สวัสดีค่ะชาวพันทิพ
สืบเนื่องมาจากได้อ่านบทสัมภาษณ์ของน้องอิมเมจ The voice เรื่องการถูกคุกคามทางเพศด้วยวาจา จขกท.เลยลองวิเคราะห์ดูเล่นๆว่า ตกลงมันผิดที่ฝ่ายใดกันแน่ โดยเป็นความคิดเห็นตัวของ จขกท. เองหากใครมีข้อโต้แย้งหรือข้อถกเถียง ยินดีรับฟังอย่างยิ่งค่ะ
เริ่มกันที่ข้อ 1.การปฏิบัติตัวของผู้หญิง อันนี้มีการสั่งสอนต่อๆกันมาอย่างช้านาน ว่าต้องรักนวลสงวนตัว แต่งตัวมิดชิด กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ซึ่งพอยุคสมัยเปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนหมดค่ะ แต่ จขกท. คิดว่าการแต่งตัวมิดชิดไม่ได้ป้องกันการถูกข่มขืนแต่อย่างใด แต่เป็นการเพิ่มคุณค่าในตัวผู้หญิงมากกว่า ให้ดูดีมีอะไรน่าลุ้นน่าค้นหา ซึ่งปัจจุบันในหลายๆกรณีที่เป็นข่าว คนที่เป็นเหยื่อทางเพศก็ไม่ได้แต่งตัวโป๊ รวมไปถึงเหยื่อที่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ ดังนั้นทางแก้ที่ให้ผู้หญิงแต่งตัวมิดชิดนั้น ยังดูไม่ค่อยถูกจุดเท่าไหร่
ข้อ 2. การปลูกฝังของผู้ชาย ดังที่น้องอิมเมจว่า ให้ปลูกฝังเรื่องการให้เกียรติผู้หญิงกับผู้ชายบ้าง อันนี้ก็ถูก แต่..การให้เกียรติเพศแม่ จขกท.คิดว่ามันเป็นนิสัยธรรมชาติของผู้ชายอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นจะดึงมาใช้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ควรปลูกฝังคือ หลักสิทธิมนุษยชน ง่ายๆคือการสอนให้เห็นคุณค่าของผู้หญิงดังเช่นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงวัตถุทางเพศหรือสัญลักษณ์ของเซ็กส์ ซึ่งน่าจะเห็นภาพมากกว่า
ข้อที่ 3.การอ้างอิงวัฒนธรรมของต่างประเทศ ข้อนี้ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นอินฟินิตี้ ประเทศเราดึงวัฒนธรรมบางอย่างของเมืองนอกมาใช้ แต่ดันเอามาไม่หมด เช่นการมีอิสระเสรีภาพทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน รวมไปถึงเรื่องเพศด้วย จะเห็นได้ว่าประเทศเราเริ่มมีการสอนเรื่องเพศศึกษามากขึ้น (แต่ก็ดูไม่เห็นจะได้ผลเท่าไรนัก) ผู้หญิงเราก็รู้สึกฟรีดอมมากขึ้นและไฮแฟชั่นสุดๆ เสื้อผ้าเสื้อผ่อนก็เข้ากับอากาศร้อนๆ มีเปิดวับๆแวมๆบ้างพอให้เห็นของดี บรรดาคุณผู้ชายก็ชอบสิคะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ได้ดึงจากเมืองนอกมาใช้บ้างคือ การเคารพสิทธิของคนอื่นนั้นเองและการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง (ซึ่งเดี๋ยวกล่าวต่อไปนะคะ) ทำให้เวลามีข่าวฆ่าข่มขืนเกิดขึ้น คนส่วนหนึ่งก็โทษผู้หญิงแต่งตัวโป๊บ้าง ให้ท่าบ้าง บลาๆๆ ซึ่งความจริงแล้วต่อให้ไม่ว่าผู้หญิงหรือชายจะแก้ผ้าเดิน ก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรเขา
ดังนั้น สรุปข้อนี้ได้ว่า วัฒนธรรมและการสั่งสอนประชากรของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ถ้าจะดึงของเขามาใช้ก็เอามาให้หมดเถิดค่ะ เอาเหตุผลของสิ่งนั้นมาด้วยมาปรับใช้กับบ้านเราให้ถูก ไม่ใช่เขาทำได้ฉันก็ทำได้
