พันธุ์หมาบ้า ปั้นแบรนด์แบบชาติ ช้าแต่ชัวร์




เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา  ณ ห้องพระราม 2 ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2  ผมได้ไปนั่งฟังนักเขียนรางวัลซีไรท์สองสมัย “ชาติ กอบจิตติ” พูดถึงรายละเอียดของชีวิตในช่วงนี้  ในหัวข้อ “พันธุ์หมาบ้า ปั้นแบรนด์แบบชาติ ช้าแต่ชัวร์”  โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้ครับ

(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้  ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่  ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด  หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง  ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ  ขอบคุณมากครับ)





พิธีกรถามว่า ปัจจุบันชาติ กอบจิตติ ยังเขียนงานอยู่หรือไม่?

ชาติ กอบกิตติ ตอบว่าผมยังเขียนหนังสืออยู่ ในเฟสบุ๊คก็ยังเขียน โดยอาจจะเขียนสั้นลงหน่อย แต่ก็ยังเป็นการฝึกฝีมือการเขียนอยู่เรื่อยๆ ตัวผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เท่าไหร่  ชอบทำโน่นทำนี้ไปเรื่อย

-ผมยังมีนวนิยายที่เขียนค้างอยู่ คือว่ามันติดอยู่นานแล้ว มันยังไปต่อไม่ได้ ที่ติดมันเป็นเรื่องของความคิดที่ยังค้างอยู่  ที่ผ่านมาการเขียนของผมทั้งหมดจะมีการวางพล็อตไว้ก่อน  คือต้องเห็นเรื่องชัดเจนก่อนแล้วจึงเขียน

-ส่วนเรื่องที่กำลังเขียนติดค้างอยู่นี้  มันง่ายเกินไปที่จะทำอะไรซ้ำๆ  ผมจึงลองใช้วิธีการเขียนโดยไม่มีโครงเรื่องดู  ลองเขียนปล่อยให้ตัวละครมันไปของมันเรื่อยๆ  แต่พอเขียนไปแล้วกลัวว่ามันจะเละเทะเลยต้องหยุดไว้ก่อน ตอนเขียนผมให้ตัวละครมันสร้างพล็อตของมันเอง เขียนเหมือนใช้วิธีด้นสด

-เรื่องที่เขียนติดค้างนี้  ผมเริ่มไว้ตั้งแต่ประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว สมัยที่ตัวละครยังอัดเทปอยู่  พอตัวละครมันมีปัญหามันก็จะพูดใส่เทปอัดเอาไว้แล้วก็เอาไปถอดเทป ซึ่งปัจจุบันมันกลายเป็นเรื่องล้าสมัยที่ทำให้เขียนต่อไม่ได้ ถ้ายังจะใช้คงต้องใส่มิติของเวลาเอาไว้ด้วยจะได้ไม่เชยจนเกินไป



พิธีกรถามว่า  มองการเปลี่ยนแปลงในวงการหนังสือปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง?

ชาติ กอบจิตติ ตอบว่ามองว่าในยุคสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงตางๆ ที่เกิดขึ้นในโลก  เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโดยฝฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น  แต่ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากเครื่องจักรกล ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์หรือเทคโนโลยี

-สตีฟ จ๊อบ เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงโลก  ทำให้คนเราทุกวันนี้ต้องก้มหน้าตลอด (ก้มหน้าเล่นสมาร์ทโฟน)

-บางครั้งการเปลี่ยนแปลงมันก็ไปเร็วจนตามไม่ทัน  ตัวเราไม่ต้องไปเร็วตามมันก็ได้ อะไรที่ควรจะไตร่ตรองก็ช้าบ้างก็ได้

-เดี๋ยวนี้คนไม่อ่านหนังสือแล้ว คนเล่นแต่โทรศัพท์ เล่นแต่มือถือ  ก็ถือว่ามันเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราต้องเข้าใจว่า  เด็กในยุคนี้มันโตมากับสิ่งเหล่านี้  ไม่เหมือนยุคผมที่ผมโตมากับลูกหินลูกข่าง



พิธีกรถามว่า ความเร็วของเทคโนโลยี  มีผลต่อการเขียนของชาติ กอบจิตติไหม?

ชาติ กอบจิตติ ตอบว่า เราก็ช้าแบบของเราได้  แต่เราก็ต้องวิ่งเร็วแบบของเขาให้ได้เช่นกัน  เราต้องตามเขาให้ทัน  เทคโนโลยีมันมีอยู่เราควรใช้มันให้เป็น  ควรใช้มันให้ได้ประโยชน์ อย่าไปปฏิเสธเทคโนโลยีเลย

-ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้หยุดเขียนงานเลย แต่ก็ยังเขียนอยู่ในโลกออนไลน์บ้าง  อย่างผลงานเล่มสุดของผมเรื่อง “fackbook : โลกอันซ้อนกันอยู่” ลองไปอ่านกันดู เล่มนี้มันสรุปชีวิตผมตลอด 60 ปีที่ผ่านมา  เล่มนี้แสดงวิธีคิดของคนที่ใช้ชีวิตมา 60 ปีแล้ว ถือว่าเป็นบันทึกช่วงหนึ่งของชีวิต ที่พูดเรื่องบ้าน พูดเรื่องทัศนะความคิดต่างๆ



พิธีถามว่า  ได้ข่าวว่านักเขียนคลาสิคอย่างชาติ กอบจิตติ หันไปทำนามีสาเหตุเพราะอะไร?

ชาติ กอบจิตติ ตอบว่าผมมีที่นาที่โคราช  เลยปากช่องไปประมาณ 40 กม. ตอนนี้ปลูกข้าวชีวภาพอยู่ คือไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แต่ยังไม่ถือว่าเป็นระบบอินทรีย์ 100%  แต่ก็จะพยายามทำให้เป็นอย่างเต็มสมบูรณ์ให้ได้

-คือว่าบางครั้งเราควรจะเลือกกินด้วยว่า  อะไรที่ปลอดภัยควรบริโภคได้  อะไรที่ไม่ปลอดภัยบริโภคไม่ได้ อย่างอาหารที่เขาขายกัน  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาใส่อะไรบ้าง  แต่ถ้าเราปลูกเราผลิตของเราเองเราก็เชื่อมั่นได้

-ที่นาที่โคราชของผม  ตรงนั้นน้ำยังดีอยู่  ได้อากาศที่ดีด้วย  ผมจึงออกไปใช้ชีวิตอยู่ในชนบท  ออกไปโอบกอดธรรมชาติ  อยู่ที่นั้นผมกินน้ำฝนได้อย่างสบายใจ  แต่พอเข้าเมืองมาน้ำดื่มขวดละ 10 บาท ผมยังไม่กล้ากินเลย ไม่แน่ใจว่ามันจะสะอาดจริงไหม

-จริงๆ แล้วผมเป็นคนมหาชัย  ผมเกิดที่มหาชัย  พ่อผมมีที่ดินอยู่ที่มหาชัย  ท่านเคยถามผมว่าเราก็มีที่ดินของเราทำไมต้องไปอยู่ที่นั้นด้วย?  คือปัจจุบันนี้ที่มหาชัยมันเป็นเมืองอุตสาหกรรม  ฝนที่ตกมาเป็นฝนกรดหมดแล้ว  น้ำฝนก็กินไม่ได้แล้ว มันไม่ได้เป็นธรรมชาติอย่างที่ผมต้องการแล้ว



พิธีกรถามว่า  ทำไมถึงปั้นแบนด์พันธุ์หมาบ้าขึ้นมา?

ชาติ กอบจิตติ ตอบว่า  เรื่องของเรื่องคือถ้าผมมีเงินแล้วผมชอบลงทุน ผมไม่เชื่อในระบบฝากเงินกินดอกเบี้ยของธนาคาร  ผมเอาเงินผมมาลงทุนเองดีกว่า   แต่ปัจจุบันนี้ลงทุนไปแล้วมันยังไม่ได้คืน  ผมจึงต้องลงมาทำเองเกือบทั้งหมด

-มีน้องคนหนึ่งที่รู้จักกันดีมาชวนทำเสื้อยืด ผมก็มีแบรนด์พันธุ์หมาบ้าอยู่แล้วก็เลยไปทำกับเขา  เรื่องเสื้อผ้าพอเราเข้าไปทำแล้วถ้าไม่รู้จริงมันจะเหนื่อย  ผมจึงต้องหาความรู้ในเรื่องนั้นๆ  ต้องไปหาคนที่รู้ไปคุยกับเขา ไปคุยกับโรงงานด้วย

-ผมทำเสื้อยืดทำด้วยระบบการ์เม้นท์ดราฟ  คือต้องตัดเสื้อยืดขึ้นมาเป็นตัวก่อน  แล้วค่อยเอาไปย้อมทีละตัว  เนื้อผ้ามันถึงออกมาดี  แต่ในมันก็มีการสูญเสียในระบบเยอะเหมือนกัน

-ถ้าเอาผ้ามาวางผืนหนึ่งแล้วตัดเป็นเสื้อยืดเลย งานแบบนี้มันระดับต่ำหน่อย แต่ของเราใช้ระบบโรงงานทำ  เป็นระบบการ์เม้นท์ดราฟที่มีมาตราฐานกว่า ซึ่งมันก็มีปัญหาด้านราคา  เพราะเสื้อยืดเราขายแพงกว่าเจ้าอื่น

-ผมทำเสื้อยืดขายก็เหมือนกับที่ผมเขียนหนังสือ คือผมคิดว่าถ้าทำมันออกมาดีมันก็จะอยู่ได้นาน ทำเสื้อก็เหมือนกันเพราะเสื้อที่คุณภาพดีจะใช้ได้นานกว่า  เวลาทำเราก็ต้องห่วงชื่อเสียงของเราด้วย  ถ้าเราทำมาหากินอย่าให้ใครด่าเราได้ว่าเราทำของชุ่ยๆ ออกมาขาย

-ผมทำเสื้อผ้าก็เหมือนทำให้ตัวเองใส่ด้วย ถ้าทำแล้วขายไม่ได้ผมก็คิดว่าผมมีเสื้อผ้าใส่เอง  ถ้าเราทำใส่เองแล้วเราทำชุ่ยก็แย่แล้ว กางเกงยีนส์ก็เหมือนกัน คนสูงวัยอยากใส่กางเกงยีนส์แต่ใส่ไม่ได้  เพราะว่ามันแข็งมาก ผมจึงทำกางเกงยีนส์เนื้อผ้านุ่มๆ ให้ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย

-คนรุ่นผมจะได้ใส่กางเกงยีนส์ที่นุ่มๆ ได้ คือยีนส์ที่ผมทำเนื้อผ้ามันนุ่มมากไม่แข็งเลย ใส่แล้ววิญญาณของยีนส์ยังคงอยู่  คือว่าทุกวันนี้เราไม่ได้ขี้ม้ากันแล้ว แต่ใส่ยีนส์แล้วยังได้ความรู้สึกของความเป็นคันทรีอยู่

-สินค้าที่ผมทำมีหลากหลายมาก ทั้งเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าผ้า ฯลฯ (ที่เหลือผมจดไม่ทันครับ)

-เวลาเราทำธุรกิจเราต้องผลิดของดีออกมาก่อน แล้วค่อยว่ากันว่าจะขายอย่างไร?  ถ้าเราทำของไม่ดีออกมาขายก็เท่ากับไปหลอกลวงเขา  เขาจะมาด่าคุณพ่อคุณแม่เราได้  ต้องทำให้ได้ของดี แต่จะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงแม้จะช้าแต่เราก็อยู่ได้

-เมื่อเราทำของดีออกมาแล้ว  เราก็ต้องทำให้โลกรู้ว่าเรามีของดี  เราต้องโฆษณาให้รู้กันแบบปากต่อปากให้ได้ เราต้องทำการตลาดในโลกออนไลน์ด้วย ทั้งเฟสบุ๊ค อินตราแกรม ต้องลงขายให้หมด

-ช่องทางหลักในการขายของผมคือ เฟสบุ๊คพันธุ์หมาบ้า และเฟสบุ๊คชาติ กอบจิตติ

-นอกจากนั้นต้องตะเวณออกร้านตามงานอีเวนท์ต่างๆ   เพื่อหาทางพูดคุยประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาจับเนื้อผ้าดู ให้เขามาสนใจแบรนด์เรา แล้วเขาจะไปหาซื้อทางช่องทางออนไลน์เอง

-โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้คนหันมาขายสินค้าทางออนไลน์กันเยอะมาก เพราะมันมีข้อดีคือ  เราไม่ต้องเช่าร้าน ไม่ต้องมีพนักงานขายประจำร้าน แต่เราขายของไต้ลอด 24 ชั่วโมง และขายได้ทั่วโลกด้วย

-โชคดีที่ทั่วโลกพอจะรู้จักผมบ้าง  เพราะหนังสือของชาติ กอบจิตติ แปลไปหลายภาษามาก ทั้งอังกฤษ , จีน, ฝรั่งเศส , เยอรมัน , ญี่ปุ่น , เกาหลี , มาเลย์ , เวียดนาม  มีหลายเล่มที่ตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศที่มีขายเฉพาะในประเทศนั้น ๆ ไม่ได้เอาหนังสือเข้ามาขายในไทยก็มี

-สรุปแล้วคือของเราต้องดีก่อน  ถึงจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร รวมทั้งช่องทางออนไลน์ที่เป็นช่องทางใหม่  มันเกิดขึ้นมาในจังหวะที่พอดีกันเลย





พิธีกรถามว่า จะหาซื้อสินค้าแบรนด์พันธุ์หมาบ้าได้ที่ไหนบ้าง?

ชาติ กอบจิตติ ตอบว่า ตอนนี้มีร้านขายสินค้าพันธุ์หมาบ้าเป็นสาขาที่เขาไปตั้งเอง  มีอยู่ประมาณ 8-9 สาขา เช่นที่สัตหีบ , ลพบุรี , ตรัง , มหาชัย ฯลฯ  ส่วนในกรุงเทพฯ มีสาขาเดียวที่ตลาดรถไฟ  ถนนศรีนครินทร์ ในกรุงเทพฯ เราต้องเก็บไว้กินเองก่อน ส่วนร้านสาขาเขาก็มีขายออนไลน์ด้วย เขาทำช่องทางขายออนไลน์ของเขาเอง ถือว่าช่วยๆ กันขาย  จะได้ขายทั่วถึง อย่าไปกินคนเดียว กินคนเดียวมันไม่เยอะ  ต้องกินกันหลายๆ คน

-ส่วนราคาขายต้องพอที่จะจับต้องได้  ขายในราคาที่มีคุณภาพ  ส่วนกลุ่มลูกค้า เป็นชนชั้นกลางถึบน กลุ่ม B+ ไปจนถึง A

-ส่วนมากลูกค้าที่ซื้อไปไม่ค่อยมีปัญหา  เพราะว่าของที่เราทำมาแล้ว  เราจะเอามาลองใช้เองก่อนเพื่อดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าเราคุมคุณภาพให้อยู่หรือปรับคุณภาพขึ้นมาอีกนิด  เราก็ปรับราคาขึ้นได้อีก

-เคยคิดว่าจะทำแบบเมดทูออร์เดอร์  แต่ว่ายังทำไม่ได้  คือคิดไว้อยากทำเป็นคลีนิคยีนส์ ให้คนเข้ามาสั่งตัดยีนส์ แต่ยังทำให้ถึงจุดนั้นไม่ได้

-ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนคิดแล้วไปหาคนทำให้ ทำออกมาให้อย่างที่ผมอยากได้ คือจ้างคนมาทำแทน  ปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตให้มากกว่า 1 ราย

-จะทำอะไรก็แล้วแต่  ต้องทำให้สนุกไว้ก่อน ถ้าไม่สนุกแล้วอย่าไปทำมัน  มันจะปวดหัว  ให้สนุกกับมันไว้ก่อนดีกว่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่