สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 78
ดิฉันเป็นผู้หญิงคนที่เจ้าของกระทู้กล่าวถึงเองค่ะ
ดิฉันได้สอบถามไปยังเจ้าของกระทู้แล้ว และเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนตั้งกระทู้นี้เอง
ก่อนหน้านี้เราได้พูดคุยกันถึงรายละเอียดการขายคอนโดแล้ว ซึ่งดิฉันได้ชี้แจงกับเจ้าของกระทู้เรียบร้อยแล้วว่า การขายคอนโดนั้นดิฉันขายขาดทุน มีการต่อรอง ไม่ได้ขายตามราคาที่ประกาศ เงินที่ได้จากการขาย ดิฉันได้ทำแคชเชียร์เช็คปิดบัญชีเงินกู้กับธนาคาร และใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าภาษี ณ ที่จ่าย, ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อต่อรองให้ผู้จายจ่าย, ค่านายหน้า, ค่าซ่อมบำรุง และค่าทำความสะอาด โดยดิฉันได้แจกแจงตัวเลขให้เจ้าของกระทู้ทราบแล้ว ว่าไม่มีเงินแบ่งให้เพราะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในส่วนนี้ นอกจากนี้ ดิฉันเองยังต้องใช้เงินส่วนของตัวเข้ามาใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย ที่ดิฉันยอมขายขาดทุนเพราะต้องการตัดภาระก้อนนี้ให้จบ และเริ่มต้นชีวิตใหม่เช่นกัน
(เอกสารหลักฐานด้านการเงินทั้งหมด ทั้งรายรับในการขาย และรายจ่ายในการขาย ดิฉันขอไม่เปิดเผยในที่นี้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล)
ที่ดิฉันไม่ได้ติดต่อเจ้าของกระทู้ไปเรื่องการขายคอนโด เพราะหากแจกแจงรายจ่ายโดยละเอียดแล้ว อันที่จริงเจ้าของกระทู้ ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้กับดิฉันจำนวนหนึ่ง แต่ดิฉันต้องการให้เรื่องทุกอย่างจบ ต่างคนต่างอยู่ จึงรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และไม่คิดที่จะติดต่อขอเรียกเก็บจากเจ้าของกระทู้เพิ่ม ซึ่งเมื่อเจ้าของกระทู้ได้รับทราบข้อมูลส่วนนี้แล้ว เจ้าของกระทู้ได้ตอบกลับดิฉันด้วยความเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดดิฉันไม่มีเงินจากการขายคอนโดแบ่งให้ แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าของกระทู้กลับมาตั้งกระทู้ในพันทิพ เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าดิฉันไม่ยอมแบ่งเงินให้กับเขา
ในส่วนของคำว่า “ค่าเช่า” นั้น เพราะดิฉันต้องการอธิบายให้เข้าใจว่า เงินที่เขาจ่ายในแต่ละเดือน ก็เหมือนค่าเช่าที่เขาจ่ายให้กับธนาคาร เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า การกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่อมมีดอกเบี้ยในทุกงวดการผ่อนชำระ ไม่ใช่การฝากเงินกับธนาคาร ที่จะถอนออกมาได้เท่ากับจำนวนเงินที่ฝากเข้าไป เขาคิดจะอยู่คอนโดจากการกู้ธนาคาร และคิดจะไม่มีส่วนจ่ายใด ๆ เลยหรือ
และเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้แจ้งข้อมูลในกระทู้นี้ด้วยว่า ที่ผ่านมาดิฉันก็ช่วยเขาผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ด้วยเช่นกัน และเขาได้ขอยืมชื่อดิฉันในการกู้ซื้อรถยนต์ให้แก่พี่สาวของเขา เนื่องจากพี่สาวของเขาไม่อยากให้ชื่อของเขามีภาระไฟแนนซ์ เพราะจะไปกู้ธนาคารเพื่อทำบ้าน ซึ่งดิฉันก็เสียสิทธิ์รถคันแรกโดยไม่มีส่วนได้ใด ๆ มีแต่ส่วนเสีย แถมชื่อรถที่เป็นของดิฉันก็โดนใบสั่งต่าง ๆ ตามมาหลายครั้ง