ข้อ 4. สิทธิและการบังคับใช้กฏหมาย จขกท.เห็นปัญหานี้ของคนไทยหนักกว่าเรื่องอื่น เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักแต่สิทธิของตัวเองแต่ของคนอื่นนั้นหารู้จักไม่ สิทธิคือสิ่งที่กฏหมายรับรองหรือคุ้มครองให้ เมื่อเริ่มสภาพบุคคล ตั้งแต่คลอดจนอยู่รอดเป็นทารก ง่ายๆคือ ทุกคนมีสิทธิส่วนตัวและบุคคลอื่นจะมาละเมิดหรือจำกัดสิทธิไม่ได้นั่นเอง เรามองข้ามเรื่องนี้ไปชนิดที่ว่าแทบไม่ได้มีการปลูกฝังสิทธิกันในครอบครัว เพราะมันยากเกินและไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเราก็ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น โดยอ้างว่ามีสิทธิที่จะทำเหมือนกัน เอ๊าาา !! นี่แหละค่ะที่เรียกว่าไม่เคารพสิทธิผู้อื่น กรณีของน้องอิมเมจที่โดนคุกคามทางเพศด้วยวาจาหรือตัวหนังสือ โดยผู้กระทำก็อ้างว่าตนมีสิทธิที่จะพูดหรือออกความเห็นได้ แต่มันทำให้น้องอิมเมจเกิดความระแวงขึ้น จนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ อยากใส่เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่กล้าใส่ ต้องออกมาตัดพ้อบ่นบรรดาคุณผู้ชายบ่อยๆ นี่ก็เรียกว่าละเมิดสิทธิโดยอ้อมแล้วค่ะคุณขา ดังนั้น จขกท.คิดว่าการปลูกใังให้เคารพสิทธิผู้อื่นและใช้สิทธิของตัวเองอย่างถูกต้องโดยไม่ส่งผลกับคนอื่น อาจจะครอบคลุมมากกว่า
จบค่ะ!! ยังมีอีกมากกว่านี้แต่คงต้องพอแค่นี้ก่อน แค่นี้ก็คงเบื่อกันแย่ สรุปได้รวมๆว่า มันไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงหรือผู้ชายฝ่ายเดียวหรอกค่ะ เราไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำกันทั้งสองฝ่ายคือ การแสดงออกอย่างเหมาะสมให้มันถูกกาลเทศะ นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ดี รวมไปถึงการยับยั้งชั่งใจทั้งผู้ชายและผู้หญิง
อยากฝากไว้อีกเรื่องนึง คืออย่าด่ากฏหมายว่าไม่ดีหรือห่วยเลยนะคะ กฏหมายเป็นแค่เครื่องมือ มันจะออกมารูปแบบอยู่ที่คนจะใช้มันทำอะไรมากกว่า
ย้ำอีกทีว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็น คหสต.ของจขกท.
ถ้าแท็กผิดขออภัยค่ะ
ผิดที่ผู้ชาย....จริงหรือ???
สืบเนื่องมาจากได้อ่านบทสัมภาษณ์ของน้องอิมเมจ The voice เรื่องการถูกคุกคามทางเพศด้วยวาจา จขกท.เลยลองวิเคราะห์ดูเล่นๆว่า ตกลงมันผิดที่ฝ่ายใดกันแน่ โดยเป็นความคิดเห็นตัวของ จขกท. เองหากใครมีข้อโต้แย้งหรือข้อถกเถียง ยินดีรับฟังอย่างยิ่งค่ะ
เริ่มกันที่ข้อ 1.การปฏิบัติตัวของผู้หญิง อันนี้มีการสั่งสอนต่อๆกันมาอย่างช้านาน ว่าต้องรักนวลสงวนตัว แต่งตัวมิดชิด กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ซึ่งพอยุคสมัยเปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนหมดค่ะ แต่ จขกท. คิดว่าการแต่งตัวมิดชิดไม่ได้ป้องกันการถูกข่มขืนแต่อย่างใด แต่เป็นการเพิ่มคุณค่าในตัวผู้หญิงมากกว่า ให้ดูดีมีอะไรน่าลุ้นน่าค้นหา ซึ่งปัจจุบันในหลายๆกรณีที่เป็นข่าว คนที่เป็นเหยื่อทางเพศก็ไม่ได้แต่งตัวโป๊ รวมไปถึงเหยื่อที่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ ดังนั้นทางแก้ที่ให้ผู้หญิงแต่งตัวมิดชิดนั้น ยังดูไม่ค่อยถูกจุดเท่าไหร่
ข้อ 2. การปลูกฝังของผู้ชาย ดังที่น้องอิมเมจว่า ให้ปลูกฝังเรื่องการให้เกียรติผู้หญิงกับผู้ชายบ้าง อันนี้ก็ถูก แต่..การให้เกียรติเพศแม่ จขกท.คิดว่ามันเป็นนิสัยธรรมชาติของผู้ชายอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นจะดึงมาใช้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ควรปลูกฝังคือ หลักสิทธิมนุษยชน ง่ายๆคือการสอนให้เห็นคุณค่าของผู้หญิงดังเช่นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงวัตถุทางเพศหรือสัญลักษณ์ของเซ็กส์ ซึ่งน่าจะเห็นภาพมากกว่า
ข้อที่ 3.การอ้างอิงวัฒนธรรมของต่างประเทศ ข้อนี้ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นอินฟินิตี้ ประเทศเราดึงวัฒนธรรมบางอย่างของเมืองนอกมาใช้ แต่ดันเอามาไม่หมด เช่นการมีอิสระเสรีภาพทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน รวมไปถึงเรื่องเพศด้วย จะเห็นได้ว่าประเทศเราเริ่มมีการสอนเรื่องเพศศึกษามากขึ้น (แต่ก็ดูไม่เห็นจะได้ผลเท่าไรนัก) ผู้หญิงเราก็รู้สึกฟรีดอมมากขึ้นและไฮแฟชั่นสุดๆ เสื้อผ้าเสื้อผ่อนก็เข้ากับอากาศร้อนๆ มีเปิดวับๆแวมๆบ้างพอให้เห็นของดี บรรดาคุณผู้ชายก็ชอบสิคะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ได้ดึงจากเมืองนอกมาใช้บ้างคือ การเคารพสิทธิของคนอื่นนั้นเองและการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง (ซึ่งเดี๋ยวกล่าวต่อไปนะคะ) ทำให้เวลามีข่าวฆ่าข่มขืนเกิดขึ้น คนส่วนหนึ่งก็โทษผู้หญิงแต่งตัวโป๊บ้าง ให้ท่าบ้าง บลาๆๆ ซึ่งความจริงแล้วต่อให้ไม่ว่าผู้หญิงหรือชายจะแก้ผ้าเดิน ก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรเขา
ดังนั้น สรุปข้อนี้ได้ว่า วัฒนธรรมและการสั่งสอนประชากรของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ถ้าจะดึงของเขามาใช้ก็เอามาให้หมดเถิดค่ะ เอาเหตุผลของสิ่งนั้นมาด้วยมาปรับใช้กับบ้านเราให้ถูก ไม่ใช่เขาทำได้ฉันก็ทำได้
ข้อ 4. สิทธิและการบังคับใช้กฏหมาย จขกท.เห็นปัญหานี้ของคนไทยหนักกว่าเรื่องอื่น เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักแต่สิทธิของตัวเองแต่ของคนอื่นนั้นหารู้จักไม่ สิทธิคือสิ่งที่กฏหมายรับรองหรือคุ้มครองให้ เมื่อเริ่มสภาพบุคคล ตั้งแต่คลอดจนอยู่รอดเป็นทารก ง่ายๆคือ ทุกคนมีสิทธิส่วนตัวและบุคคลอื่นจะมาละเมิดหรือจำกัดสิทธิไม่ได้นั่นเอง เรามองข้ามเรื่องนี้ไปชนิดที่ว่าแทบไม่ได้มีการปลูกฝังสิทธิกันในครอบครัว เพราะมันยากเกินและไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเราก็ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น โดยอ้างว่ามีสิทธิที่จะทำเหมือนกัน เอ๊าาา !! นี่แหละค่ะที่เรียกว่าไม่เคารพสิทธิผู้อื่น กรณีของน้องอิมเมจที่โดนคุกคามทางเพศด้วยวาจาหรือตัวหนังสือ โดยผู้กระทำก็อ้างว่าตนมีสิทธิที่จะพูดหรือออกความเห็นได้ แต่มันทำให้น้องอิมเมจเกิดความระแวงขึ้น จนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ อยากใส่เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่กล้าใส่ ต้องออกมาตัดพ้อบ่นบรรดาคุณผู้ชายบ่อยๆ นี่ก็เรียกว่าละเมิดสิทธิโดยอ้อมแล้วค่ะคุณขา ดังนั้น จขกท.คิดว่าการปลูกใังให้เคารพสิทธิผู้อื่นและใช้สิทธิของตัวเองอย่างถูกต้องโดยไม่ส่งผลกับคนอื่น อาจจะครอบคลุมมากกว่า
จบค่ะ!! ยังมีอีกมากกว่านี้แต่คงต้องพอแค่นี้ก่อน แค่นี้ก็คงเบื่อกันแย่ สรุปได้รวมๆว่า มันไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงหรือผู้ชายฝ่ายเดียวหรอกค่ะ เราไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำกันทั้งสองฝ่ายคือ การแสดงออกอย่างเหมาะสมให้มันถูกกาลเทศะ นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ดี รวมไปถึงการยับยั้งชั่งใจทั้งผู้ชายและผู้หญิง
อยากฝากไว้อีกเรื่องนึง คืออย่าด่ากฏหมายว่าไม่ดีหรือห่วยเลยนะคะ กฏหมายเป็นแค่เครื่องมือ มันจะออกมารูปแบบอยู่ที่คนจะใช้มันทำอะไรมากกว่า
ย้ำอีกทีว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็น คหสต.ของจขกท.
ถ้าแท็กผิดขออภัยค่ะ