BNK48 - มิวสิค เรียนรู้ จุดสูงสุด ไม่ได้สุขที่สุด!!! และ การแข่งขันในวง โหดมาก!!!

https://www.dailynews.co.th/entertainment/631666

มิวสิค BNK48 เรียนรู้ จุดสูงสุด ไม่ได้สุขที่สุด!!! และ การแข่งขันในวง โหดมาก!!!

11 มีนาคม 2561


เป็นหนึ่งในสมาชิกวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป “BNK48” ที่ฮอตที่สุด สำหรับ มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์ หรือ “สิคกะจู” สาวน้อยวัย 17 ปี ที่ได้รับตำแหน่งเซ็นเตอร์คนแรกของวง และได้กลับมาเป็นเซ็นเตอร์อีกครั้งในซิงเกิ้ลที่ 3 กับเพลง “Shonichi” สัปดาห์นี้ “ดาวต่างมุม” เลยต้องขอนัดมิวสิคมานั่งพูดคุยถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทั้ง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา รวมถึงสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ว่า การที่อยู่จุดที่สูงที่สุด ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขที่สุด

ก่อนจะมาเป็นBNK 48?
“ก่อนจะมาเป็น BNK48 สิคเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำค่ะ ตอนนั้นได้ติดตามพี่ ๆ วง AKB48 อยู่แล้ว พอรู้ว่ามีการประกาศรับสมัคร BNK48 ในประเทศไทย ก็เลยคิดว่าจะลองส่งใบสมัครดูสักครั้ง พี่สตาฟฟ์ก็บอกว่ารู้ไหมว่ามิวสิคส่งใบสมัครเป็นคนที่ 3 เลยนะ พอมาออดิชั่นเราไม่คิดว่าเราจะติดหรอก เพราะเราไม่เคยไปออดิชั่นที่ไหนมาก่อน คิดว่ามาเอาประสบการณ์ ซึ่งพอมาลองจริง ๆ ก็โหดกว่าที่คิดมาก”

รู้ตัวว่าชอบร้อง ชอบเต้น ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“สิคเป็นคนชอบเต้นซะมากกว่า ชอบเต้นคัฟเวอร์ เคยเต้นคัฟเวอร์เพลงของวง AKB48 ด้วย แล้วก็ได้รู้จักกับพี่เฌอปราง ก่อนหน้านี้ เพราะเป็นสายคอสเพลย์ด้วยกัน ส่วนกับโมบายก็รู้จักกันนิดหนึ่ง แต่ไม่เคยคุยกัน เพราะเป็นวงคัฟเวอร์สายเจป๊อปที่เป็นคู่แข่งกัน จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในวงด้วยกันก็เซอร์ไพร้ส์ที่ได้มาร่วมงานกัน”

ก่อนหน้านี้เราเคยมีความฝันอยากเป็นไอดอลไหม?
“เป็นสิ่งที่แทบไม่เคยคิดเลยค่ะ ตอนเด็ก ๆ สิคมีความฝันอยากเป็นนักพากย์ แต่คุณปู่บอกว่าอาชีพนี้ไปได้ไม่ค่อยไกล อยากให้เราหาอะไรที่เราชอบจริง ๆ พอเห็นว่าตัวเองสนใจด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาญี่ปุ่น แล้วพอได้มาเรียนกฎหมายช่วง ม.ปลาย ก็รู้สึกชอบเหมือนกัน เลยบอกคุณปู่ว่าเลือกได้แล้วว่าอยากเป็น ทนายความ กับ นักการทูต คุณปู่เลยรู้สึกโอเค หน่อย แต่พอมาเป็นไอดอล แรก ๆ สิคไม่ได้บอกคนในครอบครัวเลย นอกจากคุณแม่ จนกระทั่งมาออกทีวีนี่แหละ ปู่เลยเห็นว่า...อ้าว นั่นหลานฉัน คุณปู่ก็โกรธมากเลย ที่เราไม่บอก ท่านค่อนข้างหัวโบราณแล้วก็แอนตี้ด้วย จนมีวันหนึ่งที่ท่านบอกว่า “ก็น่ารักดีนะ” ทำให้สิคตื้นตันมาก ถึงแม้จะเป็นคำสั้น ๆ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าอย่างน้อยท่านก็ยอมรับเราแล้ว”

แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์กับครอบครัวเป็นยังไง?
“ค่อนข้างห่างเลยค่ะ เพราะบ้านสิคค่อนข้างไกล ทำให้เราไม่สะดวกในการทำงาน สุดท้ายเลยย้ายมาอยู่คอนโดฯ กับแม่สองคน พอกลับบ้านทีนึงทุกคนก็ดีใจ บางทีคุณย่ายังลืมไปเลยว่ามีหลานคนนี้ (หัวเราะ) เพราะคนในบ้านเยอะมากเลย ถ้าให้เชื่อมกัน สิคมีญาติห่าง ๆ ก็คือ เจนนิส BNK48 นี่แหละ แล้วสิคก็เป็นญาติกับพี่ นภ พรชำนิ ด้วยนะ อย่างไปงาน คุณแม่ก็เคยบอกว่าเดี๋ยวพี่นภก็มางานนี้ สิคก็บอกว่าพี่เขาจะรู้จักหนูหรอ”

เรื่องเรียนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
“ช่วงนี้มีงานเยอะมาก แทบทุกวันเลยก็ว่าได้ สิคเลยลาออกจากโรงเรียน แล้วมาสอบเทียบแทน แต่ตอนนี้การเรียนก็ต้องพักไว้ก่อน เพราะว่าเราทุ่มเทกับงาน ส่วนเรื่องเรียนก็จะตั้งใจอ่านหนังสือและขยันติวให้มาก ส่วนอนาคตสิคอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่พอเข้ามาทำงานตรงนี้ความฝันเราก็ต้องทิ้งไป สิคก็เสียใจมากนะ เพราะเป็นความฝันอันดับ 1 ของเราเลย เรื่องการเป็นไอดอลยังเป็นเรื่องรอง ๆ ลงมา แต่สิคคิดว่าถ้าเรายังชะลอเรื่องการเรียนได้อยู่ก็จะยอมเรียนจบช้า เพราะเราอยากไปเรียนต่างประเทศจริง ๆ เลยคิดไว้ว่าถ้าจบการศึกษาจาก BNK48 เมื่อไหร่ก็จะไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือถ้าคุณแม่เร่งรีบและไม่ยอมจริง ๆ ก็อาจจะลงเรียนคณะอักษรศาสตร์ หรือว่านิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยในประเทศ เราก็มีแผนหนึ่ง แผนสองเตรียมไว้”

แบบนี้คิดจะออกจากวง หรือแกรด (Graduation) จาก BNK 48 ตอนไหน?
“อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น สิคเป็นคนชอบร้องชอบเต้นก็จริง แต่เป็นคนไม่ค่อยชอบออกสื่อ เราอาจเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ถ้าเจอกล้องจะมีปัญหาเลยทันที เลยคิดไว้ว่าเมื่อไหร่ที่จำชื่อ-นามสกุล วันเกิด ของสมาชิกได้ครบ 30 คน ก็จะจบการศึกษาตอนนั้นเลย เพราะตัวเราก็หาจุดจบไม่ได้เหมือนกัน เพราะเราชอบที่จะเต้นที่จะร้อง แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากอยู่แล้ว ก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เลยเอาเรื่องนี้เป็นตัวตัดสิน แต่ตอนนี้เรายังจำวันเกิดใครไม่ได้เลยสักคน (หัวเราะ)”

ตัวตนมิวสิคเป็นคนยังไง?
“สิคยังหาคาแรกเตอร์ตัวเองไม่ได้ จะอยู่ครึ่ง ๆ ระหว่างความร่าเริงกับความจริงจัง คือบางทีอาจจะดูเป็นคนที่นิ่ง ๆ แต่ก็เป็นคนที่จะชอบแสดงความรู้สึกทางสีหน้า อย่างนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ก็จะทำหน้า หา...อะไรนะ ส่วนแฟน ๆ จะบอกว่าชอบมิวสิคที่รอยยิ้ม จริง ๆ สิคเป็นคนขี้เกียจยิ้ม แต่เวลาเจอแฟนคลับแล้ว เราจะยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนมีความสุขที่เขามาหาเรา แล้วพอยิ้มมิวสิคจะตาปิดและปากเป็นรูปหัวใจ (หัวเราะ) อ๋อ...แล้วอีกอย่างก็คือ ทำเสียงเป็น ปิกาจู ได้”

