ใกล้เกษียณแล้ว ต้องหาดอกเบี้ย/ปันผล เพิ่มเพื่อให้ได้ตามที่ตั้งไว้ ด้วยผิดเป้าหมาย (และเล่าเรื่องให้ศึกษา)
(เจตนาคือ แนะนำ โดยเอาประสบการณ์จริงของตนเอง ให้ได้เรียนรู้)
ด้วยไม่เป็นไปตามสะเต็ป ตามลำดับที่ควรเป็น หรือพลาดเป้า ก็ต้องพลิกหาแนวที่เหมาะสม คือตั้งไว้ว่า เมื่อผมเกษียณในปลายปีหน้า ผมต้องได้เงินโดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรส่วนตัวเดือยละ 10,000 บาท
แต่ ณ. ปัจจุบันยังไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อผมเกษียณผมจะได้ทันทีตามนี้.
3,400(เงินบำนาณประกันสังคม) + 4,000(ค่าเช่าหักค่าใช้จ่ายเล็กน้อยแล้ว) + 600(เบี้ยคนแก่รัฐให้) = 8,000 บาท (ส่วนค่ารักษาให้สิทธิ์ภรรยาราชการ)
ยังขาดอีก 2 พันบาท แต่ความจริงแล้วค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมเมื่อเกษียณน่าจะอยู่ที่ 7 พันกว่าบาทต่อเดือนซึ่งฉิวเฉียดไป และไม่มีเงินที่จะไปเที่ยวใหน ที่ผมประเมินแค่นี้เพราะ ภรรยาเกษียณราชการก่อนอายุมา 3 เดือนกว่า เงินเหลื่อที่ได้จาก บำนาณ + ดอกเบี้ย + ปันผล หักใช้จ่ายแล้ว ประมาณ 5 หมื่นบาท เอาไปโปะคอนโดที่ยังผ่อนอยู่ เพราะภรรยาหวังว่า เมื่อผมเกษียณ ผมไม่ต้องไปทำงานอะไรจริงจัง เช่นเพาะเห็ด หรือปลูกผักและต้นไม้ ในที่ 100 ตรว. และ 1.5 ไร่ เพราะอายุมากขึ้นจะไม่ใหวเอา ให้ทำได้แบบเล่นๆ กระก๊อกแก๊กไป ไม่ต้องจริงจัง เดียวทรุดไปเสียก่อน.
ซึ่งความจริงแล้ว เมื่อผมเกษียณไป 2- 3 ปี ผมก็จะมีรายได้ไม่ต้องทำงานเพิ่ม จากเงินที่ลูกให้ แต่ยังเอามาใช่ไม่ได้ เพราะไปซื้อรถป้ายแดงให้ลูก เอาเงินที่ลูกให้นั้นแหละผ่อนให้เขา และผมเพิ่มไปอีกเดือนละเกือบ 1 พัน เมื่อผ่อนหมดก็ยกให้เขา แล้วผมก็จะได้เงินเพิ่ม 4 พ้นบาท ส่วนแม่ก็ 4 พันบาท ก็ต้องรอ ความจริงแล้วลูกให้เพิ่มเมื่อโบนัสออก นี้ก็ได้มาหลายเงินแล้ว ส่วนคอนโด เมื่อผ่อนหมดน่าจะหมดก่อนรถของลูก ผมก็จะได้เพิ่มอีก 4000 หักค่าใช้จ่ายเล็กน้อยแล้ว รวมๆ หลังผมเกษียณไปแล้วสัก 2-3 ปี ผมก็จะมีรายได้ส่วนตัวของผมแบบไม่ต้องทำงาน ประมาณ 16,000 ต่อเดือน
แต่ ณปัจจุบัน เมื่อยังขาดอยู่ 2 พัน จากประสบการณ์ เล่นหุ้นมา 6 ปี เล่นๆ นะ ไม่ได้ลงทุน เพราะจะเอาแค่ค่าขนม ในวงเงิน 1 แสนบาท ยังเสมอตัว ไม่ขาดทุน ก็คงยังทำให้ได้เงินเพิ่มต่อเดือนถึง 2 พันไม่ได้อยู่ดี และผมก็ตั้งเงิน 1 แสนนั้นเป็น 0 ไม่คิดว่าเป็นเงินเก็บ เพราะเอาไว้เล่นๆ เท่านั้น.
