กระทู้นี้เป็นกระทู้เเชร์ประสบการณ์ครั้งแรกของเรา ก่อนเริ่มเราขอเกริ่นนิดนึงนะคะ ตอนนี้เราเพิ่งเรียนจบ ม.ปลาย ค่ะ อยากแชร์เรื่องนี้นานมากแล้วค่ะ แต่ไม่กล้าพอ กลัวว่าเพื่อนที่โรงเรียนจะมาอ่าน (คิดไปไกล เหอะๆ) ตอนนี้เราจบจากโรงเรียนนั้นแล้ว เลยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมานิดนึง โรงเรียนที่กำลังจะเล่าเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดค่ะ เป็นโรงเรียนแห่งเดียวในจังหวัดที่มีรถประจำทางผ่านและใกล้บ้านเราที่สุด และเนื่องด้วยโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนยอดนิยม พ่อแม่เราเลยให้สอบเข้ามาเรียนอย่างไม่ลังเล เราเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม.1 ค่ะ ชีวิต ม.ต้น เรามีความสุขมาก เพื่อนดี สิ่งแวดล้อมดี แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือมันเป็นห้องพิเศษ(เน้นวิทย์-คณิต) ซึ่งเราก็เรียนได้เกรดดี แต่เราไม่ชอบ เราพยายามอ้อนแม่มาตั้งแต่ ม.2 ว่าเราจะเรียน ศิลป์-ภาษา ตอนขึ้น ม.ปลาย พ่อแม่พี่น้องเราว่าเราหนักมากว่าเสียดายความรู้ อยากให้เราเรียนหมอ และอีกคำพูดนึงที่เราจำได้ไม่ลืมคือ "เด็กสายศิลป์ที่นี่ไม่เหมือนเด็กสายวิทย์นะที่ทุกคนจะพากันเรียน มีแต่เด็กที่สอบไม่ติด เกเร มาเรียนสายศิลป์ที่นี่ อย่าไปเลย" (สายศิลป์ที่กล่าวมาคือ รร. ที่ จขกท เรียนนะคะ ไม่ได้เหมารวม รร. อื่น) ตอนนั้นเราก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไง ที่ไหนก็มีทั้งคนดีคนเลวปนกันไปทั้งนั้นแหละ เราก็ยังยืนยันว่าจะเรียน ศิลป์-ภาษา จนทุกคนก็ยอม เขาให้เราพิสูจน์ว่าเราจะตั้งใจเรียนจริงๆให้เขาเห็น เราก็โอเค เราสอบเข้าได้ลำดับที่ 7 ของนักเรียนทั้งหมด และครูทุกคนเข้าใจว่าเราจะเลือกเรียนห้องคิง แต่เราตั้งใจไปเลือกอีกห้องนึง จนครูฝ่ายวิชาการเดินมาถามว่า "เธอจะเรียนห้องนี้จริงๆหรอ?" เราตอบแบบไม่ลังเลเพราะเราชอบเรียนภาษามาก เราคิดว่าชีวิต ม.ปลาย หลังจากนี้ต้องมีความสุขมากๆแน่นอน โดยที่เราไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะทำให้เราคิดจบชีวิตตัวเองในสังคมแย่ๆ
เทอมแรกของการเรียน ม.ปลาย กับสายการเรียนใหม่อย่าง ศิลป์-ภาษา ทำให้เราได้เกรดสูงมาก ชีวิตมีความสุขจนพ่อแม่และทางบ้านเรายอมรับและสนับสนุนเรามาก พอเรารู้ตัวว่าชีวิตเริ่มดีขึ้นเรากลับมีความรู้สึกว่า มีคนกลุ่มบางในชั้นเรียนกำลังจ้องมองเรา และไม่พอใจกับความสำเร็จของเรา มีอยู่วันหนึ่งคาบศิลปะ เราต้องแบ่งกลุ่มทำงานกัน แบ่งกันไปมาจนสุดท้ายเราเหลือเศษอยู่คนเดียว มีอยู่กลุ่มนึง สมมติว่าชื่อกลุ่ม A นะคะ พวกเราเป็นกลุ่มหญิงล้วนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในห้องค่ะ ลักษณะนิสัยค่อนข้างแรงๆ แต่งตัวเก่ง แนวเน็ตไอดอล(ที่ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง) พวกเขาบอกเราว่าเรามาตรฐานสูงเกินไป เก่งเกินไปเลยไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ตอนหลังเราเพิ่งมารู้ว่าพวกกลุ่ม A เขาสร้างกลุ่มแชทและเพจในเฟสบุ๊คคุยกับเพื่อนในห้องและนินทาเราตลอด หลายคนคงสงสัยว่าถ้าเป็นเด็กเรียนเพื่อนจะนินทาอะไรได้ ขอตอบว่าเยอะแยะค่ะ ต่อให้คุณขยับตัวเขาก็เกลียดแล้ว!! เราก็ทำเฉยๆไป จนวันนึงที่ รร จัดงานปีใหม่ อันนี้พีคสุดค่ะ คือวันนั้นเราไม่สบาย เราไปนอนห้องพยาบาลเลยไม่ได้ไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ห้อง เพื่อนสนิทเราอีกคนก็มาเฝ้าเราด้วย พอกลับมาบ้านเย็นวันนั้นเพื่อนทุกคน ย้ำนะคะ ทุกคน (ยกเว้นเพื่อนสนิทเรา) อัพสเตตัสด่าเราแบบแรงมาก จนทำให้เราต้องปิดทุกอย่าง จนเราทนไม่ไหวเลยโทรไปหาครูที่ปรึกษาเพราะคุณครูเป็นคนเดียวนอกเหนือจากเพื่อนที่อยู่ในห้องวันนั้น เราได้คำตอบมาว่า "ครูก็เห็นว่าเพื่อนไม่ค่อยชอบหนู แต่หนูก็ควรทำตัวให้กลมกลืน อย่าตั้งใจเรียนในห้องมากไป บางทีเราเด่นเกินไปเพื่อนอาจไม่ชอบ วันนี้เพื่อนจัดปีใหม่ เขาเสียใจที่หนูไม่มากินด้วยกัน ครูก็เสียใจที่หนูไม่มา บลาๆ " เราเสียใจมาก เราน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว อะไรคือการตั้งใจเรียนมากไป? ครูก็รู้ว่าเราไม่สบายเลยไม่ได้ไปปาร์ตี้ที่ห้อง.. สุดท้ายเพื่อนสนิทเรามาเล่าให้ฟังว่า ครูคนนั้นบอกกับเพื่อนในห้องตอนให้พรปีใหม่ว่าเขาเป็นห่วงเรามาก เขาหนักใจที่เราทำตัว active เกินไป เข้ากับเด็กห้องนี้ไม่ได้ จนเป็นที่มาที่ทำให้เพื่อนในห้องอัพสเตตัสด่าเรา เรานั่งร้องไห้หนักมาก แต่ต้องเก็บอาการเพราะเราจะไม่บอกพ่อกับแม่เด็ดขาด นี่ยังไม่ใช่จุดที่พีคที่สุด นี่เป็นแค่เหตุการณ์เริ่มต้นของความเจ็บปวดของเด็กคนนึงที่ถูกสังคมไทยมองว่า bullying เป็นเรื่องธรรมดา
หนึ่งปีผ่านไป เราเริ่มทนไม่ได้กับการโดนรังแก ทั้งในชีวิตจริงและในโลกออนไลน์ (cyberbullying) ซึ่งถึงขนาดสร้างเพจมานินทาว่าร้ายเราโดยเฉพาะ เรารู้สึกว่าถ้าคนพวกนี้แกล้งเราแล้วเราไม่สนใจ เขาจะหาทางอื่นมากลั่นแกล้งแทน เช่นในโลกออนไลน์ ที่ข้อมูลแพร่กระจายได้เร็วมาก ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจริงไหม จนนานๆไปเราก็ยังเริ่มรู้สึกเลยว่าเราเกลียดตัวเอง เราเริ่มซึมซับสิ่งที่เขาว่าเราต่างๆนานาเข้าไปในจิตใต้สำนึกจนทำให้เรารู้สึกไร้ค่าขึ้นมาจริงๆ บางวันมีคนแปลกหน้าส่งข้อความมาหาเราบอกให้เราไปฆ่าตัวตายซะ พร้อมรูปมีดหลายขนาดและยี่ห้อให้เราเลือกใช้ มันเจ็บแต่ร้องไห้ไม่ออก เรารู้สึกเชื่อไปแล้วว่าเราไร้ค่าจริงๆ ทุกคนเกลียดเรา เพื่อนสนิทเราคนนั้นตัดสินใจย้าย รร