีภรรยาที่เป็นเภสัชกร ซึ่งมาเปิดกิจการร้านขายยาแผนปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี
อยู่ใกล้ๆกับสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่นแหละครับ
มันบอกว่าในบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นมี
“เกสต์เฮาส์” ของชาวบ้านซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
นักท่องเที่ยวที่มาพักส่วนใหญ่ก็จะเป็นสไตล์
“แบ็คแพ๊ค” จากซีกโลกตะวันตก
พวกนี้จะชอบอยู่เกสต์เฮาสท์ ชอบกินอาหารท้องถิ่น ประเภทร้านอาหารข้างทาง ก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไทย
เวลาเดินทางก็จะใช้บริการของรถสาธารณะในท้องถิ่น สองแถวบ้าง ตุ๊กตุ๊กบ้าง เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เองบ้าง
ตกเย็นก็จะนั่ง
“ดริงค์” กันที่ผับเล็กๆใกล้ที่พัก สิงห์ ลีโอ ช้าง ว่ากันตามสะดวก
พวกนี้แหละครับที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจระดับฐานรากเกิดการหมุนเวียน
คนท้องถิ่นมีรายได้ มีงานทำ และมีเงินมาจ่ายภาษี ฯลฯ
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรุ๊ปทัวร์จีนขนาดใหญ่ที่ผลประโยชน์มันไม่ตกสู่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรตัวจริง
แต่ไปตกอยู่กับ
“บรรดานายทุน” เจ้าของบริษัททัวร์ เจ้าของโรงแรม
เจ้าของบริษัทรถทัวร์ให้เช่า เจ้าของร้านอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้
และอาจรวมไปถึงเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีอีกด้วยก็เป็นได้!!!
ประชาชนคนเดินดินแทบไม่ได้
“อะไร” จากการมาของนักท่องเที่ยวเหล่านี้
สามีของรุ่นน้องอีกคนหนึ่ง ซึ่งมันเคยทำงานในบริษัทของจีน
มันบอกว่าเมื่อก่อนคนไทยก็นิยมการเรียนภาษาจีน เพราะจะได้เข้าทำงานในบริษัทของคนจีนที่อยู่ในประเทศไทย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทจีนเหล่านั้นเขาเปลี่ยนนโยบายใหม่ครับ
คือเขาไม่รับ
“คนไทยที่พูดภาษาจีนได้” อีกต่อไป
แต่เขาเลือกที่จะจ้าง
“คนจีนที่พูดภาษาไทยได้” ให้เข้าทำงานแทน
เจ็บปวดกันไหมครับ???
ผมไม่รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หรืออานิสงฆ์จากธุรกิจการท่องเที่ยวกันแน่
เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ พบว่าชาวบ้านรากหญ้าโดยส่วนใหญ่เสมือนกำลังทำงานเพื่อรอวัน
“ตาย” เพียงเท่านั้น
จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเองครับ!!!
...............
...............
ทั้งนี้ผมไม่ได้
“ตำหนิ” นักท่องเที่ยวจีนเหล่านั้นนะครับ เพราะผมเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
แต่ผมตำหนิ
“กลุ่มบุคคล” ที่อยู่เบื้องหลัง
“วงจร” เหล่านี้
วงจรที่ไม่สร้างสรรค์ให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้โปรดกรุณา
“ปรับทัศนคติ” ของตนเองด้วยนะครับ
“คิดช้า…ยังดีกว่าคิดไม่เป็นครับ!!!”
...............
...............
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เดินทางด้วยสติเสมอครับ
สวัสดี!!!
MTO-500A @ เกาะล้าน…ความสวยงาม แฝงความเจ็บปวด!!!
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาปัจจุบัน ห้องมือหมุนแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็น “บ้านร้าง” บนโลกออนไลน์ไปอย่างสมบูรณ์
จำนวนสมาชิกที่เคยแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ ได้ลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย
คล้ายกับบรรดา “กองหนุน” ของใครบางคนบนดินแดนขวานทองแห่งนี้
ที่ใครหลายคนลงความเห็นว่ามีจำนวน “ลดลง” อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน HA HA HA!!!
อย่างไรก็ตามผมขออาสาขยับกระทู้เพื่อให้ห้องแห่งนี้ได้คลายความวังเวงลงบ้างสักหนึ่งกระทู้ก็แล้วกัน
ส่วนจะมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมหรือติดตามมากหรือน้อยมันไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ
ปลายเดือนที่แล้วมีโอกาสไปทำธุระสองสามวันแถวๆเมือง “พัทยา” ครับพี่น้อง
หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้อง “แอบหนีเที่ยว” ที่ “เกาะล้าน” ให้จงได้
เพราะหลังจากที่เดินทางมาที่แห่งนี้พร้อมกับครอบครัวเมื่อสองสามปีก่อนนั้น
ครั้งนั้นติดเลนส์ที่ยาวที่สุดมาคือเจ้า Jupiter-21M 4/200
ซึ่งเมื่อมาเจอสถานการณ์ที่เกาะล้านนั้น พบว่ามันกลายเป็นเลนส์เทเลขนาดสั้นไปในทันทีทันใดครับ
ครั้งนี้จึงวางแผนใหม่ เป็นแผนการณ์ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
นั่นก็คือไปเกาะล้านด้วยเลนส์ “เพียงตัวเดียว”
และที่สำคัญคือไม่ใช่เลนส์วายด์แองเกิ้ล
ไม่ใช่นอมอลเลนส์ และไม่ใช่เทเลสั้นๆ
แต่เป็นเลนส์กระจก ระยะ 550mm (สมัยผมยังเป็นวัยรุ่น คนส่วนใหญ่จะเรียกมันว่าเลนส์รีเฟลกซ์ครับ)
ซึ่งรีเฟลกซ์เลนส์ตัวนี้เป็นเลนส์ที่ผมมักจะหนีบมันไปด้วยเสมอๆเวลาไปเที่ยวทะเลครับ HA HA HA!!!
มันคือรีเฟลกซ์จากรัสเซียนามว่า MTO-500A 8.5/550
เลนส์ขนาดเท่าลูกมะพร้าว พิกัดน้ำหนักเกือบสองกิโลกรัม
ผมหวังผลอะไรจากเลนส์ขนาดมหึมาตัวนี้ ขอเชิญรับชมด้วยใจระทึก
เกาะล้านวันนี้กลายสภาพเป็น “สวนจตุจักรบนหาดทราย” ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ฝรั่ง แขก หัวเหลือง หัวดำ เดินกันขวักไขว่
แต่ที่มากันมากที่สุด ราวกับเป็นดินแดนในอาณานิคมของพวกเขาเอง ก็คือกลุ่มนักท่องเที่ยวลูกหลานของเติ้ง เสี่ยว ผิง
มากันเป็นกลุ่มใหญ่นับสิบกลุ่ม ส่งเสียงเอะอะโวยวายแข่งกับเสียงสายลมร้อนแบบไม่คิดจะเกรงใจใครไปทั่วหาดทราย
ผู้ใหญ่หลายคนในดินแดนสยามเมืองยิ้มเคยหล่นความเห็นเอาไว้ว่า
นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนหลายล้านคนในแต่ละปี
จะเข้ามาช่วยโอบอุ้มระบบเศรษฐกิจของชาติ ให้มีความศิวิไลซ์ ประเทศชาติจะได้เม็ดเงินมหาศาลเพื่อไปจ่ายหนี้
ประชาชนโดยเฉพาะในท้องถิ่นจะอยู่ดีกินดี มีรายได้ เด็กๆมีอาชีพเสริม ผู้ใหญ่มีงานทำ ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริงมัน “อาจ” ไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นได้
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่นั่น
พบว่านักท่องเที่ยวไม่ค่อยจับจ่ายใช้เงินเหมือนสมัยก่อน
ยุคสมัยนี้นักท่องเที่ยวจากแดนมังกรเดินทางเข้ามามากกว่ายุคก่อนอย่างเห็นได้ชัดก็จริงอยู่
แต่รายได้จากการค้าขายกลับมีแนวโน้ม “ลดลดง” อย่างมีนัยสำคัญ
แม่ค้าท่านหนึ่งบอกผมว่าแต่ก่อนค้าขายของที่ระลึกได้เงินวันละห้าถึงหกพันบาท
แต่วันนี้ถ้าได้ห้าร้อยบาทก็แทบจะปิดเกาะเลี้ยงฉลองกันแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ!!!
บรรดาผู้ประกอบการร้านอาหารก็หล่นทรรศนะอย่างน่าขบคิดเอาไว้ว่า
กลุ่มทัวร์จีนแต่ละกลุ่มจะเดินทางเข้ามาเล่นน้ำเพียงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
จากนั้นก็จะรีบลงเรือกลับทันที ไม่ซื้ออาหาร ไม่ซื้อน้ำดื่ม เพราะพวกเขามีอาหารกล่องแจกให้บนเรืออยู่แล้ว
แต่ที่พ่อค้าแม่ขายที่ขายอาหารยังคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ ก็มาจาก “ดอลลาร์” จากนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตก
ซึ่งเป็นพวก “แบ๊คแพ็ค” ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงท่องเที่ยวต่างดูถูกดูแคลนนั่นแหละครับ
ซึ่งสถานการณ์เช่นที่เกาะล้านแห่งนี้ก็มีความคล้ายคลึงกับแหล่งท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งบนแผ่นดินสยามแห่งนี้
เชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง หัวหิน ฯลฯ เป็นตัวอย่าง
ผมเคยนั่งคุยกับรุ่นน้องสองสามีภรรยาที่เป็นเภสัชกร ซึ่งมาเปิดกิจการร้านขายยาแผนปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี
อยู่ใกล้ๆกับสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่นแหละครับ
มันบอกว่าในบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นมี “เกสต์เฮาส์” ของชาวบ้านซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
นักท่องเที่ยวที่มาพักส่วนใหญ่ก็จะเป็นสไตล์ “แบ็คแพ๊ค” จากซีกโลกตะวันตก
พวกนี้จะชอบอยู่เกสต์เฮาสท์ ชอบกินอาหารท้องถิ่น ประเภทร้านอาหารข้างทาง ก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไทย
เวลาเดินทางก็จะใช้บริการของรถสาธารณะในท้องถิ่น สองแถวบ้าง ตุ๊กตุ๊กบ้าง เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เองบ้าง
ตกเย็นก็จะนั่ง “ดริงค์” กันที่ผับเล็กๆใกล้ที่พัก สิงห์ ลีโอ ช้าง ว่ากันตามสะดวก
พวกนี้แหละครับที่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจระดับฐานรากเกิดการหมุนเวียน
คนท้องถิ่นมีรายได้ มีงานทำ และมีเงินมาจ่ายภาษี ฯลฯ
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรุ๊ปทัวร์จีนขนาดใหญ่ที่ผลประโยชน์มันไม่ตกสู่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรตัวจริง
แต่ไปตกอยู่กับ “บรรดานายทุน” เจ้าของบริษัททัวร์ เจ้าของโรงแรม
เจ้าของบริษัทรถทัวร์ให้เช่า เจ้าของร้านอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้
และอาจรวมไปถึงเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีอีกด้วยก็เป็นได้!!!
ประชาชนคนเดินดินแทบไม่ได้ “อะไร” จากการมาของนักท่องเที่ยวเหล่านี้
สามีของรุ่นน้องอีกคนหนึ่ง ซึ่งมันเคยทำงานในบริษัทของจีน
มันบอกว่าเมื่อก่อนคนไทยก็นิยมการเรียนภาษาจีน เพราะจะได้เข้าทำงานในบริษัทของคนจีนที่อยู่ในประเทศไทย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทจีนเหล่านั้นเขาเปลี่ยนนโยบายใหม่ครับ
คือเขาไม่รับ “คนไทยที่พูดภาษาจีนได้” อีกต่อไป
แต่เขาเลือกที่จะจ้าง “คนจีนที่พูดภาษาไทยได้” ให้เข้าทำงานแทน
เจ็บปวดกันไหมครับ???
ผมไม่รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หรืออานิสงฆ์จากธุรกิจการท่องเที่ยวกันแน่
เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ พบว่าชาวบ้านรากหญ้าโดยส่วนใหญ่เสมือนกำลังทำงานเพื่อรอวัน “ตาย” เพียงเท่านั้น
จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเองครับ!!!
...............
...............
ทั้งนี้ผมไม่ได้ “ตำหนิ” นักท่องเที่ยวจีนเหล่านั้นนะครับ เพราะผมเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
แต่ผมตำหนิ “กลุ่มบุคคล” ที่อยู่เบื้องหลัง “วงจร” เหล่านี้
วงจรที่ไม่สร้างสรรค์ให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้โปรดกรุณา “ปรับทัศนคติ” ของตนเองด้วยนะครับ
“คิดช้า…ยังดีกว่าคิดไม่เป็นครับ!!!”
...............
...............
ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เดินทางด้วยสติเสมอครับ
สวัสดี!!!