สำหรับความสัมพันธ์นั้น ลองมองในมุมที่กว้างขึ้น การคบผู้ชายคนนึงนาน 6 ปี ดิฉันก็คงไม่ได้คบเล่น ๆ อายุก็เลข 3 กันแล้ว แต่มันก็มีประเด็นบางอย่างที่ดิฉันเลือกที่จะไม่ไปกับเขาต่อ ซึ่งเป็นประเด็นที่รุนแรงมากสำหรับดิฉัน และนั่นก็คือ “ครอบครัว”
คบกันมานานขนาดนี้ ฝ่ายชายไม่เคยพยายามให้ทั้งสองครอบครัวมาพบเจอกันเลยสักครั้ง แม้จะมีโอกาสมากมายก็ตาม จนกระทั่งวันที่ที่แม่ดิฉันมาหาที่คอนโด และแม่ของเขามารับเขากลับบ้าน ดิฉันรู้สึกเสียใจที่ท่านทั้งสองจะไม่ได้พบกันเหมือนทุก ๆ ครั้งอีก เพราะเขาก็ยังคงบ่ายเบี่ยงตามเดิม กระทั่งดิฉันร้องไห้และถามเขาว่า “นี่เราคบกันจริงจังใช่ไหม ทำไมถึงไม่ยอมให้แม่ของเราเจอกัน?” เขาจึงยอมให้แม่ของฉันได้เจอและได้สวัสดีทักทายแม่ของเขา เป็นเวลารวมแล้วไม่เกิน 5 นาที จากที่คบกันมาทั้งหมด 6 ปี
วันหนึ่งที่บ้านของดิฉัน ดิฉันบังเอิญหันไปเห็นเขาคุยไลน์กับคุณแม่ของเขา และพบว่าเขานินทาครอบครัวของดิฉันอยู่ ดิฉันเก็บความเสียใจไว้โดยตลอด และความรู้สึกที่ดิฉันมีให้เขาก็ไม่เหมือนดิมอีกต่อไป เรื่องทั้งหมดเกิดก่อนที่ดิฉันจะได้รู้จักผู้ชายอีกคน ที่เจ้าของกระทู้เรียกว่า “กิ๊ก” ของดิฉัน
เหตุผลด้านความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกระทู้กับดิฉันมันลึกกว่านี้ มันไม่ได้มีแค่สิ่งที่เจ้าของกระทู้เล่ามา ระยะเวลา 6 ปี มันคงไม่สั้นเป็นหนังม้วนเดียวจบ ว่าดิฉันมีคนใหม่ ทิ้งเขา ไม่แบ่งเงินให้
และประเด็นที่เจ้าของกระทู้นำมากล่าวอ้างว่า “เคยนอกใจมาแล้วครั้งหนึ่ง และร้องไห้ฟูมฟายจนเขากลับมาหาอีกครั้ง” เรื่องนี้เราได้พูดคุยและเคลียร์กันไปแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนดิฉันร้องไห้ขอคืนดีจริง เพราะ ณ ขณะนั้นยังรักเขาอยู่ ครั้งนั้นเราเลิกกันไปประมาณ 7 วัน แต่ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับอุทาหรณ์การซื้อคอนโดเลยแม้แต่น้อย ดิฉันจึงมองว่าฝ่ายชายนำมากล่าวอ้างเพื่อดิสเครดิตและทำให้บุคคลอื่น ๆ ในที่นี้มองดิฉันติดลบลงไปอีก เพื่อสนับสนุนเรื่องของการถูกทิ้ง และเรื่องของการไม่แบ่งเงินจากการขายคอนโด
เพิ่มเติมในเรื่องความสัมพันธ์
- การที่อ้างว่าช่วงนั้นตัวเองอ้วน ทำให้ดิฉันเลิก บอกได้เลยว่าไม่จริง การเลิกกันไม่เกี่ยวกับกายภาพใด ๆ ของเจ้าของกระทู้เลย เพราะเป็นหมีมาตลอดอยู่แล้ว
- คบกันมา 6 ปี แต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้สองครอบครัวมาเจอกัน
- นินทาครอบครัวของดิฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันรับไม่ได้ หมดใจ และไม่อาจรักเขาได้เหมือนเดิม
- แม่ของเขาได้บอกกับเขาด้วยว่า หากแม่ของดิฉันพูดถึงเรื่องแต่งงาน ให้เข้าห้องนอนแล้วแกล้งหลับไป
- เสาร์อาทิตย์ดิฉันทำความสะอาดเก็บกวาดดูแลคอนโดคนเดียว ซักผ้า รีดผ้า ให้เขาทุกอย่าง ในขณะที่เขาไปเที่ยว ไปกินข้าวกับครอบครัว
- เขาอยู่คอนโด เฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ เลิกจากงาน กลับถึงห้องเปิดเกมเล่นทันที และเล่นจนถึงตีสองเกือบทุกวัน ดิฉันไม่เคยบ่นหรือว่า
- ไปเตะบอลกับเพื่อน ดิฉันยินดีไปรอข้างสนามจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน โดยไม่เคยห้ามหรือบ่น
- ดิฉันไม่สบาย โทรหา ไลน์หา แต่ไม่มาดูแลเลยสักครั้ง ดิฉันเป็นโรคกระเพาะ เวลากำเริบทรมานมาก นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลคนเดียวตอนตี 2 ประจำ และเคยไม่มีแท็กซี่รับจนต้องพยายามขับรถไปเองโดยที่เจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้สนใจ
- ดิฉันไม่สบายกระเพาะกำเริบ โทรหา ไลน์หา เพื่อให้เจ้าของกระทู้พาไปโรงพยาบาล แต่เจ้าของกระทู้เลือกที่จะไปเตะบอลกับเพื่อน
- แต่พี่สาวของเจ้าของกระทู้ จะไปทำฟันที่โรงพยาบาล เจ้าของกระทู้สามารถขับรถจากต่างจังหวัด กลับมารับพี่สาวที่บ้าน เพื่อพาไปโรงพยาบาลได้
- ดิฉันไม่เคยเป็น priority แรกสำหรับเขาเลย ดิฉันไปงานชิมไวน์แถวสีลม งานเลิก 4 ทุ่ม จึงขอให้เขาขับรถมารับ แต่เขาอ้างว่าไม่อยากมารับเพราะรถน่าจะติด จึงเล่นเกมอยู่คอนโด และบอกให้ดิฉันนั่งรถไฟฟ้ากลับเอง ทั้ง ๆ ที่ดิฉันร่างกายไม่พร้อมจากการชิมไวน์ ดิฉันไม่ใช่คอแอลกอฮอล์ (ซึ่งเขารับทราบดี) จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเขาไปล่วงหน้าแล้ว
- ในทางกลับกัน พี่สาวของเขาเลิกงาน 2 ทุ่ม ย่านสีลมเช่นกัน จึงของให้เขามารับ เขาสามารถมารับพี่สาวเขาได้ในเวลาช่วงเวลาที่รถน่าจะติดกว่า
- ในเรื่องของการใช้รถ เราตกลงกันว่าจะผลัดกันเติมน้ำมัน หลังใครเอารถไปใช้ แต่ส่วนมากแล้วเขาจะทำลืมไม่เติมน้ำมันรถกลับมา ทำให้ดิฉันต้องเป็นผู้รับภาระเติมบ่อยๆ แถมบางครั้งน้ำมันเกือบหมดกลางทาง เพราะเขาไม่ค่อยเติมน้ำมันไว้
- การที่ดิฉันออกจากที่ทำงาน ดิฉันไม่ได้โดนกดดันทางสังคมตามที่เจ้าของกระทู้กล่าวอ้าง แต่ดิฉันได้รับข้อเสนอค่าตอบแทนที่ดีกว่าจากที่อื่น แม้ว่าดิฉันจะออกไปแล้วแต่ก็ยังมีนัดทานข้าวพูดคุยสาระทุกข์สุขดิบจากเพื่อนที่ทำงานเก่าบ้าง
เอาเป็นว่ารายละเอียดด้านความสัมพันธ์ทั้งหมดมันมากกว่านี้มาก แต่ก็ไม่ต้องมาประกาศในทุกคนรับรู้เรื่องในชีวิตทุกเรื่อง และเรื่องของการแบ่งเงินคอนโด มันก็ไม่ใช่ตามที่เจ้าของกระทู้กล่าวอ้าง
ดิฉันขอเก็บข้อมูล เอกสารหลักฐานทั้งหมด ไว้ใช้ในชั้นศาลแล้วกันนะคะ เพราะการที่เขามาตั้งกระทู้เช่นนี้ ดิฉันเสียหาย เพราะบางคอมเม้นท์ทราบดีว่า เจ้าของกระทู้กล่าวถึงดิฉัน และกระทู้นี้มีการคอนเม้นท์ว่าดิฉันในเชิงเสียหาย มีการแชร์เป็นวงกว้าง และเจ้าของกระทู้เองก็ได้ยอมรับกับดิฉันมาแล้วว่า เป็นเขาเองที่ตั้งกระทู้นี้ โดยเขาบอกว่าเข้าใจเรื่องเงินคอนโดแล้ว และจะแก้ไขข้อความเพื่อให้คนอื่นไม่เข้าใจดิฉันผิดไปมากกว่านี้ แต่ดิฉันก็รอดูมา 8 ชั่วโมงแล้ว (21.00-05.00) แต่ยังไม่มีการ edit ข้อความเพื่อชี้แจงใด ๆ
สำหรับอุทาหรณ์การซื้อคอนโดกับคนรักที่ยังไม่จดทะเบียนด้วย ดิฉันก็แนะนำว่าอย่าซื้อเลยค่ะ ซื้อคนเดียวไปเถอะ
ขนาดดิฉันไม่เรียกเก็บเงินส่วนต่างจากเขาแล้ว ดิฉันยังถูกกล่าวหาไม่ยอมให้ส่วนแบ่งอีกด้วย
ยังไงก็ยินดีกับเจ้าของกระทู้ด้วย ที่เจอแต่คนรอบข้างที่ดี และมีชีวิตที่ดีขึ้น ขอให้โชคดีและมีความสุขในชีวิตต่อไปนะคะ เราก็ขอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเราแบบไม่มีคุณ ชีวิตมันดีมาก ๆ เลย