ถามถึงซิงเกิ้ลที่ 3 ที่มีชื่อว่า “Shonichi”?
“ซิงเกิ้ลนี้สิคได้เป็นเซ็นเตอร์คู่กับพี่เนย ซึ่งแต่ละเพลงก่อนหน้านี้จะเป็นเซ็นเตอร์เดี่ยว ก็อยากให้ติดตามซิงเกิ้ลนี้มาก ๆ เป็นเรื่องราวของพวกเราตั้งแต่เข้ามาในวง และความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเรา ความสัมพันธ์กับเพื่อนภายในวง เพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ กันมาตลอด ทุกอย่างจะถูกใส่ไว้ในเพลงนี้ทั้งหมดเลย ตอนที่อยู่ด้วยกันพี่ตาหวานยังเคยบอกเลยว่าฟังเพลงนี้แล้วจะร้องไห้ ส่วนตัวเราไม่ได้หวังว่ามันจะบูมเท่าซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้ อย่างน้อยแค่มีคนฟังก็ดีใจแล้ว เพราะเป็นเพลงที่มีความหมายมาก ๆ”

กดดันไหมที่กลับมาทำหน้าที่เซ็นเตอร์อีกครั้ง?
“กดดันมากค่ะ ก่อนหน้านี้สิคเป็นเซ็นเตอร์คนแรกของวงในเพลง “Aitakatta อยากจะได้พบเธอ” แต่สุดท้ายสิ่งที่เราคิดว่าเซ็นเตอร์ควรจะได้ กลับไม่ได้เท่าที่เราคิดไว้ คือเราเต็มที่ เต็มร้อยมาก ๆ บางคนอาจจะคิดว่าเซ็นเตอร์ก็แค่คนที่อยู่ตรงกลาง แต่สำหรับสิคมองว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ เราเหมือนเป็นตัวแทนของเพลงนั้น ที่ต้องสื่อให้คนเข้าใจความหมายของเพลง และต้องพาเพื่อน ๆ ของเราไปให้อินไปกับบทเพลงด้วย เลยคิดว่าถ้าเพื่อนพยายาม เราต้องพยายามมากกว่า ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงที่เครียดมาก เพราะเรายังไม่ได้สนิทกับเมมเบอร์ขนาดนั้น อาจจะมีปัญหาตามประสาสาว ๆ และสิคเป็นคนที่ไม่ชอบพูดออกสื่อ พอพูดคุยก็จะอึกอัก แต่ซิงเกิ้ลที่ 2 เราก็สนิทกับเพื่อนมากขึ้น มีน้องโมบายมาเป็นเซ็นเตอร์ด้วย ก็ผ่อนคลายมากขึ้น ได้คุยกับเพื่อน ๆ ทุกคนมากขึ้น และเราก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่กดดันที่สุดแล้ว”

ย้อนกลับไปตอนซิงเกิ้ลที่ 2 รู้สึกยังไงที่ไม่ได้เป็นเซ็นเตอร์?
“ความรู้สึกจริง ๆ ที่อยากจะแสดงออกคือสิคไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คนเราก็ต้องมีความหวังใช่ไหม ในความหวังลึก ๆ ก็เสียใจแหละ เพราะเราก็อยากทำให้ได้ แต่กลายเป็นว่าพอไม่ได้เป็นเซ็นเตอร์แล้วก็โล่งใจกว่าที่คิดไว้เลย เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเรามากขึ้น ไม่ได้กดดันเท่าเมื่อก่อน และหลาย ๆ ครั้งความคาดหวังจะไม่ลงมาที่เราคนเดียว จะแชร์ ๆ กันไป แล้วเราก็เข้าใจคนที่อยู่ตำแหน่งนั้น อย่างโมบาย จริง ๆ น้องเขาเป็นคนร่าเริงนะคะ แต่ก็มีช่วงที่เห็นได้ชัดว่าน้องแอบท้อเหมือนกัน พอจุดที่ตกลงมา ทำให้เราได้เข้าใจว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร ได้เห็นหลาย ๆ มุมมอง สิคคิดว่าการที่เราได้ตกลงมาก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้เห็นอะไรชัดขึ้น สิคเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ “โอม ค็อกเทล” ก่อนหน้านี้พี่เขาเป็นคนที่เคยมาแนะนำพวกเรา BNK 48 และล่าสุดมีโอกาสได้เจอพี่โอมที่รายการเดอะแมส ซิงเกอร์ พี่โอมก็ถามว่าเป็นยังไงบ้างมิวสิค เห็นข่าว เราก็บอกว่าเครียดมากเลย เราหาคาแรกเตอร์ของเราไม่ได้จริง ๆ ทุกอย่างมันดูช้าไปหมดเลย พี่โอมก็บอกช้าสิดี เหมือนเวลาเราจะถูกยิงกระสุน กระสุนปืนพุ่งมาทางเรา ถ้าเกิดมันเร็วเราจะมองอะไรไม่เห็นเลย รู้ตัวอีกทีคือตายแล้ว แต่ถ้ามาช้า ๆ เราจะเห็นว่าใครเป็นคนยิง กระสุนจะวิ่งมาเร็วเท่าไหร่ มาทางไหน เราต้องวิ่งให้เร็วเท่าไหร่ หรือหลบได้ไหม พี่เขาสอนดีมากเลย ซึ่งสิคก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงนะ ช้า ๆ สิดี ที่จะทำให้เราได้เห็นอะไรมากขึ้น”

ตอนนั้นที่อัดคลิปร้องไห้ที่เป็นข่าว ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้น?
“จริง ๆ แล้วที่ญี่ปุ่น AKB 48 แฟนคลับเขาจะมีความเข้าใจมากกว่า เพราะเป็นวงที่เป็นการแข่งขันจริง ๆ ซึ่งสิคคิดว่าบางทีอะไรที่เราคิดแล้วเก็บไว้ในใจก็อึดอัดเกินไปจนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แน่นอนว่าวงเรามี 26 คน ไม่ใช่ทุกคนอยู่แล้วที่จะได้งานเท่ากัน บางทีจะมีเรื่องการเทงานไปที่คนใดคนหนึ่ง เราเลยรู้สึกว่าเราต้องฮึดสู้ ไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่เพื่อคนที่ไม่ได้งานเลยด้วย สิคเลยพูดออกไป ซึ่งหลังจากนั้นทุกคนก็ได้งานหมดเลย จริง ๆ วันนั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยถ้าสื่อไม่ได้เอาไปนำเสนอต่อ แต่หลังจากเป็นข่าวสิคก็ได้คุยกับพี่จ๊อบซัง ผู้จัดการวง พี่เขาบอกว่าอยากให้เราคิดให้ดีกว่านี้ แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่เราสื่อออกไป แต่บางทีสิ่งที่เราพูด กับสิ่งที่ผู้ฟังคิดอาจจะไม่ตรงกัน เลยเป็นการตักเตือนแบบฉบับเล็กน้อย”

แล้วแฟนคลับว่ายังไงบ้าง?
“แฟนคลับก็มีทั้งที่เกลียดหนูไปเลย และบางส่วนที่เข้าใจ แต่ถ้าเขาจะไม่ชอบหนูเขาก็ไม่ผิด เพราะเราก็สื่อสารไม่ดีเหมือนกัน อีกอย่างจุดที่เรายืนอยู่ตรงนี้ถ้าไม่ได้มาเห็นก็เข้าใจยาก เพราะการแข่งขันในวงเราโหดมาก แต่ล่าสุดก็มีโปรเจคท์ที่แฟนคลับทำป้ายเซอร์ไพร้ส์วันเกิดในสถานีรถไฟใต้ดิน และป้ายโฆษณาบนห้าง ก็ทำให้เรารู้สึกดีว่า ถึงแม้จะมีคนที่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังมีคนที่อยู่ข้าง ๆ เรา เป็นน้ำใจที่เขาอยากทำให้เรา จริง ๆ สิคก็แอบรู้สึกว่าเปลืองนะ (หัวเราะ) แต่ก็ดีใจมาก ๆ เลยที่เขาทำให้ขนาดนั้น วันนั้นผ่านไปก็แวะไปถ่ายรูปด้วย”

พอเริ่มมีชื่อเสียง ทำให้คนจับตามองมากขึ้น ใช้ชีวิตลำบากไหม?
“ช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ไม่มีใครมาทักเลย แต่เดี๋ยวนี้ก็มีบ้างที่มีคนมาทักว่า อ้าว...มิวสิค นี่นา จริง ๆ ก็แอบใช้ชีวิตยากหน่อยเวลาอยากจะทำอะไรสักอย่าง หรือเวลาจะไปไหนมาไหน การเป็นไอดอลก็ทำให้ชีวิตส่วนตัวเราหายไป จะใช้สินค้าอะไรก็ต้องระมัดระวัง ต้องระมัดระวังหมดทุกอย่าง แต่สิคก็ว่าเราก็ได้เห็นมุมมองต่าง ๆ ที่คนเขาไม่เคยเห็น”

แล้วการต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของวงล่ะ?
“สิคเป็นคนไม่ชอบทำอะไรในกฎเกณฑ์อยู่แล้ว ชอบทำอะไรที่แหวก ๆ ซะมากกว่า ช่วงแรกที่ต้องมาอยู่ในกฎเกณฑ์ก็อาจจะดื้อนิดหน่อย แต่จริง ๆ ทั้งหมดก็เป็นกฎที่ทำมาเพื่อตัวเราแหละ อย่างช่วงที่สิคดื้อ ก็มีถ่ายรูปกับเพื่อนในโรงเรียน กับครอบครัว ตอนแรกเราคิดว่าผิดมากเลย แต่พอถามพี่จ๊อบซัง พี่เขาก็บอกว่า นั่นก็ครอบครัว ไม่เป็นไร (หัวเราะ)”

ชีวิตวัยรุ่นเราหายไปไหม?
“ก็หายไปนะคะ แต่ไม่ได้หายไป 100 เปอร์เซ็นต์ คือเพื่อนสมัยมัธยมเราอาจจะห่าง ๆ กันไปเลย แต่การได้มาอยู่ในวง BNK 48 ก็เหมือนเป็นทั้งโรงเรียนและครอบครัว ทุกครั้งที่มีสอบ ก็เหมือนเป็นสอบของโรงเรียนเลย เราจะวุ่นวายกันหมด ตอนนี้พวกเราอาจจะเหมือนอยู่ ม.1 ซึ่งพอรุ่น 2 เข้ามาก็คงเหมือนขยับไปอยู่ ม.2 เพราะเริ่มมีน้อง ๆ และจริง ๆ เมมเบอร์ในวง BNK48 เรารักกันมากเลยนะคะ เราไม่เคยทะเลาะกันจริงจังสักครั้งนึง และถ้าใครมาว่าเพื่อนในวง สิคคงโกรธมาก ๆ เพราะทุกคนก็ดีกับเรา”

วางแผนชีวิตในวงการบันเทิงหลังจากนี้ยังไง?
“หลังจากจบจาก BNK 48 แล้ว สิคก็ยังไม่รู้อนาคตเหมือนกัน แต่ถ้าทำอะไรที่ต่อยอดได้ เราก็คงทำ เพราะว่าเราค่อนข้างมาไกลแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากัน”

สุดท้ายให้ฝากถึงแฟนคลับหน่อย?
“ก็ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 1 ปีนะคะ ก็อยากอยู่กับทุกคนไปอีกนาน ๆ เลย เราเองก็อยากจะเป็นพลังให้แฟน ๆ ต่อไป และในทางกลับกันก็อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้สิคด้วย และต่อจากนี้สิคจะพัฒนาตัวเองต่อไปในหลาย ๆ เรื่อง ก็ไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง...สู้ ๆ นะคะ เย้!”

เราเชื่อเหมือนกันว่า ความตั้งใจและทุ่มเทเต็มร้อยของมิวสิค จะไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังแน่นอน...สู้ๆ

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง
สันติ มฤธนนท์ : ภาพ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่