แต่ที่เล่นๆ อยู่ 6 ปี ก็ย่อมทำให้เห็นลู่ทางอะไรบ้างในการที่จะหาเงินเพิ่มเพียง 2 พันบาทต่อเดือน ก็คือดอกเบี้ย และการลงทุนในกองทุน
ซึ่งดอกเบี้ยฝากธนาคารแบบพิเศษ 1 แสนบาท จะได้ดอกเบี้ยเดือนละ 100 บาท ส่วนในกองทุนที่เสี่ยงหน่อยนั้นได้ประมาณ 7-10 % คือ ลงทุน 1 แสนบาท ได้ปันผลเฉลี่ยเดือนละ 600 บาท
ดังนั้นถ้าเงิน 4 แสนลงทุนในกองทุน ก็จะได้ปันผลเฉลี่ยต่อเดือน 600 x 4 = 2,400 บาท เกินมาตั้ง 4 ร้อยบาท แต่ภรรยาบอกว่า เสี่ยงเกินไป (เชื่อเมีย และเขาไม่เอาเงินมาเสียงเหล่านี้เลย) ควรกระจายความเสี่ยง ควรมีเงินเก็บในธนาคารเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินสดหรือฉุกเฉิน ผมจึงคิดว่า...
ฝากธนาคารดอกพิเศษ 2 แสน ได้ดอกเบี้ยเดือนละ 200 บาท
ลงทุนในกองทุน 2 แสน ได้ปันผลเฉลียเดือนละ 1,200 บาท รวมแล้ว 1,400 บาทเพิ่มขึ้นต่อเดือน เป็น 9,400 บาท ก็หยวนๆ อยู่ได้
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะ ณ. ปัจจุบัน ผมมีเงินในธนาคาร ประมาณ 2 แสนบาทเอง ดูสิ ผมได้ตั้งกระทู้ เมื่อเดือนมีนาคม 2559 ผมมีเงินเก็บอยู่ประมาณ แสนกว่าบาท 2 ปีมาแล้วผมเก็บได้ประมาณ 1 แสนเอง
------
อายุใกล้เกษียณแล้ว ยังมีเงินเก็บเพียงแสนกว่าเอง ฟังดูแล้วน่าตกใจสำหรับคนที่คิดว่า ต้องมี 10 - 100 ล้านบาท ก่อนเกษียน
P_vicha - 17 มีนาคม 2559 เวลา 17:05 น.
---------
นี้คือสิ่งที่ผมบอกว่า พลาดเป้า หรือไม่ได้เป็นไปตามที่ควรเป็น เพราะเมื่อผมผ่อนหนี้บ้าน 2 หลัง ดิน 2 แปลง รถ 2 คันหมดแล้ว ถึง ณ. ปัจจุบันผมควรมีเงินเก็บในธนาคารส่วนตัว ประมาณ 1 ล้านบาท และเมื่อผมเกษียณปลายปี่หน้าผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ 2 ล้านบาท+เงินเกษียณ รวมแล้วผมและภรรยาจะมีทรัพย์ตอนที่ผมเกษียณประมาณ 10 ล้าน และเมื่อภรรยาเกษียณในอีก 4 ปีข้างหน้า อาจจะถึง 11-12 ล้าน ด้วยเงินเดือนภรรยากำลังก้าวกระโดดในระดับผู้บริหาร.
แต่ความไม่เทียง ในโลกธรรม 8 ย่อมเป็นของคู่กันในโลก ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่ว่าบุคคล หรือห้างร้านบริษัท หรือคณะบุคคลเป็นธรรมดา ไม่ช้าก็เร็วตามฐานวาสนากันไป.
ผมพลาดเป้า ตามที่ควรจะเป็นอย่างไร.
- เมื่อแม่ที่นอนติดเตียง เมื่อพี่ๆ ไม่เอาทั้งที่ผมจ่ายพอประมาณตามควร ผมซึ่งเป็นน้องสุดท้องก็ต้องรับเป็นหลัก มาอยู่ศูนย์เอกชนในกรุงเทพฯ เพราะโดยปกติสุขภาพผมก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พี่บางคนก็ช่วยเพียงเล็กน้อย ก็ต้องขอบคุณพี่ นี้คือเหตุที่เงินสดผมควรจะมีเกือบล้านหายไป ณ.ปัจจุบัน และเก็บไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น
- และเมื่อภรรยาต้องเกษียณก่อนอายุ ถึงหลายปีเพราะด้วยสุขภาพของตนเอง ทรัพย์สินรวมที่พึ่งจะได้ได้ มากกว่า 10 ล้านก็ย่อมถอยลงมา
แต่ผมกลับเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าเสียดายหรือเสียความรู้สึกอะไร เพราะเงินทองทรัพย์สมบัตินั้นไม่ใช่เป้าหมายของผมตั้งแต่ต้น เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ด้วยที่ผมประสงค์ให้ภรรยาและลูก พ้นจากภาวะ ที่ผม+ภรรยา + ลูก ที่เคยตกอับ ไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยเขาอยู่ เพราะผมก่อนแต่งงานผมไม่สะสมทรัพย์สิน เพื่อจะได้บวช เมื่อปัญหาทางสิทธิ์ที่ขาดเสรีภาพบรรเทาลง แต่เมือมันนานจนเกินไป อยู่ในเพศฆราวาส ย่อมหนีไม่พ้นการมีคู่ครอง จะวางแผนก็ไม่ได้ทันแล้ว.
