Mazda MX-5, The Introduction

กระทู้สนทนา
Mazda MX-5
The Introduction

ในปี คศ. 1976 มีการสนทนาระหว่างบุคคล 3 ท่าน ได้แก่ 1.) Bob Hall (คอลัมนิสท์ของนิตยสาร Motor Trend, ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถยนต์และภาษาญี่ปุ่น) 2.) Kenichi Yamamoto 3.) Gai Arai ซึ่งทั้งสองท่านหลังเป็นหัวหน้าแผนก R&D ของ Mazda บทสนทนานั้นเริ่มที่ Hall ถูกยิงคำถามว่า Mazda ควรจะผลิตรถอะไรต่อไป ซึ่งเจ้าตัวเล่าในภายหลังว่า "ผมก็บ่นไปเรื่อยว่า ไอ้รถประเภทสปอร์ตคลาสสิคจากอังกฤษ แบบสายสม แสงแดด สองเรา มันหายไปไหนหมดหว่า ผมบอก Yamamoto ว่ามันน่าจะมีใครสักคนผลิตไอ้รถโรดสเตอร์ราคาเบาๆ แบบที่ว่ามาสักคันนะ" และวันเวลาก็ผ่านไป

และแล้วในปี 1981, Hall ก็ได้ร่วมงานในส่วนวางแผนผลิตภัณฑ์ของ Mazda USA, South California และได้พบกับ Yamamoto (ซึ่งได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของ Mazda แล้ว) อีกครั้ง ซึ่งเรื่องของบทสนทนานั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของทั้งคู่ Yamamoto จึงให้ไฟเขียวแก่ Hall เพื่อศึกษาวิจัยแนวคิดโครงการโรดสเตอร์ต่อทันที Hall ก็ไปจ้าง Designer ชื่อ Mark Jordan (ลูกชายของ Chunk Jordan รองประธานฝ่ายออกแบบของ General Motors 1986-1992 ผลงานผู้พ่อ เช่น Oldsmobile Aerotech and Buick Reatta เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว) เพื่อตั้งทีม Mazda Design Studio ขึ้นมา และได้คิดค้น ภาพลักษณ์ รูปลักษณ์ มิติตัวรถตั้งต้น ภายใต้แนวคิด สปอร์ตน้ำหนักเบา

ปี 1983, จากแนวคิดก็ได้รับไฟเขียวจนกลายเป็น concept car ชื่อโครงการ "OFFLINE 55" แต่แม้ว่าโครงการจะอยู่ภายใต้การดูแลของ Masakatsu (Mazda USA, California)มาตั้งแต่ต้น แต่ก็มีแรงขับดันภายในของ Mazda เอง ที่อยากจะเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาโดย ให้ทีมพัฒนาจาก Tokyo (Japan/ JP) ออกแบบแนวคิดที่จะมาแข่งขันกับ ทีมพัฒนาจาก California (US)

ทีม US เสนอเครื่องวางหน้า/ขับหลัง ออกแนวโรดสเตอร์อังกฤษดั้งเดิม ตั้งชื่อรหัสว่า "DUO 101" ในขณะที่ทีม JP เสนอมาสองทางเลือก คือ เครื่องวางหน้า/ขับหน้า หรือไม่ก็เครื่องวางกลาง/ขับหลัง

ในเดือนเมษายน 1984, การตัดสินรอบแรกบนกระดาษก็มาถึง และดูท่าว่าเครื่องวางกลางจะมีแต้มต่อ แม้ว่าจะมีปัญหาด้านการควบคุม เสียง แรงสั่นสะเทือน และ ความกระด้าง (NVH) ของตัวรถให้อยู่ในข้อจำกัดที่โครงการกำหนดไว้ก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เลย์เอ้าท์เครื่องวางกลางในยุคนั้นถือว่ามันเกิดมาสำหรับรถสปอร์ต คนใน Mazda ก็ต้องคิดแบบนั้นซะส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน

ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน การตัดสินรอบสองแบบมีตัวอย่างรถต้นแบบปั้นดินเหนียวมาแสดง ปรากฏว่า DUO 101 ของทีม US ได้รับเลือกให้ไปต่อ!

DUO 101 ต้นแบบทั้ง Hardtop and Softtop ต้องเรียกได้ว่าเส้นสายตัวรถนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Lotus Elan โรดสเตอร์ในยุค 60 อย่างตรงๆเลย เช่นมือจับเปิดประตู เป็นต้น

ทาง Mazda ได้ว่าจ้างบริษัท International Automotive Design (IAD) ในเมือง Worthing ประเทศอังกฤษ ให้สร้างรถ prototype แบบวิ่งได้ ชื่อรหัส "V705" โดยทำจาก fiberglass และใช้เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร จาก Mazda Familia 323 ชิ้นส่วนอื่นๆก็หยิบยืมมาจากรถรุ่นก่อนๆที่ Mazda เคยผลิตมา และในเดือนสิงหาคม ปี 1985 รถ prototype นี้ก็เสร็จ ส่งขึ้นเรือมาวิ่งทดสอบที่ Santa Barbara, California ผู้คนที่พบเห็นก็ตื่นตาตื่นใจ

วันที่ 18 มกราคม 1986 โครงการก็ได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้าย และเปลี่ยนชื่อรหัสเป็น "P729" เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต ในส่วนนี้หัวหน้าโครงการคือ Toshihiko Hirai ผลิต MULES (prototype version ท้ายสุด) มา 5 คัน แล้วส่งไปทดสอบ การชนด้านหน้า และการชนด้านท้ายที่ IAD เจ้าเก่า

ในขณะที่ทีมออกแบบได้แก่ Mark Jordan (ออกแบบ MX-5 NA), Tom "Tsutomu" Mitano (ออกแบบ MX-5 NA, NB, RX-7 FD), Wu Huang Chin, Norman Garrett และ Koichi Hayashi ก็ทำงานในส่วนออกแบบขั้นสุดท้าย และโครงการก็ย้ายไปที่ญี่ปุ่นสำหรับงานวิศวกรรมและงานรายละเอียดการผลิต

ในปี 1989 ชื่ออย่างเป็นทางการได้ถูกเลือก: MX-5 พร้อมแล้วที่จะอวดโฉมต่อสายตาชาวโลกในฐานะรถสปอร์ตน้ำหนักเบาอย่างแท้จริง ในพิกัดเพียง 940 kg.!!!

แต่แม้ว่า MX-5 จะถูกวางตำแหน่งเป็นรถสปอร์ตราคาไม่แพง แต่ในช่วง pre-order มีความต้องการของลูกค้าสูงมาก บรรดา dealers ในทวีปอเมริกาเหนือ จึงพากันขึ้นราคากันเองจาก ราคาแนะนำโรงงาน (MSRP) เป็นที่สนุกสนาน

Jinba Ittai

Mazda จัดทำข้อบัญญัติแนวคิดสำหรับ MX-5 ขึ้นมา ซึ่งก็ใช้ต่อเนื่องกันมาทั้ง NA NB NC ND และคงจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ เรียกว่า "Jinba Ittai" พอจะแปลคร่าวๆได้ว่า "คนขี่และม้ารวมเป็นหนึ่ง"

ณ เวลาที่ออกแบบ MX-5 NA ข้อบัญญัติหลักนี้ถูกกระจายออกมาได้ 5 ข้อย่อย ที่จะกำหนดแก่นของการออกแบบ ได้แก่

1.) รถจะต้องกระทัดรัดและน้ำหนักเบาที่สุดเท่านั้นเท่าที่จะผ่านมาตรฐานความปลอดภัยทั่วโลก

2.) ห้องโดยสารจะต้องโดยสารโดยคน 2 คนที่มีขนาดความสูงเต็มพิกัดได้อย่างสบายพอดีเท่านั้นและต้องไม่มีที่ว่างเหลือให้เสียเปล่าเด็ดขาด

3.) ลักษณะเครื่องต้องวางกลางหน้า (front-midship) และขับหลัง แบบต้นฉบับแบบนี้เท่านั้น เครื่องจะต้องอยู่หน้าคนขับ แต่อยู่หลังแกนล้อหน้า เพื่อการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 เท่านั้น

4.) ระบบกันสะเทือนทั้ง 4 ล้อ ต้องเป็นแบบ wishbone หรือ multi-link เท่านั้น เพื่อให้ใช้ความสามารถของยาง, การเกาะถนน และความสมดุลของพลวัต ได้สูงสุดเท่านั้น

5.) และจุดยึดเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังต้องยึดตรึงแน่นหนาที่สุดเท่านั้นกับเครื่องยนต์และชุดเฟืองท้าย เพื่อทำให้การตอบสนองของคันเร่ง คม ที่สุด เท่านั้น

รูปเพิ่ม
.
https://m.facebook.com/permalink.php?story_fbid=260348211170301&id=260183984520057&notif_id=1519650045833486&notif_t=scheduled_post_published&ref=notif

========
Facebook Page: ทุกเรื่องที่มีล้อ และวิ่งได้

ขอบคุณทุก Follows และทุก Likes ครับ
========

เพจสอนภาษาอังกฤษ

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=964273607053218&id=950904501723462

========
Facebook Page: GTG and Students
.
Thanks for all your Follows and Likes
.
Instagram: GTG and Students
Twitter: GTG and Students
========
Photos are courtesy of
wikipedia.com
nsw.mx5.com.au
jalopnik.com
linkedin.com
pinterest.com
advrider.com
vwvortex.com
roadster.blog
deviantart.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่