ดิฉันได้สอบถามไปยังเจ้าของกระทู้แล้ว และเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนตั้งกระทู้นี้เอง
ก่อนหน้านี้เราได้พูดคุยกันถึงรายละเอียดการขายคอนโดแล้ว ซึ่งดิฉันได้ชี้แจงกับเจ้าของกระทู้เรียบร้อยแล้วว่า การขายคอนโดนั้นดิฉันขายขาดทุน มีการต่อรอง ไม่ได้ขายตามราคาที่ประกาศ เงินที่ได้จากการขาย ดิฉันได้ทำแคชเชียร์เช็คปิดบัญชีเงินกู้กับธนาคาร และใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าภาษี ณ ที่จ่าย, ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อต่อรองให้ผู้จายจ่าย, ค่านายหน้า, ค่าซ่อมบำรุง และค่าทำความสะอาด โดยดิฉันได้แจกแจงตัวเลขให้เจ้าของกระทู้ทราบแล้ว ว่าไม่มีเงินแบ่งให้เพราะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในส่วนนี้ นอกจากนี้ ดิฉันเองยังต้องใช้เงินส่วนของตัวเข้ามาใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย ที่ดิฉันยอมขายขาดทุนเพราะต้องการตัดภาระก้อนนี้ให้จบ และเริ่มต้นชีวิตใหม่เช่นกัน
(เอกสารหลักฐานด้านการเงินทั้งหมด ทั้งรายรับในการขาย และรายจ่ายในการขาย ดิฉันขอไม่เปิดเผยในที่นี้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล)
ที่ดิฉันไม่ได้ติดต่อเจ้าของกระทู้ไปเรื่องการขายคอนโด เพราะหากแจกแจงรายจ่ายโดยละเอียดแล้ว อันที่จริงเจ้าของกระทู้ ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้กับดิฉันจำนวนหนึ่ง แต่ดิฉันต้องการให้เรื่องทุกอย่างจบ ต่างคนต่างอยู่ จึงรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และไม่คิดที่จะติดต่อขอเรียกเก็บจากเจ้าของกระทู้เพิ่ม ซึ่งเมื่อเจ้าของกระทู้ได้รับทราบข้อมูลส่วนนี้แล้ว เจ้าของกระทู้ได้ตอบกลับดิฉันด้วยความเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดดิฉันไม่มีเงินจากการขายคอนโดแบ่งให้ แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าของกระทู้กลับมาตั้งกระทู้ในพันทิพ เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าดิฉันไม่ยอมแบ่งเงินให้กับเขา
ในส่วนของคำว่า “ค่าเช่า” นั้น เพราะดิฉันต้องการอธิบายให้เข้าใจว่า เงินที่เขาจ่ายในแต่ละเดือน ก็เหมือนค่าเช่าที่เขาจ่ายให้กับธนาคาร เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า การกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่อมมีดอกเบี้ยในทุกงวดการผ่อนชำระ ไม่ใช่การฝากเงินกับธนาคาร ที่จะถอนออกมาได้เท่ากับจำนวนเงินที่ฝากเข้าไป เขาคิดจะอยู่คอนโดจากการกู้ธนาคาร และคิดจะไม่มีส่วนจ่ายใด ๆ เลยหรือ
และเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้แจ้งข้อมูลในกระทู้นี้ด้วยว่า ที่ผ่านมาดิฉันก็ช่วยเขาผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ด้วยเช่นกัน และเขาได้ขอยืมชื่อดิฉันในการกู้ซื้อรถยนต์ให้แก่พี่สาวของเขา เนื่องจากพี่สาวของเขาไม่อยากให้ชื่อของเขามีภาระไฟแนนซ์ เพราะจะไปกู้ธนาคารเพื่อทำบ้าน ซึ่งดิฉันก็เสียสิทธิ์รถคันแรกโดยไม่มีส่วนได้ใด ๆ มีแต่ส่วนเสีย แถมชื่อรถที่เป็นของดิฉันก็โดนใบสั่งต่าง ๆ ตามมาหลายครั้ง
สำหรับความสัมพันธ์นั้น ลองมองในมุมที่กว้างขึ้น การคบผู้ชายคนนึงนาน 6 ปี ดิฉันก็คงไม่ได้คบเล่น ๆ อายุก็เลข 3 กันแล้ว แต่มันก็มีประเด็นบางอย่างที่ดิฉันเลือกที่จะไม่ไปกับเขาต่อ ซึ่งเป็นประเด็นที่รุนแรงมากสำหรับดิฉัน และนั่นก็คือ “ครอบครัว”
คบกันมานานขนาดนี้ ฝ่ายชายไม่เคยพยายามให้ทั้งสองครอบครัวมาพบเจอกันเลยสักครั้ง แม้จะมีโอกาสมากมายก็ตาม จนกระทั่งวันที่ที่แม่ดิฉันมาหาที่คอนโด และแม่ของเขามารับเขากลับบ้าน ดิฉันรู้สึกเสียใจที่ท่านทั้งสองจะไม่ได้พบกันเหมือนทุก ๆ ครั้งอีก เพราะเขาก็ยังคงบ่ายเบี่ยงตามเดิม กระทั่งดิฉันร้องไห้และถามเขาว่า “นี่เราคบกันจริงจังใช่ไหม ทำไมถึงไม่ยอมให้แม่ของเราเจอกัน?” เขาจึงยอมให้แม่ของฉันได้เจอและได้สวัสดีทักทายแม่ของเขา เป็นเวลารวมแล้วไม่เกิน 5 นาที จากที่คบกันมาทั้งหมด 6 ปี
วันหนึ่งที่บ้านของดิฉัน ดิฉันบังเอิญหันไปเห็นเขาคุยไลน์กับคุณแม่ของเขา และพบว่าเขานินทาครอบครัวของดิฉันอยู่ ดิฉันเก็บความเสียใจไว้โดยตลอด และความรู้สึกที่ดิฉันมีให้เขาก็ไม่เหมือนดิมอีกต่อไป เรื่องทั้งหมดเกิดก่อนที่ดิฉันจะได้รู้จักผู้ชายอีกคน ที่เจ้าของกระทู้เรียกว่า “กิ๊ก” ของดิฉัน
เหตุผลด้านความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกระทู้กับดิฉันมันลึกกว่านี้ มันไม่ได้มีแค่สิ่งที่เจ้าของกระทู้เล่ามา ระยะเวลา 6 ปี มันคงไม่สั้นเป็นหนังม้วนเดียวจบ ว่าดิฉันมีคนใหม่ ทิ้งเขา ไม่แบ่งเงินให้
และประเด็นที่เจ้าของกระทู้นำมากล่าวอ้างว่า “เคยนอกใจมาแล้วครั้งหนึ่ง และร้องไห้ฟูมฟายจนเขากลับมาหาอีกครั้ง” เรื่องนี้เราได้พูดคุยและเคลียร์กันไปแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนดิฉันร้องไห้ขอคืนดีจริง เพราะ ณ ขณะนั้นยังรักเขาอยู่ ครั้งนั้นเราเลิกกันไปประมาณ 7 วัน แต่ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับอุทาหรณ์การซื้อคอนโดเลยแม้แต่น้อย ดิฉันจึงมองว่าฝ่ายชายนำมากล่าวอ้างเพื่อดิสเครดิตและทำให้บุคคลอื่น ๆ ในที่นี้มองดิฉันติดลบลงไปอีก เพื่อสนับสนุนเรื่องของการถูกทิ้ง และเรื่องของการไม่แบ่งเงินจากการขายคอนโด
เพิ่มเติมในเรื่องความสัมพันธ์
- การที่อ้างว่าช่วงนั้นตัวเองอ้วน ทำให้ดิฉันเลิก บอกได้เลยว่าไม่จริง การเลิกกันไม่เกี่ยวกับกายภาพใด ๆ ของเจ้าของกระทู้เลย เพราะเป็นหมีมาตลอดอยู่แล้ว
- คบกันมา 6 ปี แต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้สองครอบครัวมาเจอกัน
- นินทาครอบครัวของดิฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันรับไม่ได้ หมดใจ และไม่อาจรักเขาได้เหมือนเดิม
- แม่ของเขาได้บอกกับเขาด้วยว่า หากแม่ของดิฉันพูดถึงเรื่องแต่งงาน ให้เข้าห้องนอนแล้วแกล้งหลับไป
- เสาร์อาทิตย์ดิฉันทำความสะอาดเก็บกวาดดูแลคอนโดคนเดียว ซักผ้า รีดผ้า ให้เขาทุกอย่าง ในขณะที่เขาไปเที่ยว ไปกินข้าวกับครอบครัว
- เขาอยู่คอนโด เฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ เลิกจากงาน กลับถึงห้องเปิดเกมเล่นทันที และเล่นจนถึงตีสองเกือบทุกวัน ดิฉันไม่เคยบ่นหรือว่า
- ไปเตะบอลกับเพื่อน ดิฉันยินดีไปรอข้างสนามจนถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน โดยไม่เคยห้ามหรือบ่น
- ดิฉันไม่สบาย โทรหา ไลน์หา แต่ไม่มาดูแลเลยสักครั้ง ดิฉันเป็นโรคกระเพาะ เวลากำเริบทรมานมาก นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลคนเดียวตอนตี 2 ประจำ และเคยไม่มีแท็กซี่รับจนต้องพยายามขับรถไปเองโดยที่เจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้สนใจ
- ดิฉันไม่สบายกระเพาะกำเริบ โทรหา ไลน์หา เพื่อให้เจ้าของกระทู้พาไปโรงพยาบาล แต่เจ้าของกระทู้เลือกที่จะไปเตะบอลกับเพื่อน
- แต่พี่สาวของเจ้าของกระทู้ จะไปทำฟันที่โรงพยาบาล เจ้าของกระทู้สามารถขับรถจากต่างจังหวัด กลับมารับพี่สาวที่บ้าน เพื่อพาไปโรงพยาบาลได้
- ดิฉันไม่เคยเป็น priority แรกสำหรับเขาเลย ดิฉันไปงานชิมไวน์แถวสีลม งานเลิก 4 ทุ่ม จึงขอให้เขาขับรถมารับ แต่เขาอ้างว่าไม่อยากมารับเพราะรถน่าจะติด จึงเล่นเกมอยู่คอนโด และบอกให้ดิฉันนั่งรถไฟฟ้ากลับเอง ทั้ง ๆ ที่ดิฉันร่างกายไม่พร้อมจากการชิมไวน์ ดิฉันไม่ใช่คอแอลกอฮอล์ (ซึ่งเขารับทราบดี) จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเขาไปล่วงหน้าแล้ว
- ในทางกลับกัน พี่สาวของเขาเลิกงาน 2 ทุ่ม ย่านสีลมเช่นกัน จึงของให้เขามารับ เขาสามารถมารับพี่สาวเขาได้ในเวลาช่วงเวลาที่รถน่าจะติดกว่า
- ในเรื่องของการใช้รถ เราตกลงกันว่าจะผลัดกันเติมน้ำมัน หลังใครเอารถไปใช้ แต่ส่วนมากแล้วเขาจะทำลืมไม่เติมน้ำมันรถกลับมา ทำให้ดิฉันต้องเป็นผู้รับภาระเติมบ่อยๆ แถมบางครั้งน้ำมันเกือบหมดกลางทาง เพราะเขาไม่ค่อยเติมน้ำมันไว้
- การที่ดิฉันออกจากที่ทำงาน ดิฉันไม่ได้โดนกดดันทางสังคมตามที่เจ้าของกระทู้กล่าวอ้าง แต่ดิฉันได้รับข้อเสนอค่าตอบแทนที่ดีกว่าจากที่อื่น แม้ว่าดิฉันจะออกไปแล้วแต่ก็ยังมีนัดทานข้าวพูดคุยสาระทุกข์สุขดิบจากเพื่อนที่ทำงานเก่าบ้าง
เอาเป็นว่ารายละเอียดด้านความสัมพันธ์ทั้งหมดมันมากกว่านี้มาก แต่ก็ไม่ต้องมาประกาศในทุกคนรับรู้เรื่องในชีวิตทุกเรื่อง และเรื่องของการแบ่งเงินคอนโด มันก็ไม่ใช่ตามที่เจ้าของกระทู้กล่าวอ้าง
ดิฉันขอเก็บข้อมูล เอกสารหลักฐานทั้งหมด ไว้ใช้ในชั้นศาลแล้วกันนะคะ เพราะการที่เขามาตั้งกระทู้เช่นนี้ ดิฉันเสียหาย เพราะบางคอมเม้นท์ทราบดีว่า เจ้าของกระทู้กล่าวถึงดิฉัน และกระทู้นี้มีการคอนเม้นท์ว่าดิฉันในเชิงเสียหาย มีการแชร์เป็นวงกว้าง และเจ้าของกระทู้เองก็ได้ยอมรับกับดิฉันมาแล้วว่า เป็นเขาเองที่ตั้งกระทู้นี้ โดยเขาบอกว่าเข้าใจเรื่องเงินคอนโดแล้ว และจะแก้ไขข้อความเพื่อให้คนอื่นไม่เข้าใจดิฉันผิดไปมากกว่านี้ แต่ดิฉันก็รอดูมา 8 ชั่วโมงแล้ว (21.00-05.00) แต่ยังไม่มีการ edit ข้อความเพื่อชี้แจงใด ๆ
สำหรับอุทาหรณ์การซื้อคอนโดกับคนรักที่ยังไม่จดทะเบียนด้วย ดิฉันก็แนะนำว่าอย่าซื้อเลยค่ะ ซื้อคนเดียวไปเถอะ
ขนาดดิฉันไม่เรียกเก็บเงินส่วนต่างจากเขาแล้ว ดิฉันยังถูกกล่าวหาไม่ยอมให้ส่วนแบ่งอีกด้วย
ยังไงก็ยินดีกับเจ้าของกระทู้ด้วย ที่เจอแต่คนรอบข้างที่ดี และมีชีวิตที่ดีขึ้น ขอให้โชคดีและมีความสุขในชีวิตต่อไปนะคะ เราก็ขอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเราแบบไม่มีคุณ ชีวิตมันดีมาก ๆ เลย
ความคิดเห็นที่ 20
เพื่อนร่วมงานคุณ กับเจ้าของบริษัทนี่น่ารักทีเดียว นับถือศีลธรรมในใจคุณๆ เขาจริงๆ
