คนรักหมาหลายๆคนมักมีความคิดอยู่แค่ว่าสงสารไม่อยากให้ฆ่า แต่ไม่เคยคิดว่าทำอย่างไรให้ปัญหามันหมดไปทำให้ประเทศมันดีขึ้นกว่าเดิม ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าผมเป็นคนนึงที่รักสุนัขทั้งเลี้ยงและก็ให้อาหารกับสุนัขจรจัดอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมกลับเห็นด้วยอย่างยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการกำจัดสุนัขจรจัดรวมถึงแมวจรจัด แต่มีเงื่อนไขคือต้องมีมาตราการทางกฏหมายออกมาควบคู่ไปด้วย(ย้ำว่าต้องมีเท่านั้น)เพื่อไม่ให้มีการเลี้ยงกันโดยง่ายและทิ้งขว้างกันได้อีกต่อไป ทีนี้มาดูกันว่าทำไมผมถึงเห็นด้วยหากต้องมีการฆ่าสัตว์เกิดขึ้น
- อย่างแรกเลยคือถ้าไม่ฆ่าก็ต้องมีการกักกันสุนัขและแมวจรจัดไปอยู่รวมกันที่ใดซักที่ในประเทศเพื่อไม่ให้มาปะปนเพ่นพ่านอีกต่อไปเพราะถ้าหากออกกฏหมายแล้วจะต้องสามารถแยกแยะสัตว์ที่ถูกละเลยปล่อยทิ้งออกมาโดยง่ายในทันที ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นภาระก้อนใหญ่สำหรับประเทศ
- อย่างที่สอง สิ่งที่เราจะได้รับหลังจากนี้มันสำคัญกว่าสิ่งที่เราจะเสียคือ ประเทศเราจะน่าอยู่มากขึ้นเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น,ควบคุมโรคติดต่อต่างๆง่ายขึ้น,ทำให้คนเลี้ยงสัตว์มีความรับผิดชอบมากขึ้นจากกฏหมายที่ออกมาควบคุม,สัตว์เลี้ยงใครหลุดออกมาหรือพลัดหลงสามารถตามหาได้โดยง่าย,สัตว์เลี้ยงที่พลัดหลงไม่ถูกทำร้ายจากหมาจรจัดซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์ไม่สามารถห้ามได้,จะมีน้องหมาน้องแมวที่โชคร้ายแค่กลุ่มสุดท้ายในประเทศนี้เพราะที่เกิดมาหลังจากนี้จะได้อยู่กับครอบครัวที่พร้อมและรักมันเท่านั้น,พื้นที่สาธารณะปลอดภัยมากขึ้น เราจะสามารถเดินหรือปั่นจักรยานได้ในทุกๆที่โดยไม่ต้องกังวลหรือหลบเลี่ยงสุนัขจรจัด อย่างที่ทราบกันดีสุนัขทุกตัวนิสัยไม่เหมือนกันและถึงแม้สุนัขบางตัวนิสัยเดิมจะไม่ดุร้ายแต่เมื่อสุนัขรวมอยู่เป็นกลุ่มเมื่อตัวใดตัวหนึ่งนำไม่ว่าจะเห่าหรือไล่กัดสุนัขตัวที่เหลือก็จะตามในทันที
***สุดท้ายแล้วเราต้องทบทวนว่าการสงสารของเรานั้นถูกต้องและสมเหตุสมผลจริงๆหรือ เพราะจะมีสุนัขและแมวที่โชคร้ายเกิดขึ้นต่อจากนี้แบบไม่มีสิ้นสุดทั้งๆที่เรามีทางเลือกสามารถหยุดวงจรนี้ได้แต่ไม่ทำ เราคิดแค่ว่าสงสารแต่เราเองก็ไม่พร้อมที่จะรับมาอุปะการะด้วยซ้ำได้แต่ผลักภาระให้คนอื่นหรือรัฐ เราควรโทษคนแก้ปัญหาว่าใจบาปหรือโทษคนที่ปล่อยพวกมันออกมาสร้างปัญหามากกว่ากัน ไม่ใช่ว่าต่างประเทศเค้าจิตใจโหดเหี้ยมหรอกนะที่เค้ามีมาตราการกำจัดมานานแล้วแต่เพราะเค้ามองว่าอนาคตและผลลัพธ์มันสำคัญกว่าคำว่าสงสาร ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พูดมาอาจจะยังไม่เกิดขึ้นแต่อยากให้หลายๆคนลองคิดดูว่าที่เราคิดสงสารเราคิดแค่ตัวเราเองหรือคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม
สิ่งที่คนรักหมาหลายๆคนคิดไม่ได้หรือไม่ได้คิดเกี่ยวกับการ Set Zero
- อย่างแรกเลยคือถ้าไม่ฆ่าก็ต้องมีการกักกันสุนัขและแมวจรจัดไปอยู่รวมกันที่ใดซักที่ในประเทศเพื่อไม่ให้มาปะปนเพ่นพ่านอีกต่อไปเพราะถ้าหากออกกฏหมายแล้วจะต้องสามารถแยกแยะสัตว์ที่ถูกละเลยปล่อยทิ้งออกมาโดยง่ายในทันที ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นภาระก้อนใหญ่สำหรับประเทศ
- อย่างที่สอง สิ่งที่เราจะได้รับหลังจากนี้มันสำคัญกว่าสิ่งที่เราจะเสียคือ ประเทศเราจะน่าอยู่มากขึ้นเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น,ควบคุมโรคติดต่อต่างๆง่ายขึ้น,ทำให้คนเลี้ยงสัตว์มีความรับผิดชอบมากขึ้นจากกฏหมายที่ออกมาควบคุม,สัตว์เลี้ยงใครหลุดออกมาหรือพลัดหลงสามารถตามหาได้โดยง่าย,สัตว์เลี้ยงที่พลัดหลงไม่ถูกทำร้ายจากหมาจรจัดซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์ไม่สามารถห้ามได้,จะมีน้องหมาน้องแมวที่โชคร้ายแค่กลุ่มสุดท้ายในประเทศนี้เพราะที่เกิดมาหลังจากนี้จะได้อยู่กับครอบครัวที่พร้อมและรักมันเท่านั้น,พื้นที่สาธารณะปลอดภัยมากขึ้น เราจะสามารถเดินหรือปั่นจักรยานได้ในทุกๆที่โดยไม่ต้องกังวลหรือหลบเลี่ยงสุนัขจรจัด อย่างที่ทราบกันดีสุนัขทุกตัวนิสัยไม่เหมือนกันและถึงแม้สุนัขบางตัวนิสัยเดิมจะไม่ดุร้ายแต่เมื่อสุนัขรวมอยู่เป็นกลุ่มเมื่อตัวใดตัวหนึ่งนำไม่ว่าจะเห่าหรือไล่กัดสุนัขตัวที่เหลือก็จะตามในทันที
***สุดท้ายแล้วเราต้องทบทวนว่าการสงสารของเรานั้นถูกต้องและสมเหตุสมผลจริงๆหรือ เพราะจะมีสุนัขและแมวที่โชคร้ายเกิดขึ้นต่อจากนี้แบบไม่มีสิ้นสุดทั้งๆที่เรามีทางเลือกสามารถหยุดวงจรนี้ได้แต่ไม่ทำ เราคิดแค่ว่าสงสารแต่เราเองก็ไม่พร้อมที่จะรับมาอุปะการะด้วยซ้ำได้แต่ผลักภาระให้คนอื่นหรือรัฐ เราควรโทษคนแก้ปัญหาว่าใจบาปหรือโทษคนที่ปล่อยพวกมันออกมาสร้างปัญหามากกว่ากัน ไม่ใช่ว่าต่างประเทศเค้าจิตใจโหดเหี้ยมหรอกนะที่เค้ามีมาตราการกำจัดมานานแล้วแต่เพราะเค้ามองว่าอนาคตและผลลัพธ์มันสำคัญกว่าคำว่าสงสาร ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่พูดมาอาจจะยังไม่เกิดขึ้นแต่อยากให้หลายๆคนลองคิดดูว่าที่เราคิดสงสารเราคิดแค่ตัวเราเองหรือคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม