EOS M50 ก้าวแรกของ Canon ในการก้าวออกจาก Comfort Zone

สวัสดีครับอมยิ้ม17
ช่วงนี้ข่าวสารวงการกล้องออกมาติดกันถี่ๆมากหลากหลายค่าย กองอวยกองแช่ง มือใหม่มือเก๋า นักสะสมนักรีวิว ทั้งหลายทั้งปวงก็สนทนากันสนั่นกลุ่มกล้องทุกค่ายจนแทบไม่ได้นอนกันเลย (ฮา)

วันนี้มาชวนคุยเล่นๆเกี่ยวกับกล้องตัวหนึ่ง Canon KISS M หรือ EOS M50 นั่นเองครับ


ก่อนอื่นคำโปรยหัวกระทู้อาจฟังดูแปลกๆ แต่ขอจิบน้ำชาตราดาวแดงไป พิมพ์ไปนะครับว่าทำไมถึงจั่วหัวกระทู้แบบนี้

ที่มาและความสำคัญ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ครับจารย์ เอาเป็นว่าเล่านิทานก่อนนอน ใครไม่นอนก็ช่วยไม่ได้นะฮะ
... อันว่า Canon นั้นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของวงการกล้องในยุคปัจจุบัน (จริงๆนะ) จากผลพวงของปัญหาภายในของคู่แข่งเองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตอนนี้ Canon ครองอันดับ 1 ของยอดขาย DSLR มานานหลายปีดีดัก (อันดับ 2 คือ N, 3 คือ P)
แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กระแสกล้อง EVIL (ปัจจุบันเรียก MILC) ที่เริ่มโดย Olympus เมื่อเกือบสิบปีก่อนผลิดอกออกผล ผู้ใช้กล้องมือใหม่ก็ไม่ต้องใช้ประสบการณ์มากมายในการถ่ายให้ได้รูปสวยๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแส "วงการถ่ายรูป" ขนานใหญ่

ที่มาที่ไป ประวัติของกล้องแต่ละค่ายในยุค MILC เอาไว้เล่าความกันทีหลัง ตอนนี้ขอแค่ Canon M50 กันก่อน : )
คือในวงการกล้องนี้คนส่วนมากต่างก็ทราบกันดีว่าสองยักษ์ใหญ่ในวงการกล้องตลาดยุคปัจจุบันคือ Canon และ Nikon ต่างก็ประชันฝ่ามือ ฟาดพลังกันไม่ยั้งในตลาด DSLR จนหญ้าแพรกแทบจะแหลกราญ ... แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาด MILC ที่ยังขยายต่อไปได้ มีที่ว่างให้พักหายใจ เป็นเสมือนโลกใหม่ที่ยังมีผู้ครอบครองไม่เบ็ดเสร็จ ก็เป็นที่หมายตาของบริษัทยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่ง

Sony นั่นเอง

จะไม่เล่าถึง Sony ก็กระไรอยู่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับการมาของ Canon M50 อยู่บ้าง ในยุคก่อนหน้านี้ Sony ก็เป็นเหมือนบริษัทญี่ปุ่นเจ้าอื่นนั่นแหละครับ ที่ไม่นิยมการปรับตัวเข้ากับกระแสต่างๆ พยายามยึดติดกับความอินดี้ในนวัตกรรมของตนเอง โลกเป็นยังไงใครตีกันข้าไม่สน แต่ในช่วงราวๆปี 2011-2013 มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น นั่นคือ "วิกฤติการณ์ทางการเงินในกลุ่มบรรษัทโซนี่"  ผลกระทบจากเหตุการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างรุนแรงจนโซนี่ยักษ์ใหญ่ถึงกับต้องใช้ยุทธศาสตร์ที่ยอมเสียแขนขาบางส่วนไปเพื่อรักษาร่างกายให้คงอยู่

หวยไปออกที่ Vaio (จริงๆตอนนั้นก็เกือบจะทิ้ง Xperia เหมือนกัน)

หลังจากประคับประคองตัวมาได้ ก็อยู่ในสภาวะหลังชนฝา เอาไงดีล่ะ จะอินดี้แบบเดิมก็ไม่ได้แล้วเพราะถ้าพลาดมาประชาชนพนักงานโซนี่หลายพันชีวิตเค้าอยู่ไม่ได้แน่ โซนี่จึงได้ดำเนินนโยบายและกลยุทธ์แบบใหม่ นั่นคือการก้าวล้ำอย่างไม่หยุดหย่อนในด้าน  Leisure

อันดับแรก Sony PSN (เครื่องเกม) ที่เข้ายุคเปลี่ยนผ่านเจเนเรชั่น ก็มาถึงยุคมืดของโซนี่จากการถูกแฮคเครื่องทำ CFW ในเครื่อง PS3, และจุดตายที่ดึง Capcom มาทำ Monhun ลง PS Vita ไม่ได้ ทำยอดขายของโซนี่ดิ่งวูบมาก ทาง Sony แทบจะไม่มองอดีตและก้าวต่อไปด้วยการนำเสนอ Playstation4 ในราวๆปี 2015 (ผมก็ไปเสียตังซื้อกะเค้ามาเหมือนกัน ช่วงเปิดตัว T_T) ช่วงแรกๆมีแต่แฟนๆเกมเมอร์ด่าครับ มีแต่เครื่อง เกมโคตรน้อย ใครเค้าจะเล่น ... อ่ะฮ่า จดไว้ในใจแล้วไปดูไลน์กล้องถ่ายภาพกันบ้าง

อันดับต่อมา กล้องถ่ายภาพ ช่วงแรกๆที่เข้ามาหวังส่วนแบ่งในตลาด Fullframe MILC ที่ยังไม่มีแบรนด์เจ้าตลาดผู้ใดจับจอง ก็มีเสียงค่อนแคะว่า มีแต่กล้อง ไม่ค่อยมีเลนส์ในระบบให้ใช้เลย ... (คุ้นๆนะครับ)
จัดไปอย่าให้เสีย เกมน้อยก็ดึงมาลงเยอะๆ เลนส์น้อยก็ทำเลนส์มาเยอะๆ ให้ลูกค้าเค้าเลือกเอง เรานำเสนอนวัตกรรมกับทางเลือกให้ลูกค้าก็พอ
ปัจจุบันปี 2018 ไปย้อนดู PS4 และ FE Lenses สิครับ ว่ามันออกมาเยอะจนฉันซื้อตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอยยยย

แต่จุดเด่นจริงๆของ Sony คือความง่าย
Nintendo ทำเกมดีๆมามากมาย คนเล่นเล่นแล้วไปคุยกันในเวบบอร์ด ใน SNS  ต่างๆ
Sony บอก เราทำระบบ Community ยัดมาให้ใน Playstation เลย จบ เล่นเกมแล้วแชร์วีดีโอเลยยังได้ เฮ้ยง่ายจัง!

กล้องค่ายอื่น จะไปถ่ายรูปสาวใส่บิกินี่ยืนริมทะเล ไปถ่ายรูปน้ำตก พระอาทิตย์ตกดิน อ่ะเชเราจะพก ND, GND ไป
Sony บอก ลื้อโหลด Playmemories App ไปเลย ของพวกนั้นไม่ต้องซื้อใหม่ พกกล้องไปถ่ายพอ เฮ้ยง่ายจัง!
การใส่สเปคที่ “จ่ายเท่ากัน แต่ได้มากกว่าคนอื่น” สเปคที่ดูเยอะแยะจนน่ากลัวสำหรับมือใหม่ กลับใช้งานได้ง่าย ได้ภาพสวยๆไม่ยากเลย

ไอความง่ายนี่แหละครับ ที่ลูกค้าเขาเลือก สมกับเป็น Sony บริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ "การแข่งขันด้านความพึงพอใจของลูกค้า"

นโยบายเป็นสิ่งสำคัญครับ เป็นจุดที่จะชี้เป็นชี้ตายบริษัทได้

กลับมาที่ Canon เมื่อกลุ่มลูกค้าเดิมเริ่มเบื่อหน่ายสิ่งเดิมๆ หรือกลุ่มที่แสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในด้านการถ่ายภาพ เริ่มทยอยซื้อ Sony กันทีละคนสองคนจนในที่สุดแคน่อนจึงเริ่มขยับ ... ที่ขยับนี่คือไม่ใช่อะไร ก้าวแรกคือขยับมาขอแบ่งส่วนเค้ก MILC กับเขาบ้าง ด้วยการออก EOS M ไลน์ต่างๆ แต่ด้วยว่าแต่ละค่ายจุดเด่นเขาชัดเจน โอลิมปัสจุดขายคือเลนส์ MFT ร่วมกับพานาโซนิค เล็กเบาพกง่ายมือใหม่รักตาย โซนี่ที่เน้น Prosumer งานดีลดกระบวนการ Post Process ลงตั้งเยอะ มาดูของแคน่อน ... หาจุดขายไม่เจอเลย

จนราวๆปี 2014 นั่นแหละครับ ที่แคน่อนเริ่มขยับ ประกาศว่าเราจะเอาจริงในตลาด MILC จนในปี 2016 ล่าสุด (ปีก่อนหน้า ก่อนปิดรอบ Fiscal 2017 ที่กำลังจะถึงในเดือนมีนาคม 2018 นี้) ก็ดันตัวเองขึ้นมาเป็นอันดับสองในตลาด MILC ได้สำเร็จ แต่แคน่อนเองก็รู้ว่านั่นคือภาพลวง เพราะยอดขายส่วนมากมาจากโปรโมชันต่างๆที่ยัดเข้ามาให้ EOS M10 ต่างหาก ในช่วงปลายปี 16 - ปี 17 จึงได้ออก MILC ออกมาใหม่ในรุ่น EOS M5 และ M6

แม้มันจะดูแล้วขัดใจในหลายๆอย่าง แต่ถ้าไปเทียบกับพัฒนาการที่ใส่ใน DSLR แล้วถือว่าทำได้เร็วมาก แค่ปีเดียวจาก M3 ไป M6 (ยี่ห้อ Canon นะ อย่าไปจำสลับกะอีกเจ้า) ใครเคยใช้จะรู้ว่ามันไปไกลมาก...

จนตอนนี้ มาถึง EOS KISS M หรือ M50 ด้วยสเปคที่ใส่มาให้ถือว่า "ทำมาได้อย่างหาญกล้า" เอามากๆ กับสเปคกล้องที่เป็น "กล้องระดับ Entry Level"

มาดูกันว่ามันมีอะไรเด่นๆบ้าง


รายละเอียดสเปคเต็มดูได้ที่ https://www.canon.co.uk/cameras/eos-m50/specifications/

24.1MP ไฟล์ใหญ่ใช้ได้
Dual Pixel AF ปกติ Dual Pixel จะมีใส่ให้แต่กล้องรุ่นสูงๆเท่านั้น รอบนี้แคน่อนเอามาใส่รุ่น Entry
Digic8 หน่วยประมวลผลแบบใหม่ เอามาใช้เป็นรุ่นแรกก่อนจะเอาไปใส่ใน DSLR เสียอีก
10FPS นี่เฉพาะวันชอต ส่วนเซอโวชอต (ค่ายอื่นเรียก AF-C ^^ ) จะเหลือ 7.4FPS อันนี้ถือว่าดีงามใช้ได้ รัวได้พอๆกับ 7D ทั้งที่เป็นรุ่น Entry

มีระบบ Eye Detection AF แบบที่ค่ายอื่นมี (Olympus มี Pupil Detection, Sony มี Eye AF)

รุ่นทอปๆของค่ายยังไม่มีระบบนี้ใช้เลย ...
อันนี้ถือว่ามาถูกทาง ในเมื่อบอกว่าตัวเองถ่ายพอเทรตสวยงาม ก็ออกเครื่องมือให้คนถ่ายรูปเขาใช้งานง่ายๆกันบ้าง ...

ระบบ Drag Focus เป็นระบบเดียวกับที่พบใน EOS M5 และ Pana GX85

อันนี้เราสามารถเปลี่ยนให้กล้องไปโฟกัสอีกจุดได้ด้วยการจิ้มแล้วลาก มันง่ายจริงๆนะ : )
#จริงๆระบบนี้ สมัยก่อนในกล้อง SLR 35mm นั้น Canon เคยทำมาก่อนแล้วในชื่อ Eye Controlled Focus, Eye Control มันคือการเปลี่ยนจุดโฟกัสตามการมองของคนถ่ายในช่อง VF แต่ยุคนั้นต้องจับการเคลื่อนไหวของตาดำเพราะยังไม่มีจอ LCD#

จุดโฟกัสครอบคลุมทั้งภาพ

ทีแรกที่ออกข่าวมา อ้าว มีเฉพาะบางเลนส์ที่ใช้เต็ม 143 จุด (กรอบแดง) บางเลนส์ใช้ได้แค่ 99 จุด (กรอบเขียว) คนก็ด่ากันระงม เลยไปค้นมาให้ว่า 143 vs 99 มันครอบคลุมมากน้อยต่างกันขนาดไหน ก็ตามข้างบนนั่นเลย ถือว่าใช้ได้เลยนะ : )
ส่วนเลนส์อันไหนกรอบแดงอันไหนกรอบเขียว ดูตามตารางล่าง


งานนี้ถือว่าทำได้ดี ไม่ว่าจะเลนส์อะไร พื้นที่โฟกัสพอๆกันหมด ไม่ต่างกันมาก แต่ได้พื้นที่ครอบคลุมเกือบทั้งภาพแบบนี้แจ่มนะ

ต่อมา ในเมื่อเป็น EVF แล้วแน่นอน Magnify ขณะส่อง VF ก็มี

ใครเคยใช้ 10x ของแคน่อนในกล้องรุ่นหลังๆน่าจะชอบกันนะ มันดีงามสำหรับสาย MF มากเลย
*** M50 ยังมีข้อสังเกตตรงนี้คือ Peaking ยังใช้งานร่วมกับ Magnify ไม่ได้ *** อันนี้เดี๋ยวต้องกระทุ้งแรงๆ ทำมาจะเสร็จอยู่แระ ดันไปตกม้าตายซะได้

RAW ไฟล์แบบใหม่ CR3
โดยทั่วไป RAW นี่คือ Lossless ส่วน Jpeg จะเป็น Compress ซึ่ง .CR3 ตัวใหม่นี้จะเป็น Compress Lossless (เค้าว่างั้นแน่ะ) พูดง่ายๆคือเป็นไฟล์ RAW ที่จะลดขนาดไฟล์ลงได้อีกราวๆ 30-40%


Lighting Enhancer ช่วยปรับกรณี Blow out ของส่วน Highlight ลงแบบอัตโนมัติ

สำหรับมือใหม่ เป็นตัวช่วยที่ดีงามตามเนื้อผ้า ระบุมาว่าเป็นการเปิดปิดการตั้งค่าได้ที่มีใน Digic8

ใส่ Preset ในภาพที่ถ่ายมาแล้วได้ สามารถโพรเซสภาพจากในกล้องได้เลย อันนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สำหรับ M50 ที่จัดมาให้ครบๆแบบนี้ กล้องรุ่น Prosumer ยังแอบเคือง

4K Photo คือการถ่ายวีดีโอ 4K แล้วมาตัดเอาเฟรมจากวีดีโอไปเป็นภาพถ่าย เย่!

ส่วนตัวผมไม่ถ่ายวีดีโอ โฟเควีดีโอผมไม่เคยสนใจ ผมสนใจแค่ถ้าจะมีแล้วมันเอาไปทำอะไรได้บ้างต่างหาก
4K Photo นี้คือการถ่ายวีดีโอ แล้วตัดเอาซีนที่เราต้องการออกมาเป็นภาพถ่ายนั่นแหละ บางทีฟังแล้วอาจจะงงๆ มันดียังไงฟะ

คืองี้ครับ ยกตัวอย่าง ปกติเวลาถ่ายนกบินเนี่ยมันต้องพร้อมคือ กล้องต้องพร้อมรัวชัตเตอร์ได้โดยบัฟเฟอร์เขียนทัน คนต้องพร้อมซ้อมใช้กล้องให้คุ้นมือ สลับการ AF นั่นนี่ เลนส์ต้องโฟกัสไวและแม่นเพื่อมาจับให้ทัน ตอนผมใช้ 7Dii กว่าผมจะคล่องจนพอออกไปถ่ายนกกระจอกได้ ผมซ้อมใช้กล้องอยู่หลายสัปดาห์เลยนะ T T (ตัวอย่างอื่นๆ เช่น ภาพหยดน้ำ เป็นต้น)
แต่เจ้า 4K Photo เนี่ย คุณแค่ไปเปิดกล้อง ถ่ายวีดีโอ 4K แล้วเลือกซีนที่ถ่ายมาชัดๆจากความละเอียดระดับ 4K จบ กลับบ้านได้ เฮ้ยมันง่ายจริงๆนะ ผมเคยใช้ฟีเจอร์นี้ใน Panasonic GX85 บอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณเอาไปถ่ายภาพลงขายในชัตเตอร์สตอคได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยหละ

จุดด้อยอื่นๆคงเป็นเรื่อง การวางไลน์ Entry ทำให้ปุ่มคอนโทรลน้อยไปกระมัง กับแบต LPE12 ที่มันโคตรไม่อึดเลย
ส่วน 4K Video ยังเป็น APSC อยู่ อันนี้ส่วนตัวถ่ายแต่ภาพนิ่งเลยไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ไหนๆทำแล้วก็ Full หน่อยเถอะ คนที่เค้าต้องใช้ก็มีน่า

โดยรวมผมถือว่าเป็นกล้องที่ทำมาได้อย่างแหวกแนว Canon ในยุคหลังๆมาก ในเมื่อคุณกล้าที่จะทำกล้องสเปคดีๆ ย่อมตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้แน่นอน
หวังว่าจุดด้อยหรือข้อสังเกตต่างๆ จะได้รับการแก้ไขในรุ่นต่อจาก M5 นะครับ : )

ก้าวแรก แค่เดินก็อาจจะล้ม แต่ถ้าล้มแล้วลุกขึ้นมาก้าวต่อไป ในไม่ช้าไม่นานก็จะวิ่งได้
ขอแค่คุณก้าวออกมาเถอะ

หมดโควต้า 10,000 ตัวอักษรแล้วครับ ไว้มาทักทายกันใหม่ ขอบคุณครับ อมยิ้ม17
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่