ปกติเรื่องพวกนี้ ถ้าต่อให้สนิทกันยังไม่ค่อยจะมีใครกล้าพูดนะคะ (กลัวเป็นหมา 55)
แปลว่าคุณนี่ต้องเป็นที่รัก ที่นับถือ หรือไม่ก็ต้องมีน้ำใจกับคนในบริษัทมากแน่ๆ
ทุกคนถึงรวมพลังออกมาไฟท์แทนให้แบบนี้ ถือว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่นะคะ
ถือว่าฟาดเคราะห์ ฟาดคนเลวออกไปจากชีวิตแล้วกันค่ะ
ตอนนี้เริ่มต้นใหม่แล้ว ก็ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ
ปล. คุณนับว่าโชคดีมากนะคะ ที่อยู่ในสังคมที่มีศีลในใจดี
บางที่ บางบริษัท บางองค์กรนี่ มั่วซั่วกันมันส์เลยค่ะ
จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว เหอะๆ
และต่อให้รู้ว่าใครเป็นอะไรกับใคร ก็ไม่มีใครกล้ามี่จะพูดอะไร
เพราะถ้าพูดไปก็เหมือนไปสร้างศัตรูเปล่าๆ เปลี้ยๆ ตำแหน่งจะไม่ขึ้นเอา
ก็หลับหูหลับตาทำงานไป วันดี คืนดี ก็จะมีศึกตบแย่งสามี/ภรรยาให้ดู
ปกติเรื่องพวกนี้ ถ้าต่อให้สนิทกันยังไม่ค่อยจะมีใครกล้าพูดนะคะ (กลัวเป็นหมา 55)
แปลว่าคุณนี่ต้องเป็นที่รัก ที่นับถือ หรือไม่ก็ต้องมีน้ำใจกับคนในบริษัทมากแน่ๆ
ทุกคนถึงรวมพลังออกมาไฟท์แทนให้แบบนี้ ถือว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่นะคะ
ถือว่าฟาดเคราะห์ ฟาดคนเลวออกไปจากชีวิตแล้วกันค่ะ
ตอนนี้เริ่มต้นใหม่แล้ว ก็ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ
ปล. คุณนับว่าโชคดีมากนะคะ ที่อยู่ในสังคมที่มีศีลในใจดี
บางที่ บางบริษัท บางองค์กรนี่ มั่วซั่วกันมันส์เลยค่ะ
จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว เหอะๆ
และต่อให้รู้ว่าใครเป็นอะไรกับใคร ก็ไม่มีใครกล้ามี่จะพูดอะไร
เพราะถ้าพูดไปก็เหมือนไปสร้างศัตรูเปล่าๆ เปลี้ยๆ ตำแหน่งจะไม่ขึ้นเอา
ก็หลับหูหลับตาทำงานไป วันดี คืนดี ก็จะมีศึกตบแย่งสามี/ภรรยาให้ดู
ความคิดเห็นที่ 3
"ส่วนเรื่องคอนโดเก่าสรุปว่า แฟนเก่าขายไป พอผมทวงถามเรื่องเงินส่วนแบ่ง
เธอบอกขอคิดเป็น "ค่าเช่า" ไปซะงั้น และขอที่จะไม่แบ่งเงินที่ขายได้ให้ผมเลยสักบาท"
แหม่...มันช่างละม้ายคล้ายกับตอนที่ผมเลิกกับแฟนซะเหลือเกิน ตอนเลิกกันแรกๆ ก็เสียใจนะครับ พอเจอเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีใจมากที่เลิกกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ 555555
เธอบอกขอคิดเป็น "ค่าเช่า" ไปซะงั้น และขอที่จะไม่แบ่งเงินที่ขายได้ให้ผมเลยสักบาท"
แหม่...มันช่างละม้ายคล้ายกับตอนที่ผมเลิกกับแฟนซะเหลือเกิน ตอนเลิกกันแรกๆ ก็เสียใจนะครับ พอเจอเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีใจมากที่เลิกกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ 555555
แสดงความคิดเห็น
อยากแชร์ประสบการณ์เลิกกับแฟนตอนซื้อคอนโดด้วยกันแล้ว (คอนโดเป็นชื่อเธอ)
ตอนต้นปี 2557 ผมมีแฟนที่คบกันได้มา 3 ปี ตอนนั้นผมกำลังจะย้ายงานไปบริษัทเดียวกับเธอ เราจึงตัดสินใจซื้อคอนโดด้วยกัน โดยชื่อเจ้าของเป็นชื่อของพ่อเธอกับเธอร่วมกัน (พ่อเธอเป็นราชการ ได้สิทธิ์กู้ของออมสินโดยไม่ต้องตรวจบูโร เลยกู้ผ่านง่ายมาก) จากนั้นเราก็ผ่อนเดือนละ 2 หมื่นกว่า หารครึ่งมาตลอด
