ศาสนาคืออะไร?
คำว่า ศาสนา ถูกทำให้มีความหมายสับสนโดยไม่เจตนา คือ มันเป็นมาเรื่อยๆ โดยไม่มีใครเจตนาจะไปทำให้มันผิดอะไรไป แต่มันก็มีความสับสน จนไม่ค่อยจะสำเร็จประโยชน์ หรือไม่สำเร็จประโยชน์เลย
สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา บางคนไปเล็งที่วัตถุก็มี บางคนก็ไปเล็งที่ขนบธรรมเนียมประเพณีก็มี บางคนไปเล็งที่การเล่า บวช การเรียนก็มี น้อยคนที่จะไปเล็งที่การปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส
พวกแรกที่เล็งถึงวัตถุนั้น ก็เช่นว่า เขาเอาสัญลักษณ์ของศาสนานั่นแหละ มาเป็นตัวศาสนา เอาพระพุทธรูป เอาโบสถ์ เอาวิหาร พระเจดีย์ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของศาสนานั้นเป็นตัวศาสนา เมื่อจะพูดว่า ศาสนาเจริญ เขาก็หมายถึง สิ่งเหล่านั้นมีมาก นี้เรียกว่า เอาวัตถุ เช่น โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ เป็นต้น ว่าเป็นตัวศาสนา
แม้ที่สุดแต่ผ้าเหลือง ผ้ากาสาวพัสตร์ของภิกษุนี้ก็ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของศาสนา เช่น เขาว่า อาณาจักรแห่งผ้ากาสาวพัสตร์อย่างนี้ ก็หมายถึงประเทศที่มันมีศาสนาเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น
ทีนี้บางพวกก็เลื่อนจากวัตถุเช่นนี้สูงขึ้นไปถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องบวช เรื่องเรียน เรื่องที่มันเป็นประเพณีก็แล้วกัน ทำบุญทำทาน ทอดกฐิน ทอดอะไรกันตามประเพณี จนเป็นประเพณี จนหมดความหมายของธรรมะไปก็มี นี่เขาก็เรียกว่า ศาสนาเหมือนกัน
ถ้าศาสนาเจริญ ก็มีคนทำบุญทำทาน ทอดกฐิน อะไรกันมากมาย ที่ดีกันไปกว่านั้น ก็ว่ามีคนบวชมีคนเล่าเรียน มีโรงเรียนมีเรียนพระไตรปิฎกกันมาก นี่ก็ศาสนาก็เจริญ แม้ว่าเรียนพอเป็นพิธี หรือกระทั่งเป็น พิธีรีตอง นั้นก็เป็นศาสนาไปหมด บางคนพูดว่า สร้างพระคัมภีร์ไตรปิฎก ไว้ในพระพุทธศาสนา นี่ก็เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างนี้ สร้างใบลาน สร้างอะไรไว้ในพุทธศาสนา เพื่อให้คนได้ศึกษาเล่าเรียน หนักเข้าก็เป็นใบลานที่เขียนผิด ๆ ถูก ๆ ไม่มีความหมายอะไรก็มี เพราะเขาทำขายกันอย่างสินค้า นี้ก็เป็นพิธีประรำประราค่อย ๆ หายไปแล้วเดี๋ยวนี้
ศาสนาที่แท้จริงนั้น มันคือ ตัวการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตัวศาสนาที่แท้จริงนั้น คือ ตัวการ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าเรียกอย่างไพเราะ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า พรหมจรรย์
ทีนี้พอมาถึงคำว่า "พรหมจรรย์" มันก็ทำความสับสนอีกนั่นแหละ เพราะมันมีความหมายหลายอย่าง ที่ว่าคนรักษา พรหมจรรย์ หญิงสาวชายหนุ่ม รักษาพรหมจรรย์ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องไม่ทำผิดในทางเพศ ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ การบวชนี่ก็ประพฤติพรหมจรรย์ การบวชเฉย ๆ แม้ไม่ประพฤติอะไร ก็เรียกว่า พรหมจรรย์
แต่ถ้าโดยเนื้อแท้แล้ว คำว่า พรหมจรรย์ นั้นหมายถึง การประพฤติที่สูงสุด การประพฤติที่ทำด้วยความเสียสละสูงสุด ตั้งอกตั้งใจที่สุด มุ่งหมายจะกำจัดความชั่ว หรือกิเลส แล้วก็เรียกว่า พรหมจรรย์ นั่นคือ ตัวสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ขอให้รู้จักคำว่าพรหมจรรย์ นี้ให้กว้าง หมายถึง ตัวศาสนาทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น คำพูดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอจงไปประกาศพรหมจรรย์ ใช้ภิกษุ ทั้งหลายที่สำเร็จการปฏิบัติแล้ว ว่าเธอจงไปประกาศพรหมจรรย์อย่างนี้เป็นต้น ถ้าคนแรกมา ท่านก็มา ๆ มาประพฤติพรหมจรรย์ นี่พอตรัสอย่างนี้ ก็ถือว่าคนนั้นเป็น ภิกษุ เรียกว่า เอหิภิกขุ อุปสัมปะทา เอหิภิกขุ พรัมมะ จริยัง จะระถิ มาประพฤติพรหมจรรย์ อันนี้ก็เป็นภิกษุแล้ว นี่ต้องประพฤติพรหมจรรย์ พอปฏิบัติได้ผล เป็นที่พอใจ หรือถึงที่สุดแล้ว ท่านก็ไล่ว่าไป ๆ ไปประพฤติ ไปเผยแพร่พรหมจรรย์ ไปประกาศพรหมจรรย์ นั่นแหละคือ ตัวศาสนาที่แท้จริง คือ ทำให้รู้แล้วให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง จนได้รับผลของการปฏิบัติ การไปประกาศพรหมจรรย์ ก็ต้องไปทำให้เขาปฏิบัติได้ จนสำเร็จประโยชน์
พุทธทาสภิกขุ
ศาสนาคืออะไร
คำว่า ศาสนา ถูกทำให้มีความหมายสับสนโดยไม่เจตนา คือ มันเป็นมาเรื่อยๆ โดยไม่มีใครเจตนาจะไปทำให้มันผิดอะไรไป แต่มันก็มีความสับสน จนไม่ค่อยจะสำเร็จประโยชน์ หรือไม่สำเร็จประโยชน์เลย
สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา บางคนไปเล็งที่วัตถุก็มี บางคนก็ไปเล็งที่ขนบธรรมเนียมประเพณีก็มี บางคนไปเล็งที่การเล่า บวช การเรียนก็มี น้อยคนที่จะไปเล็งที่การปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส
พวกแรกที่เล็งถึงวัตถุนั้น ก็เช่นว่า เขาเอาสัญลักษณ์ของศาสนานั่นแหละ มาเป็นตัวศาสนา เอาพระพุทธรูป เอาโบสถ์ เอาวิหาร พระเจดีย์ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของศาสนานั้นเป็นตัวศาสนา เมื่อจะพูดว่า ศาสนาเจริญ เขาก็หมายถึง สิ่งเหล่านั้นมีมาก นี้เรียกว่า เอาวัตถุ เช่น โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ เป็นต้น ว่าเป็นตัวศาสนา
แม้ที่สุดแต่ผ้าเหลือง ผ้ากาสาวพัสตร์ของภิกษุนี้ก็ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของศาสนา เช่น เขาว่า อาณาจักรแห่งผ้ากาสาวพัสตร์อย่างนี้ ก็หมายถึงประเทศที่มันมีศาสนาเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น
ทีนี้บางพวกก็เลื่อนจากวัตถุเช่นนี้สูงขึ้นไปถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องบวช เรื่องเรียน เรื่องที่มันเป็นประเพณีก็แล้วกัน ทำบุญทำทาน ทอดกฐิน ทอดอะไรกันตามประเพณี จนเป็นประเพณี จนหมดความหมายของธรรมะไปก็มี นี่เขาก็เรียกว่า ศาสนาเหมือนกัน
ถ้าศาสนาเจริญ ก็มีคนทำบุญทำทาน ทอดกฐิน อะไรกันมากมาย ที่ดีกันไปกว่านั้น ก็ว่ามีคนบวชมีคนเล่าเรียน มีโรงเรียนมีเรียนพระไตรปิฎกกันมาก นี่ก็ศาสนาก็เจริญ แม้ว่าเรียนพอเป็นพิธี หรือกระทั่งเป็น พิธีรีตอง นั้นก็เป็นศาสนาไปหมด บางคนพูดว่า สร้างพระคัมภีร์ไตรปิฎก ไว้ในพระพุทธศาสนา นี่ก็เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างนี้ สร้างใบลาน สร้างอะไรไว้ในพุทธศาสนา เพื่อให้คนได้ศึกษาเล่าเรียน หนักเข้าก็เป็นใบลานที่เขียนผิด ๆ ถูก ๆ ไม่มีความหมายอะไรก็มี เพราะเขาทำขายกันอย่างสินค้า นี้ก็เป็นพิธีประรำประราค่อย ๆ หายไปแล้วเดี๋ยวนี้
ศาสนาที่แท้จริงนั้น มันคือ ตัวการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตัวศาสนาที่แท้จริงนั้น คือ ตัวการ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าเรียกอย่างไพเราะ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า พรหมจรรย์
ทีนี้พอมาถึงคำว่า "พรหมจรรย์" มันก็ทำความสับสนอีกนั่นแหละ เพราะมันมีความหมายหลายอย่าง ที่ว่าคนรักษา พรหมจรรย์ หญิงสาวชายหนุ่ม รักษาพรหมจรรย์ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องไม่ทำผิดในทางเพศ ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ การบวชนี่ก็ประพฤติพรหมจรรย์ การบวชเฉย ๆ แม้ไม่ประพฤติอะไร ก็เรียกว่า พรหมจรรย์
แต่ถ้าโดยเนื้อแท้แล้ว คำว่า พรหมจรรย์ นั้นหมายถึง การประพฤติที่สูงสุด การประพฤติที่ทำด้วยความเสียสละสูงสุด ตั้งอกตั้งใจที่สุด มุ่งหมายจะกำจัดความชั่ว หรือกิเลส แล้วก็เรียกว่า พรหมจรรย์ นั่นคือ ตัวสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ขอให้รู้จักคำว่าพรหมจรรย์ นี้ให้กว้าง หมายถึง ตัวศาสนาทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น คำพูดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอจงไปประกาศพรหมจรรย์ ใช้ภิกษุ ทั้งหลายที่สำเร็จการปฏิบัติแล้ว ว่าเธอจงไปประกาศพรหมจรรย์อย่างนี้เป็นต้น ถ้าคนแรกมา ท่านก็มา ๆ มาประพฤติพรหมจรรย์ นี่พอตรัสอย่างนี้ ก็ถือว่าคนนั้นเป็น ภิกษุ เรียกว่า เอหิภิกขุ อุปสัมปะทา เอหิภิกขุ พรัมมะ จริยัง จะระถิ มาประพฤติพรหมจรรย์ อันนี้ก็เป็นภิกษุแล้ว นี่ต้องประพฤติพรหมจรรย์ พอปฏิบัติได้ผล เป็นที่พอใจ หรือถึงที่สุดแล้ว ท่านก็ไล่ว่าไป ๆ ไปประพฤติ ไปเผยแพร่พรหมจรรย์ ไปประกาศพรหมจรรย์ นั่นแหละคือ ตัวศาสนาที่แท้จริง คือ ทำให้รู้แล้วให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง จนได้รับผลของการปฏิบัติ การไปประกาศพรหมจรรย์ ก็ต้องไปทำให้เขาปฏิบัติได้ จนสำเร็จประโยชน์
พุทธทาสภิกขุ