ไปเลย เราอิจฉามากที่บ้านเพื่อนมีอีก รร ให้เข้าไปเรียน แต่เราหนีไปไหนไม่ได้ และพ่อแม่เราก็รู้ไม่ได้ด้วย เพราะพ่อแม่เราทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ภายในชั่วข้ามคืนแน่ๆ ขนาดครูกริบผมเราเกินยังตามไปร้องเรียนเลย และอีกอย่างเราไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ ให้เขาเห็นเราในด้านที่มีความสุขดีกว่า เรายิ่งไป รร เพื่อนยิ่งเกลียด ไม่มีใครคุยกับเราเลย แม้เเต่ครูที่ปรึกษาเขาก็ไม่คุยกับเรา เราเป็นคนที่แบ่งกลุ่มแล้วไม่มีใครเอาเราเข้ากลุ่ม เพื่อนกลัวว่าถ้าเอาเราเข้าแล้ว ตัวพวกเขาเองจะโดนแบน ทุกคนเลยต้องทำเสมือนว่าเกลียดเรา มีวันนึงเราเข้าแถวอยู่แล้วกลุ่ม A เดินมา เราได้ยินเสียงกรรไกรข้างหลังเลยหันไป คือผมเราโดนตัดไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมเสียงหัวเราะ เรารู้สึกไร้ค่าจริงๆ เราอยากสู้แต่สู้ไม่ได้ เรามีตัวคนเดียวที่ต้องเป็นตัวตลกต่อไป เราโดนตบหน้า โดนผลัก โดน ผช ต่อย (แฟนของเพื่อนในห้อง) แต่เราไม่เคยทำอะไรกลับเพราะไม่อยากมีเรื่อง ถ้าเราสวนกลับ ครูต้องเรียกผู้ปกครองมาแน่ๆ ซึ่งเราไม่อยากให้พ่อแม่รู้ เราเริ่มรู้สึกไร้ค่าขึ้นทุกวัน และเริ่มรู้สึกว่าการตัดสินใจมาเรียนห้องนี้มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เราเศร้ามากขึ้นทุกวัน คะแนนสอบร่วงลงแบบครูแต่ละวิชาก็สงสัย แต่เราพูดไม่ได้ ได้เเต่โทษตัวเองว่าเราโง่ลงเอง จนเราไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เรากลับบ้านมา รอให้ทุกคนในบ้านหลับ หยิบมีดด้ามเล็กมาลองจิ้มที่เนื้อตัวเองดูระดับความเจ็บ ลองประเมินว่าถ้าเรากรีดลงไปจะเจ็บประมาณไหน ทุกครั้งที่เรากดมีดลงไปแล้วรู้สึกเจ็บ เราจะรู้สึกผ่อนคลายมาก มันเป็นโรคโรคนึงที่เราจำชื่อไม่ได้แล้ว ที่เวลาทำร้ายร่างกายตัวเองแล้วจะหายเครียดไปชั่วขณะ เราก็เลือกบริเวณต้นขา ต้นแขน ที่ๆคนมองไม่เห็น เรายิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าเริ่มติด เราอยู่แบบนี้ไม่ได้! วันต่อมาเราก็รวบรวมความกล้า บล็อคเพื่อนทุกคนใน social media ตัดขาดจากโลกออนไลน์ และเดินไปถามเพื่อนในห้องว่าสุดท้ายแล้วต้องการอะไรจากเรา ทุกคนโกรธเรามากที่เราบล็อคเฟส เข้ามาตบตีเรา บอกแค่ว่าเขาเกลียดเรา ขอตบเราสักทีสองทีแล้ววันนี้จะได้พอ เราก็โอเค เราไม่ใช่นางเอกนะ เราเป็นคนมั่นด้วยซ้ำ แต่เราคนเดียวสู้เขาไม่ได้ก็ต้องยอม วันนี้เองที่เราคิดว่าเราจะไม่อยู่แล้ว เราทิ้งสมุดหนังสือไว้ที่ รร หมดเลย เราคิดว่าเราจะตายแล้ว เราจะไม่กลับมาแล้ว เรากลับบ้านไปเหมือนเดิม รอเวลาดึกๆ แล้ววางแผนว่าคืนนี้เราต้องตายให้ได้ เราได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้แบบแปลกมาก คิดแค่ว่าอีกแปปเดียวก็จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว เราส่งข้อความไปหาเพื่อนเราคนนั้นที่ย้ายไป แบบว่าขอบคุณที่รักเรา บลาๆ เราว่ามันคงรู้สึกแปลกๆ เลยโทรมา เราเลยปล่อยโฮเลย จนสุดท้ายเราก็ไม่ทำ เหมือนดึงสติกลับมาได้
เราทนมาเกือบ 2 ปีครึ่งกับชีวิต ม.ปลาย แย่ๆ ของเราจนจบมาได้ ความจริงมันมีเรื่องยิบย่อยกว่านี้แต่เรากลัวว่าจะยาวไปเลยตัดมาเหลือสั้นๆ เราอยากให้สังคมไทยสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ยังมีเด็กที่ถูกรังแกมากมายในประเทศนี้ที่เขาไม่มีทางเลือก สำหรับเราการโดนแกล้งไม่ตลก และไม่ใช่เรื่องปกติแบบที่คนสมัยก่อนๆคิด สำหรับใครที่กำลังโดนแกล้งหรือรังแก เราขอให้เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจว่าเราผ่านมันมาได้ คุณก็ผ่านไปได้ ชีวิตวัยรุ่นมันก็มีอะไรให้วุ่นวายเสมอ จำไว้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน หากพิมพ์ตกหล่นตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ
แชร์ประสบการณ์ถูก bully(กลั่นแกล้ง) ในโรงเรียนไทยที่เกือบคิดฆ่าตัวตาย
เทอมแรกของการเรียน ม.ปลาย กับสายการเรียนใหม่อย่าง ศิลป์-ภาษา ทำให้เราได้เกรดสูงมาก ชีวิตมีความสุขจนพ่อแม่และทางบ้านเรายอมรับและสนับสนุนเรามาก พอเรารู้ตัวว่าชีวิตเริ่มดีขึ้นเรากลับมีความรู้สึกว่า มีคนกลุ่มบางในชั้นเรียนกำลังจ้องมองเรา และไม่พอใจกับความสำเร็จของเรา มีอยู่วันหนึ่งคาบศิลปะ เราต้องแบ่งกลุ่มทำงานกัน แบ่งกันไปมาจนสุดท้ายเราเหลือเศษอยู่คนเดียว มีอยู่กลุ่มนึง สมมติว่าชื่อกลุ่ม A นะคะ พวกเราเป็นกลุ่มหญิงล้วนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในห้องค่ะ ลักษณะนิสัยค่อนข้างแรงๆ แต่งตัวเก่ง แนวเน็ตไอดอล(ที่ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง) พวกเขาบอกเราว่าเรามาตรฐานสูงเกินไป เก่งเกินไปเลยไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ตอนหลังเราเพิ่งมารู้ว่าพวกกลุ่ม A เขาสร้างกลุ่มแชทและเพจในเฟสบุ๊คคุยกับเพื่อนในห้องและนินทาเราตลอด หลายคนคงสงสัยว่าถ้าเป็นเด็กเรียนเพื่อนจะนินทาอะไรได้ ขอตอบว่าเยอะแยะค่ะ ต่อให้คุณขยับตัวเขาก็เกลียดแล้ว!! เราก็ทำเฉยๆไป จนวันนึงที่ รร จัดงานปีใหม่ อันนี้พีคสุดค่ะ คือวันนั้นเราไม่สบาย เราไปนอนห้องพยาบาลเลยไม่ได้ไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ห้อง เพื่อนสนิทเราอีกคนก็มาเฝ้าเราด้วย พอกลับมาบ้านเย็นวันนั้นเพื่อนทุกคน ย้ำนะคะ ทุกคน (ยกเว้นเพื่อนสนิทเรา) อัพสเตตัสด่าเราแบบแรงมาก จนทำให้เราต้องปิดทุกอย่าง จนเราทนไม่ไหวเลยโทรไปหาครูที่ปรึกษาเพราะคุณครูเป็นคนเดียวนอกเหนือจากเพื่อนที่อยู่ในห้องวันนั้น เราได้คำตอบมาว่า "ครูก็เห็นว่าเพื่อนไม่ค่อยชอบหนู แต่หนูก็ควรทำตัวให้กลมกลืน อย่าตั้งใจเรียนในห้องมากไป บางทีเราเด่นเกินไปเพื่อนอาจไม่ชอบ วันนี้เพื่อนจัดปีใหม่ เขาเสียใจที่หนูไม่มากินด้วยกัน ครูก็เสียใจที่หนูไม่มา บลาๆ " เราเสียใจมาก เราน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว อะไรคือการตั้งใจเรียนมากไป? ครูก็รู้ว่าเราไม่สบายเลยไม่ได้ไปปาร์ตี้ที่ห้อง.. สุดท้ายเพื่อนสนิทเรามาเล่าให้ฟังว่า ครูคนนั้นบอกกับเพื่อนในห้องตอนให้พรปีใหม่ว่าเขาเป็นห่วงเรามาก เขาหนักใจที่เราทำตัว active เกินไป เข้ากับเด็กห้องนี้ไม่ได้ จนเป็นที่มาที่ทำให้เพื่อนในห้องอัพสเตตัสด่าเรา เรานั่งร้องไห้หนักมาก แต่ต้องเก็บอาการเพราะเราจะไม่บอกพ่อกับแม่เด็ดขาด นี่ยังไม่ใช่จุดที่พีคที่สุด นี่เป็นแค่เหตุการณ์เริ่มต้นของความเจ็บปวดของเด็กคนนึงที่ถูกสังคมไทยมองว่า bullying เป็นเรื่องธรรมดา
หนึ่งปีผ่านไป เราเริ่มทนไม่ได้กับการโดนรังแก ทั้งในชีวิตจริงและในโลกออนไลน์ (cyberbullying) ซึ่งถึงขนาดสร้างเพจมานินทาว่าร้ายเราโดยเฉพาะ เรารู้สึกว่าถ้าคนพวกนี้แกล้งเราแล้วเราไม่สนใจ เขาจะหาทางอื่นมากลั่นแกล้งแทน เช่นในโลกออนไลน์ ที่ข้อมูลแพร่กระจายได้เร็วมาก ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจริงไหม จนนานๆไปเราก็ยังเริ่มรู้สึกเลยว่าเราเกลียดตัวเอง เราเริ่มซึมซับสิ่งที่เขาว่าเราต่างๆนานาเข้าไปในจิตใต้สำนึกจนทำให้เรารู้สึกไร้ค่าขึ้นมาจริงๆ บางวันมีคนแปลกหน้าส่งข้อความมาหาเราบอกให้เราไปฆ่าตัวตายซะ พร้อมรูปมีดหลายขนาดและยี่ห้อให้เราเลือกใช้ มันเจ็บแต่ร้องไห้ไม่ออก เรารู้สึกเชื่อไปแล้วว่าเราไร้ค่าจริงๆ ทุกคนเกลียดเรา เพื่อนสนิทเราคนนั้นตัดสินใจย้าย รร ไปเลย เราอิจฉามากที่บ้านเพื่อนมีอีก รร ให้เข้าไปเรียน แต่เราหนีไปไหนไม่ได้ และพ่อแม่เราก็รู้ไม่ได้ด้วย เพราะพ่อแม่เราทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ภายในชั่วข้ามคืนแน่ๆ ขนาดครูกริบผมเราเกินยังตามไปร้องเรียนเลย และอีกอย่างเราไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ ให้เขาเห็นเราในด้านที่มีความสุขดีกว่า เรายิ่งไป รร เพื่อนยิ่งเกลียด ไม่มีใครคุยกับเราเลย แม้เเต่ครูที่ปรึกษาเขาก็ไม่คุยกับเรา เราเป็นคนที่แบ่งกลุ่มแล้วไม่มีใครเอาเราเข้ากลุ่ม เพื่อนกลัวว่าถ้าเอาเราเข้าแล้ว ตัวพวกเขาเองจะโดนแบน ทุกคนเลยต้องทำเสมือนว่าเกลียดเรา มีวันนึงเราเข้าแถวอยู่แล้วกลุ่ม A เดินมา เราได้ยินเสียงกรรไกรข้างหลังเลยหันไป คือผมเราโดนตัดไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมเสียงหัวเราะ เรารู้สึกไร้ค่าจริงๆ เราอยากสู้แต่สู้ไม่ได้ เรามีตัวคนเดียวที่ต้องเป็นตัวตลกต่อไป เราโดนตบหน้า โดนผลัก โดน ผช ต่อย (แฟนของเพื่อนในห้อง) แต่เราไม่เคยทำอะไรกลับเพราะไม่อยากมีเรื่อง ถ้าเราสวนกลับ ครูต้องเรียกผู้ปกครองมาแน่ๆ ซึ่งเราไม่อยากให้พ่อแม่รู้ เราเริ่มรู้สึกไร้ค่าขึ้นทุกวัน และเริ่มรู้สึกว่าการตัดสินใจมาเรียนห้องนี้มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เราเศร้ามากขึ้นทุกวัน คะแนนสอบร่วงลงแบบครูแต่ละวิชาก็สงสัย แต่เราพูดไม่ได้ ได้เเต่โทษตัวเองว่าเราโง่ลงเอง จนเราไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เรากลับบ้านมา รอให้ทุกคนในบ้านหลับ หยิบมีดด้ามเล็กมาลองจิ้มที่เนื้อตัวเองดูระดับความเจ็บ ลองประเมินว่าถ้าเรากรีดลงไปจะเจ็บประมาณไหน ทุกครั้งที่เรากดมีดลงไปแล้วรู้สึกเจ็บ เราจะรู้สึกผ่อนคลายมาก มันเป็นโรคโรคนึงที่เราจำชื่อไม่ได้แล้ว ที่เวลาทำร้ายร่างกายตัวเองแล้วจะหายเครียดไปชั่วขณะ เราก็เลือกบริเวณต้นขา ต้นแขน ที่ๆคนมองไม่เห็น เรายิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าเริ่มติด เราอยู่แบบนี้ไม่ได้! วันต่อมาเราก็รวบรวมความกล้า บล็อคเพื่อนทุกคนใน social media ตัดขาดจากโลกออนไลน์ และเดินไปถามเพื่อนในห้องว่าสุดท้ายแล้วต้องการอะไรจากเรา ทุกคนโกรธเรามากที่เราบล็อคเฟส เข้ามาตบตีเรา บอกแค่ว่าเขาเกลียดเรา ขอตบเราสักทีสองทีแล้ววันนี้จะได้พอ เราก็โอเค เราไม่ใช่นางเอกนะ เราเป็นคนมั่นด้วยซ้ำ แต่เราคนเดียวสู้เขาไม่ได้ก็ต้องยอม วันนี้เองที่เราคิดว่าเราจะไม่อยู่แล้ว เราทิ้งสมุดหนังสือไว้ที่ รร หมดเลย เราคิดว่าเราจะตายแล้ว เราจะไม่กลับมาแล้ว เรากลับบ้านไปเหมือนเดิม รอเวลาดึกๆ แล้ววางแผนว่าคืนนี้เราต้องตายให้ได้ เราได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้แบบแปลกมาก คิดแค่ว่าอีกแปปเดียวก็จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว เราส่งข้อความไปหาเพื่อนเราคนนั้นที่ย้ายไป แบบว่าขอบคุณที่รักเรา บลาๆ เราว่ามันคงรู้สึกแปลกๆ เลยโทรมา เราเลยปล่อยโฮเลย จนสุดท้ายเราก็ไม่ทำ เหมือนดึงสติกลับมาได้
เราทนมาเกือบ 2 ปีครึ่งกับชีวิต ม.ปลาย แย่ๆ ของเราจนจบมาได้ ความจริงมันมีเรื่องยิบย่อยกว่านี้แต่เรากลัวว่าจะยาวไปเลยตัดมาเหลือสั้นๆ เราอยากให้สังคมไทยสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ยังมีเด็กที่ถูกรังแกมากมายในประเทศนี้ที่เขาไม่มีทางเลือก สำหรับเราการโดนแกล้งไม่ตลก และไม่ใช่เรื่องปกติแบบที่คนสมัยก่อนๆคิด สำหรับใครที่กำลังโดนแกล้งหรือรังแก เราขอให้เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจว่าเราผ่านมันมาได้ คุณก็ผ่านไปได้ ชีวิตวัยรุ่นมันก็มีอะไรให้วุ่นวายเสมอ จำไว้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน หากพิมพ์ตกหล่นตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