สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
เป็นประเด็นที่น่าสนใจดีครับ
ดูจากประวัติตั้งกระทู้ของ จขกท เป็นคนขี้สงสัย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็ตั้งกระทู้สงสัยถี่ทีเดียว น่าจะเป็นลักษณะคนชอบตั้งคำถามหรือ Skeptic
ข้อดีคือ คุณเป็นคนฉลาดครับ คนฉลาดมักคิดก่อนทำ หลีกเลี่ยงความเสียหายเท่าที่เป็นไปได้ ข้อเสียคือมัวแต่ตั้งคำถามกลับไปกลับมาจนรู้สึกกลัวไม่กล้าตัดสินใจอะไร หรืองกๆ เงิ่นๆ
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณได้มีส่วนนึงในการโปรโมทเพื่อนร่วมงานให้ได้เลื่อนตำแหน่งในที่ประชุม ด้านนึงคุณอาจคิดว่าเราทำดีกับเขาเพราะเขามีความสามารถจริงๆ คุณอยากให้เครดิตเขาเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่อีกด้าน หากคุณเคยระหองระแหงกับเพื่อนร่วมงานคนนี้บ่อยๆ คุณก็อาจนึกกังวลว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ ถ้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าจริงๆ จะถือสาหาความเรื่องทะเลาะกันตอนตำแหน่งเดียวกันหรือเปล่า สุดท้าย ทั้งๆ ที่คุณจะช่วยโหวตในที่ประชุมให้เพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพต่อองค์กรได้ แต่คุณอาจจะเลือกไม่โหวตให้ก็ได้เพราะความกลัวว่าถ้าเขาเลื่อนตำแหน่งจะบ้าอำนาจหรือนึกคิดแก้แค้นคุณ เป็นมุมมองที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจ
นั่นละครับคือ worst case scenario (สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้) ที่คนฉลาดชอบจินตนาการ
ข้อดีคือระแวดระวังความปลอดภัยกับตัวเองเต็มที่ แต่อีกด้านถ้าสุดโต่งก็พร้อมๆ ไปกับ ไม่เคยเชื่อใจหรือให้ใจใครเลย ไม่เคยเอาตัวเองไปช่วยหรือดันคนอื่น คิดแต่กลัวตัวเองจะเสียเปรียบในท้ายที่สุดเสมอ แต่เท่าที่ผมเห็นนะ คนแบบนี้มักจะลงเอยด้วยความโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้งเสมอ
พี่คนนึงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและผมนับถือมากคนหนึ่ง เคยสอนผมว่า ความที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดที่สุด นึก worst case scenario เยอะๆ เป็นสิ่งที่อันตรายต่อตนเองที่สุดแล้ว เพราะถ้าคุณไม่เคยไว้ใจใครเลย (ในรายละเอียดความไว้ใจก็ไม่จำเป็นต้องให้เต็มร้อย แบ่งเรื่องๆ แบ่งเป็นน้ำหนักหนักเบาตามความเหมาะสมได้) คุณลักษณะแบบนี้จะเก็บรักษาใครไว้รอบกายไม่ได้เลยครับ ไม่ใช่แค่ระยะยาว แค่ระยะสั้นบางคนยังไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย
วิธีหนึ่งที่อาจช่วยได้ คือปรับลดจากความมองโลกในแง่ร้ายสุดติ่ง มาเป็นความมองโลกแบบสมจริง เช่น ถ้าเพื่อนเดือดร้อนมาขอยืมเงิน 10,000 บาท แล้วคุณคิดว่าเพื่อนน่าจะไม่สามารถหามาคืนได้ คุณอาจจะให้ยืมได้เพียง 1,000 บาท แบบที่คุณก็พอรับได้ไม่เดือดร้อน โดยบอกกับเขาว่า มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน ไม่คืนเลยก็แล้วไป หรือเจอเด็กจบใหม่มาสมัครงานประวัติดีเยี่ยม อยากได้เข้ามาร่วมงาน แต่มีงบจ้างจำกัด แง่นึงคุณก็กลัวว่าคนประวัติทำงานดีอย่างเขาจะอยู่กับคุณได้ไม่นาน กลัวจะได้คนหยิบโหย่ง ก็อาจจะตกลงว่าเบื้องต้นขอให้ค่าแรงขั้นต่ำตามโครงสร้างองค์กร แต่ถ้าผ่านการทดลองงานแล้วสัญญาจะปรับเงินเดือนให้ตามที่เขาคาดหวังไว้ เป็นต้น
จากประสบการณ์ที่ทำงานกับคนร่ำรวยมามาก ขอยืนยันว่าการมองโลกในแง่ร้ายสุดติ่ง ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูฉลาดที่สุดหรอกครับ ตรงกันข้าม ถ้าแผ่ความรู้สึกคิดร้ายติดลบต่อคนอื่นมากเข้าๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะระดับบนหรือล่าง ก็ล้วนแล้วแต่พบปลายทางที่คนรอบข้างคนๆ นั้นเห็นตรงกัน คือคนๆ นี้ ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าร่วมงาน ไม่น่าร่วมสังฆกรรมใดๆ ด้วย
ดูจากประวัติตั้งกระทู้ของ จขกท เป็นคนขี้สงสัย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็ตั้งกระทู้สงสัยถี่ทีเดียว น่าจะเป็นลักษณะคนชอบตั้งคำถามหรือ Skeptic
ข้อดีคือ คุณเป็นคนฉลาดครับ คนฉลาดมักคิดก่อนทำ หลีกเลี่ยงความเสียหายเท่าที่เป็นไปได้ ข้อเสียคือมัวแต่ตั้งคำถามกลับไปกลับมาจนรู้สึกกลัวไม่กล้าตัดสินใจอะไร หรืองกๆ เงิ่นๆ
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณได้มีส่วนนึงในการโปรโมทเพื่อนร่วมงานให้ได้เลื่อนตำแหน่งในที่ประชุม ด้านนึงคุณอาจคิดว่าเราทำดีกับเขาเพราะเขามีความสามารถจริงๆ คุณอยากให้เครดิตเขาเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่อีกด้าน หากคุณเคยระหองระแหงกับเพื่อนร่วมงานคนนี้บ่อยๆ คุณก็อาจนึกกังวลว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ ถ้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าจริงๆ จะถือสาหาความเรื่องทะเลาะกันตอนตำแหน่งเดียวกันหรือเปล่า สุดท้าย ทั้งๆ ที่คุณจะช่วยโหวตในที่ประชุมให้เพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพต่อองค์กรได้ แต่คุณอาจจะเลือกไม่โหวตให้ก็ได้เพราะความกลัวว่าถ้าเขาเลื่อนตำแหน่งจะบ้าอำนาจหรือนึกคิดแก้แค้นคุณ เป็นมุมมองที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจ
นั่นละครับคือ worst case scenario (สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้) ที่คนฉลาดชอบจินตนาการ
ข้อดีคือระแวดระวังความปลอดภัยกับตัวเองเต็มที่ แต่อีกด้านถ้าสุดโต่งก็พร้อมๆ ไปกับ ไม่เคยเชื่อใจหรือให้ใจใครเลย ไม่เคยเอาตัวเองไปช่วยหรือดันคนอื่น คิดแต่กลัวตัวเองจะเสียเปรียบในท้ายที่สุดเสมอ แต่เท่าที่ผมเห็นนะ คนแบบนี้มักจะลงเอยด้วยความโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้งเสมอ
พี่คนนึงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและผมนับถือมากคนหนึ่ง เคยสอนผมว่า ความที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดที่สุด นึก worst case scenario เยอะๆ เป็นสิ่งที่อันตรายต่อตนเองที่สุดแล้ว เพราะถ้าคุณไม่เคยไว้ใจใครเลย (ในรายละเอียดความไว้ใจก็ไม่จำเป็นต้องให้เต็มร้อย แบ่งเรื่องๆ แบ่งเป็นน้ำหนักหนักเบาตามความเหมาะสมได้) คุณลักษณะแบบนี้จะเก็บรักษาใครไว้รอบกายไม่ได้เลยครับ ไม่ใช่แค่ระยะยาว แค่ระยะสั้นบางคนยังไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย
วิธีหนึ่งที่อาจช่วยได้ คือปรับลดจากความมองโลกในแง่ร้ายสุดติ่ง มาเป็นความมองโลกแบบสมจริง เช่น ถ้าเพื่อนเดือดร้อนมาขอยืมเงิน 10,000 บาท แล้วคุณคิดว่าเพื่อนน่าจะไม่สามารถหามาคืนได้ คุณอาจจะให้ยืมได้เพียง 1,000 บาท แบบที่คุณก็พอรับได้ไม่เดือดร้อน โดยบอกกับเขาว่า มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน ไม่คืนเลยก็แล้วไป หรือเจอเด็กจบใหม่มาสมัครงานประวัติดีเยี่ยม อยากได้เข้ามาร่วมงาน แต่มีงบจ้างจำกัด แง่นึงคุณก็กลัวว่าคนประวัติทำงานดีอย่างเขาจะอยู่กับคุณได้ไม่นาน กลัวจะได้คนหยิบโหย่ง ก็อาจจะตกลงว่าเบื้องต้นขอให้ค่าแรงขั้นต่ำตามโครงสร้างองค์กร แต่ถ้าผ่านการทดลองงานแล้วสัญญาจะปรับเงินเดือนให้ตามที่เขาคาดหวังไว้ เป็นต้น
จากประสบการณ์ที่ทำงานกับคนร่ำรวยมามาก ขอยืนยันว่าการมองโลกในแง่ร้ายสุดติ่ง ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูฉลาดที่สุดหรอกครับ ตรงกันข้าม ถ้าแผ่ความรู้สึกคิดร้ายติดลบต่อคนอื่นมากเข้าๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะระดับบนหรือล่าง ก็ล้วนแล้วแต่พบปลายทางที่คนรอบข้างคนๆ นั้นเห็นตรงกัน คือคนๆ นี้ ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าร่วมงาน ไม่น่าร่วมสังฆกรรมใดๆ ด้วย
แสดงความคิดเห็น
จะแก้ความเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้อย่างไรบ้าง
เกริ่นก่อนว่า จขกท. อายุ 20 กว่าๆ ฐานะปานกลาง ชีวิตค่อนข้างสุขสบายพอสมควร ไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆแบบหนักๆ
แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้มองโลกในแง่ร้าย แบบว่าอาจจะร้ายกว่าคนที่เคยเจออะไรแย่ๆมาเสียอีก
จขกท. มักจะมองโลกในแง่ร้าย แบบคิดไปก่อน, คิดไปเองว่าคนอื่นหรือบางสิ่งจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้นกับเรา ในทางที่ไม่ดี ถ้าเราทำอะไรออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ จขกท. ต้องวางแผนทำอะไรให้ดีที่สุด อีกประการหนึ่งคือ จขกท. ไม่ชอบให้ใครมา "ว่า" ตัวเอง ทำให้ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ใครว่าได้ แต่พอทำจริงแล้วออกมาไม่ดี ก็กลับกลายเป็นว่ามาโทษตัวเองว่าทำไมทำไม่ได้ ทั้งๆที่คนอื่นที่เรากลัวว่าเขาจะว่าเรา เขากลับไม่แม้แต่จะคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
(ลักษณะนี้บางครั้งนำมาสู่อาการย้ำคิดย้ำทำด้วย แบบว่าต้องคอยดูหรือตรวจว่าที่จะทำดีหรือยัง คนอื่นจะได้ไม่มาว่าเราได้)
อีกทั้งเวลาจะวางแผนทำอะไร จขกท.มักจะคิดถึงความเป็นไปได้ของรูปแบบสถานการณ์ (Scenario) ที่ร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ เพื่อจะได้รับมือได้
และมักจะมองผู้อื่นในแง่ร้ายว่าเขาจะอย่างนั้นอย่างนี้ จนหลายครั้งก็ลามมาใน Social Media (รู้สึกได้จากการตั้งกระทู้ของตัวเองในช่วงหลังๆ)
บางครั้งก็พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนของอาการนี้ของตัวเอง เช่น "โลกนี้มันโหดร้าย" "ดีแล้ว ถ้ามองโลกในแง่ดีมากๆเดี๋ยวจะกลายเป็นโลกสวยเปล่าๆ" คือก็ยอมรับว่าเป็นจริงบ้าง แต่หลายครั้งก็อึดอัดตัวเอง ว่าจะใช้ชีวิตสบายๆ มองโลกในแง่ดีมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ เป็นทางสายกลางน่าจะดีกว่าไหม จะได้สบายใจกว่านี้
เลยมาขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ปล. แท็คศาสนาพุทธด้วยเผื่อจะได้หลักธรรมบางหัวข้อที่อาจนำไปปรับใช้ได้