ผ่อนมาได้ราว 3 ปี แฟนผมเธอเริ่มสนิทกับผู้ชายคนนึงที่อยู่แผนกใกล้กัน ทั้งที่ผมก็ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน แต่อยู่คนละชั้น ผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเชื่อใจแฟนมาก (แฟนผมเคยนอกใจมาแล้วครั้งนึง เลยไว้ใจ ไม่คิดว่าเธอจะนอกใจอีก เพราะตอนนั้นเธอฟูมฟายง้อให้ผมกลับไปคืนดีมาก) บางครั้งผมเห็นตัวผู้ชายก็กางร่มให้แฟนผม ก็ยังอุตส่าห์โง่ไม่คิดอะไรอีก 5555 ทั้งที่จริงๆ คนรอบข้างผมส่งซิกให้ผมตลอดว่า คู่นี้มีซัมติงกันแน่นอน แต่ตอนนั้นก็เชื่อใจแฟนมากครับ ใครมาแกล้งแหย่ถาม ก็ตอบไปตลอด อ๋อ คู่นี้เขาสนิทกัน
จนมาวันนึงพี่ที่อยู่ในแผนกเดียวกับผู้ชายที่กิ๊กแฟนผม เขาทนไม่ไหว ขึ้นมาบอกกับผมว่า สองคนนี้มีอะไรกันแน่นอน คืนวันนั้นพอกลับถึงคอนโดของเรา ผมเลยถามเธอตรงๆ เธอบอกว่าเธอไม่มีความรักให้ผมอีกแล้ว มีแค่สงสารเท่านั้น ผมก็เลยต้องจำใจยอมเก็บข้าวของเดินออกมา
วันแรกๆ ก็เก่งครับ ทำเป็นไม่รู้สึกเสียใจเลย แต่พอเจอหน้าพ่อบอกกับพ่อเท่านั้นแหละครับ บ่อน้ำแตกเลย 5555 (แต่แปลกอยู่กับแม่ผมไม่ร้องไห้สักแอะ) หลังจากนั้นก็เสียศูนย์ไปอยู่ 3-4 วัน แต่กำลังใจดีครับ เพื่อนพี้น้องที่บริษัทให้กำลังใจ ลูกน้องเด็กๆ ยังให้กำลังใจ บอกพี่ห้ามลาออก พี่ไม่ได้ทำอะไร อยู่สู้หน้ามันไว้ 555 หรือบางคนที่อยู่คนละแผนกไม่เคยคุยกัน ยังโทรเข้าโต้ะที่ออฟฟิศมาให้กำลังใจแบบงงๆ รวมถึงเจ้าของบริษัทพอทราบเรื่องผม ท่านก็เรียกให้ผมขึ้นไปพบด้วย แต่ผมปฏิเสธท่านไปครับ เพราะกลัวจะบ่อน้ำตาแตกอีก
เสียศูนย์ไปอยู่พักนึง ก็เริ่มเห็นว่า คนรอบข้างเราเขาสงสารเรามากๆ โดยเฉพาะแม่ที่เป็นห่วงผมมาก ก็เลยมีฮึด กลับมาดูแลตัวเอง (ตอนโดนทิ้งผมอ้วนด้วยครับ) ก็เลยเริ่มเข้าฟิตเนส หาไรทำไปเรื่อย ส่วนเรื่องคอนโดก็เลยไปผ่อนดาวน์คอนโดใหม่ ซึ่งที่บ้านสนับสนุนเต็มที่ ตัวผมเองก็อยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง เป็นชื่อของตัวเอง คราวหน้าต่อไปจะได้ไม่มีปัญหาอีก
ถึงจะโดนทิ้งแต่จากนั้นชีวิตก็ดีขึ้น แถมที่ออฟฟิศก็ปรับตำแหน่งให้ผมขึ้นอีกต่างหาก เพราะผู้บริหารชื่นชมผมที่นิ่งพอ แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร (แต่จริงๆ รู้สึกเหมือนแพ้ให้กิ๊กเธอจริงๆ อะครับ เลยไม่ได้คิดจะโวยวายอะไรมาก) ส่วนคู่นั้นก็ต้องออกจากที่บริษัทไป เพราะว่าคนแผนกอื่นๆ ก็ตั้งแง่มีอคติกับคู่นั้นเกือบทุกคน
ปัจจุบันเรื่องนี้ผ่านมาสองปีแล้วครับ ผมเองก็มีแฟนใหม่เรียบร้อยแล้ว ชีวิตดีขึ้นเยอะ ส่วนเรื่องคอนโดเก่าสรุปว่า แฟนเก่าขายไป พอผมทวงถามเรื่องเงินส่วนแบ่ง เธอบอกขอคิดเป็น "ค่าเช่า" ไปซะงั้น และขอที่จะไม่แบ่งเงินที่ขายได้ให้ผมเลยสักบาท
นี่แหละครับ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร แฟนรักกันแค่ไหน สุดท้ายถ้าเลิกกันก็เป็นคนอื้น ตอนรักกันผมนอนกรนเธอยังชอบเลยครับ แต่ตอนไม่รักกันที่ยืนหายใจเงียบๆ ยังผิดเลย 555
ฝากเป็นอุทธาหรณ์นะครับ คนที่เป็นแฟนกันแล้วกำลังตัดสินใจจะซื้ออะไรร่วมกัน คิดดีๆ ทุกวันนี้ผมแนะนำเพื่อนพี่น้องผมเสมอให้ดูผมเป็นตัวอย่าง เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาพลาดแบบผมอีกครับ...