สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าอายุ 30+ และเรียนเกี่ยวกับศิลปะที่มีภาพถ่ายมาร่วม เคยเข้าห้องมืดเองทุกคนแน่นนอน ผมอยู่ในช่วงรอยต่อ เพราะตอนมัธยมเป็นยุค F801 พอเรียนจบมาปุ๊บ DSLR เริ่มรุกเข้ามาจริงๆแล้ว แต่คุณภาพต่ำ ยุคนั้นมือถือเพิ่งเริ่มมีจอสี และไม่นานมันก็ถ่ายภาพได้ พร้อมๆกับที่โปรเรอ่มหันมาใช้ DSLR ถ่ายภาพ
แต่ถามว่าตอนนั้นคนจะเลิกใช้ฟีมล์มั้ย คนจะตอบว่าไม่เพราะงาน commercial ดิจิตัลยังทำไม่ได้
แต่แค่ไม่กี่ปี DSLR เอามาถ่ายขึ้น billboard ได้ ความละเอียด 10 ล้านเองมั้ง
ในขณะที่กล้องคอมแพ็คขายดี คนไม่ต้อง.ื้อฟีมล์ ถ่ายง่ายภาพสวย มือถือถ่ายได้แต่ไม่มี social ถ่ายไว้อัด ไว้ส่ง mms คนยังไม่นิยมใช้มือถือถ่ายกัน
คนเล่นกล้องหันไปใช้ dslr กันฟีมล์เริ่มตาย เพราะตลาด consumer ไปแล้ว กล้อมคอมแพ็ค 2 ล้านพิกเซลถ่ายได้สะดวกกว่า ได้ภาพเทียบเท่ากันในการอัดขยายขนาด 4x6 ปรับความไวแสงได้
ไม่นานจากนั้นยุค social ก็เข้ามา my space, hi5 มือถือเองก็เริ่มรองรับระบบต่างๆมากขึ้น การมาของ symbian และ linux ทำให้เกิดแอพฯต่างๆเป็นจุดเริ่มของสมาร์ทโฟน ผมจำได้ว่าตอนนั้นเราถ่ายภาพบนมือถือส่งเข้าเมลเพื่อเปิดในคอมได้ กล้องคอมแพ็คใช้ง่ายถ่ายดี ถอดการ์ดเอารูปลง hi5 สบายๆ การอัดภาพเริ่มลดลง
DSLR ก็ถูกลงจนมีรุ่นถูกๆให้เล่น จนผมตัดสินใจจับ D60 จากนั้นอีกปีก็มีสิ่งที่ฆ่าระบบฟีมล์และอัดภาพไปตลอดกาล ... Smartphone
Blackberry เข้ามาทำให้การแชทที่เคยอยู่บน PC ผ่าน pirch มายัง ICQ และฮือฮามากกับ msn ต้องถึงยุคชรา จากที่เคยคุยกันผ่านคอม ทักกันผ่าน my space, hi5. ตอนนี้ใช้พิน BBM มาคุยกัน อีกฝั่งก็มี whatsapp ตามมา และแน่นอนว่ามันส่งภาพหากันได้
ผมเคยไปทำงานแล้วถ่ายโลเคชั่นส่งผ่าน bb มันสะดวกมาก แล้วก็เอาภาพนั้นแหละมาทำ presentation ลูกค้าต่อ ในระยะนั้นงาน commercial ไปดิจิตัลแล้ว คุณภาพมันตีคู่และชนะความสะดวกแล้ว ภาพยนต์เริ่มถ่ายด้วยดิจิตัล รายการทีวีไม่แบก beta แล้ว รายการนำเที่ยวแนวสะพายเป้ทำงาน 2 คน กับกล้อง 3 CCD ทำรายการออกอากาศได้
ฟีมล์กลายเป็นอดีต ร้านอัดรูปค่อยๆปิดตัวลง ชั้นสี่เหลี่ยมเอียงหายไปจากความทรงจำ อัลบั้มภาพไม่มีต่อไป เครื่องพิมพ์ดิจิตัลก็แพง ร้านจะลงทุนต่อชีวิตต้องวัดใจกัน คนซื้อฟีมล์ก็หาย คนถ่ายภาพแล้วไม่อัดภาพเค้ามีที่ใหม่ไว้ดู จะอยู่ได้ก็งาน commercial ที่เทไปดิจิตัลหมดแล้ว
สมาร์ทโฟน กระโดดเข้ายุค 2.5g แอปเปิลเข้าตลาดส่ง iphone เข้ามา และไม่นาน social บน pc ก็เข้ามาอยู่ในมือ กล้องมือถือเริ่มดีตีคู่กล้องคอมแพ็ค และสะดวกกว่า ด้าน dslr ก็รุดหน้าทะลุ 20 ล้านไปแล้ว สามารถอัดภาพใหญ่ๆได้ดี มีการไล่เม็ดสีเก่งขึ้น กล้อง dslr ระดับ consumer ถ่ายภาพขนาดปกติ อัดออกมาได้ภาพดีกว่าฟีมล์ในแง่ของความไวแสงก็เก่งขึ้น
จนในที่สุด ทุกๆคนถ่ายรูปได้ ลงรูปได้ เอารูปให้เพื่อนดูได้ผ่าน FB ส่งให้เพื่อนทันทีผ่าน Line สิ่งนี้มาได้กว่าครึ่งทศวรรษแล้วนะครับ มันเหมือนไม่นาน แต่ 5 ปี มันนานสำหรับคนจะก้าวผ่านเจเนอเรชั่นได้ เด็กส่วนหนึ่งเริ่มเติบโตและแสวงหาตัวเอง เริ่มมีหน้าที่งานและมองหาสิ่งแปลกใหม่ พวกเค้าเกิดมาช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่าน ฟีมล์คือความทรงจำลางๆวัยเด็ก เทปเพลงเป็นสมบัติในบ้านของพ่อแม่ ยังเคยนังรถที่มีช่องเล่นเทป แต่ความทรงจำหลักและวัยรุ่นเค้ามาในช่วง social บน pc แล้ว ทุกอย่างมันออนไลน์หมด ในวันที่กล้องคือสิ่งบ่งบอกตัวตน mirrorless เข้ามาในช่องว่างของคนชอบถ่ายภาพที่ต้องการมากกว่าภาพจากมือถือ ถ้าผมจำไม่ผิดยอดขายกล้องช่วงหลังพุ่งกระฉูดเมื่อมันคือกระแสวิถีชีวิต
ฟีมล์ก็กลับมาอีกครั้งในช่วงหลัง เมื่อคนถวิลหากลิ่นเดิม เสน่ห์เดิมๆ ของความทรงจำลางๆ หรือการตามกระแสของคนกลุ่มนั้นอีกต่อของผู้แสวงหาแนวทาง มันทำให้กล้องฟีมล์เก่าๆถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกรอบ ฟีมล์ก็กลับมาใหม่ในตลาด
ผมเคยเห็นลางๆนะว่าแม้ dslr จะมาแล้วแต่ยังมีคนใช้ฟีมล์ถ่ายอยู่กลุ่มเล็กๆ มีฟีมล์เก่าขาย ถึงจะเติบโตขึ้นมากแต่ก็คือ “กระแสทางเลือก”
มันเป็นเช่นนี้ในทุกๆศิลป์และศาสตร์ กระแสหลักจะเดินหน้าต่อไป จะเกิดสิ่งใหม่มาทับสิ่งเก่า และสิ่งเก่าจะกลายเป็นทางเลือก ให้เกิดคำถามแบบนี้
มนุษย์ต้องการตัวตน มนุษย์มักติดกับความทรงจำเล็กๆ และมนุษย์มักตั้งคำถามกับเรื่องราวของมัน
ในโลกนี้ สิ่งที่ “คืนชีพ” กลับมาเป็นกระแสหลัก ... ผมยังนึกไม่ออกเลย
แต่ถามว่าตอนนั้นคนจะเลิกใช้ฟีมล์มั้ย คนจะตอบว่าไม่เพราะงาน commercial ดิจิตัลยังทำไม่ได้
แต่แค่ไม่กี่ปี DSLR เอามาถ่ายขึ้น billboard ได้ ความละเอียด 10 ล้านเองมั้ง
ในขณะที่กล้องคอมแพ็คขายดี คนไม่ต้อง.ื้อฟีมล์ ถ่ายง่ายภาพสวย มือถือถ่ายได้แต่ไม่มี social ถ่ายไว้อัด ไว้ส่ง mms คนยังไม่นิยมใช้มือถือถ่ายกัน
คนเล่นกล้องหันไปใช้ dslr กันฟีมล์เริ่มตาย เพราะตลาด consumer ไปแล้ว กล้อมคอมแพ็ค 2 ล้านพิกเซลถ่ายได้สะดวกกว่า ได้ภาพเทียบเท่ากันในการอัดขยายขนาด 4x6 ปรับความไวแสงได้
ไม่นานจากนั้นยุค social ก็เข้ามา my space, hi5 มือถือเองก็เริ่มรองรับระบบต่างๆมากขึ้น การมาของ symbian และ linux ทำให้เกิดแอพฯต่างๆเป็นจุดเริ่มของสมาร์ทโฟน ผมจำได้ว่าตอนนั้นเราถ่ายภาพบนมือถือส่งเข้าเมลเพื่อเปิดในคอมได้ กล้องคอมแพ็คใช้ง่ายถ่ายดี ถอดการ์ดเอารูปลง hi5 สบายๆ การอัดภาพเริ่มลดลง
DSLR ก็ถูกลงจนมีรุ่นถูกๆให้เล่น จนผมตัดสินใจจับ D60 จากนั้นอีกปีก็มีสิ่งที่ฆ่าระบบฟีมล์และอัดภาพไปตลอดกาล ... Smartphone
Blackberry เข้ามาทำให้การแชทที่เคยอยู่บน PC ผ่าน pirch มายัง ICQ และฮือฮามากกับ msn ต้องถึงยุคชรา จากที่เคยคุยกันผ่านคอม ทักกันผ่าน my space, hi5. ตอนนี้ใช้พิน BBM มาคุยกัน อีกฝั่งก็มี whatsapp ตามมา และแน่นอนว่ามันส่งภาพหากันได้
ผมเคยไปทำงานแล้วถ่ายโลเคชั่นส่งผ่าน bb มันสะดวกมาก แล้วก็เอาภาพนั้นแหละมาทำ presentation ลูกค้าต่อ ในระยะนั้นงาน commercial ไปดิจิตัลแล้ว คุณภาพมันตีคู่และชนะความสะดวกแล้ว ภาพยนต์เริ่มถ่ายด้วยดิจิตัล รายการทีวีไม่แบก beta แล้ว รายการนำเที่ยวแนวสะพายเป้ทำงาน 2 คน กับกล้อง 3 CCD ทำรายการออกอากาศได้
ฟีมล์กลายเป็นอดีต ร้านอัดรูปค่อยๆปิดตัวลง ชั้นสี่เหลี่ยมเอียงหายไปจากความทรงจำ อัลบั้มภาพไม่มีต่อไป เครื่องพิมพ์ดิจิตัลก็แพง ร้านจะลงทุนต่อชีวิตต้องวัดใจกัน คนซื้อฟีมล์ก็หาย คนถ่ายภาพแล้วไม่อัดภาพเค้ามีที่ใหม่ไว้ดู จะอยู่ได้ก็งาน commercial ที่เทไปดิจิตัลหมดแล้ว
สมาร์ทโฟน กระโดดเข้ายุค 2.5g แอปเปิลเข้าตลาดส่ง iphone เข้ามา และไม่นาน social บน pc ก็เข้ามาอยู่ในมือ กล้องมือถือเริ่มดีตีคู่กล้องคอมแพ็ค และสะดวกกว่า ด้าน dslr ก็รุดหน้าทะลุ 20 ล้านไปแล้ว สามารถอัดภาพใหญ่ๆได้ดี มีการไล่เม็ดสีเก่งขึ้น กล้อง dslr ระดับ consumer ถ่ายภาพขนาดปกติ อัดออกมาได้ภาพดีกว่าฟีมล์ในแง่ของความไวแสงก็เก่งขึ้น
จนในที่สุด ทุกๆคนถ่ายรูปได้ ลงรูปได้ เอารูปให้เพื่อนดูได้ผ่าน FB ส่งให้เพื่อนทันทีผ่าน Line สิ่งนี้มาได้กว่าครึ่งทศวรรษแล้วนะครับ มันเหมือนไม่นาน แต่ 5 ปี มันนานสำหรับคนจะก้าวผ่านเจเนอเรชั่นได้ เด็กส่วนหนึ่งเริ่มเติบโตและแสวงหาตัวเอง เริ่มมีหน้าที่งานและมองหาสิ่งแปลกใหม่ พวกเค้าเกิดมาช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่าน ฟีมล์คือความทรงจำลางๆวัยเด็ก เทปเพลงเป็นสมบัติในบ้านของพ่อแม่ ยังเคยนังรถที่มีช่องเล่นเทป แต่ความทรงจำหลักและวัยรุ่นเค้ามาในช่วง social บน pc แล้ว ทุกอย่างมันออนไลน์หมด ในวันที่กล้องคือสิ่งบ่งบอกตัวตน mirrorless เข้ามาในช่องว่างของคนชอบถ่ายภาพที่ต้องการมากกว่าภาพจากมือถือ ถ้าผมจำไม่ผิดยอดขายกล้องช่วงหลังพุ่งกระฉูดเมื่อมันคือกระแสวิถีชีวิต
ฟีมล์ก็กลับมาอีกครั้งในช่วงหลัง เมื่อคนถวิลหากลิ่นเดิม เสน่ห์เดิมๆ ของความทรงจำลางๆ หรือการตามกระแสของคนกลุ่มนั้นอีกต่อของผู้แสวงหาแนวทาง มันทำให้กล้องฟีมล์เก่าๆถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกรอบ ฟีมล์ก็กลับมาใหม่ในตลาด
ผมเคยเห็นลางๆนะว่าแม้ dslr จะมาแล้วแต่ยังมีคนใช้ฟีมล์ถ่ายอยู่กลุ่มเล็กๆ มีฟีมล์เก่าขาย ถึงจะเติบโตขึ้นมากแต่ก็คือ “กระแสทางเลือก”
มันเป็นเช่นนี้ในทุกๆศิลป์และศาสตร์ กระแสหลักจะเดินหน้าต่อไป จะเกิดสิ่งใหม่มาทับสิ่งเก่า และสิ่งเก่าจะกลายเป็นทางเลือก ให้เกิดคำถามแบบนี้
มนุษย์ต้องการตัวตน มนุษย์มักติดกับความทรงจำเล็กๆ และมนุษย์มักตั้งคำถามกับเรื่องราวของมัน
ในโลกนี้ สิ่งที่ “คืนชีพ” กลับมาเป็นกระแสหลัก ... ผมยังนึกไม่ออกเลย
ความคิดเห็นที่ 3
ตรงข้ามเลยครับ ในด้านคุณภาพ ดิจิทัลดีกว่ามาก
กระบวนการควบคุมคุณภาพ ยิ่งมีโพรเซสที่เป็น riskมากเท่าไหร่ ยิ่งอันตรายต่อเอาท์พุทมากเท่านั้
ดิจิทัล เราควบคุมเองหมด
ฟิล์ม คุณเดเวลอปเองไหม สแกนเองไหม มันมีโพรเซสที่มีความเสี่ยง ควบคุมไม่ได้ มากเกินไป
มองในมุมของคนทำงานสายอุตสาหกรรม
การใช้งานกล้องฟิล์ม เหมือนเราเอาชีวิตไปแขวนไว้กับ third party มากเกินไป high risk สำหรับด้าน Product Quality มากๆ
กระบวนการควบคุมคุณภาพ ยิ่งมีโพรเซสที่เป็น riskมากเท่าไหร่ ยิ่งอันตรายต่อเอาท์พุทมากเท่านั้
ดิจิทัล เราควบคุมเองหมด
ฟิล์ม คุณเดเวลอปเองไหม สแกนเองไหม มันมีโพรเซสที่มีความเสี่ยง ควบคุมไม่ได้ มากเกินไป
มองในมุมของคนทำงานสายอุตสาหกรรม
การใช้งานกล้องฟิล์ม เหมือนเราเอาชีวิตไปแขวนไว้กับ third party มากเกินไป high risk สำหรับด้าน Product Quality มากๆ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมกล้องฟิล์มถึงไม่มีบริษัทใหญ่ๆผลิตแล้วทั้งๆที่กล้องฟิล์มไม่ได้แย่กว่า dslr เท่าไหร่ ในเรื่องคุณภาพ
ลองเปรียบเทียบดูเล่นๆนะครับ