เป้าหมายของผมจริงๆ ตั้งแต่เด็กชั้นประถม ที่ต่อสู้ ทั้งที่โดนบีบเค้นถูกกดดันรอบด้านท้งจากพ่อและกฏหมาย ก็คือ ความรู้ ปัญญา และความสามารถ.จนจบปริญญาตรี จึงสำเร็จทั้งความรู้และปัญญาทางธรรมเบื้องต้น แล้วรอบวชพระอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นเพื่อพัฒนาให้ยิ่งขึ้น
แต่เมื่อไม่ได้เป็นดังนั้น ก็ต้องสร้างความสามารถทางโลกในงานอาชีพให้มากขึ้น จากที่ระกำลำบากของตนเองภรรยาและลูกยิ่ง การไม่มีเงิน การที่ต้องขออาศัยเขาอยู่ เพื่อรอโอกาส ย่อมเห็นความทุกข์ได้อย่างดี เมื่อได้เห็นร่างกายที่เฉียดตาย แล้วจึงพัฒนาปัญญาขึ้นได้ แม้มีครอบครัวนั้นเอง.
สรุป ไม่ได้หวังรวย หวังในปัญญา ความรู้ ความสามารถ ทรัพย์สินเงินทองนั้นเป็นของนอกกาย เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง จึงไม่เครียดดิ้นรนหางานเพื่อหาทรัพย์มากๆ เพราะเห็นว่า ยกทั้งภรรยาและลูก จากที่จะเสียด้วยความบกพร่องให้ดี จากที่ดีให้ดีขึ้น(น่าจะได้เกียรติ์นิยมทั้งสองคนมั่งในการเรียนป.ตรี หนึ่งคนได้มาแล้ว) เพียงแต่เก็บออมรักษาทรัพย์นั้นอย่างประหยัดไว้ก่อให้เกิดประโยชน์ กับครอบครัวรวมทั้งพ่อแม่ เท่านั้นเอง .
ใกล้เกษียณแล้ว ต้องหาดอกเบี้ย/ปันผล เพิ่มเพื่อให้ได้ตามที่ตั้งไว้ ด้วยผิดเป้าหมาย (และเล่าเรื่องให้ศึกษา)
(เจตนาคือ แนะนำ โดยเอาประสบการณ์จริงของตนเอง ให้ได้เรียนรู้)
ด้วยไม่เป็นไปตามสะเต็ป ตามลำดับที่ควรเป็น หรือพลาดเป้า ก็ต้องพลิกหาแนวที่เหมาะสม คือตั้งไว้ว่า เมื่อผมเกษียณในปลายปีหน้า ผมต้องได้เงินโดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรส่วนตัวเดือยละ 10,000 บาท
แต่ ณ. ปัจจุบันยังไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อผมเกษียณผมจะได้ทันทีตามนี้.
3,400(เงินบำนาณประกันสังคม) + 4,000(ค่าเช่าหักค่าใช้จ่ายเล็กน้อยแล้ว) + 600(เบี้ยคนแก่รัฐให้) = 8,000 บาท (ส่วนค่ารักษาให้สิทธิ์ภรรยาราชการ)
ยังขาดอีก 2 พันบาท แต่ความจริงแล้วค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมเมื่อเกษียณน่าจะอยู่ที่ 7 พันกว่าบาทต่อเดือนซึ่งฉิวเฉียดไป และไม่มีเงินที่จะไปเที่ยวใหน ที่ผมประเมินแค่นี้เพราะ ภรรยาเกษียณราชการก่อนอายุมา 3 เดือนกว่า เงินเหลื่อที่ได้จาก บำนาณ + ดอกเบี้ย + ปันผล หักใช้จ่ายแล้ว ประมาณ 5 หมื่นบาท เอาไปโปะคอนโดที่ยังผ่อนอยู่ เพราะภรรยาหวังว่า เมื่อผมเกษียณ ผมไม่ต้องไปทำงานอะไรจริงจัง เช่นเพาะเห็ด หรือปลูกผักและต้นไม้ ในที่ 100 ตรว. และ 1.5 ไร่ เพราะอายุมากขึ้นจะไม่ใหวเอา ให้ทำได้แบบเล่นๆ กระก๊อกแก๊กไป ไม่ต้องจริงจัง เดียวทรุดไปเสียก่อน.
ซึ่งความจริงแล้ว เมื่อผมเกษียณไป 2- 3 ปี ผมก็จะมีรายได้ไม่ต้องทำงานเพิ่ม จากเงินที่ลูกให้ แต่ยังเอามาใช่ไม่ได้ เพราะไปซื้อรถป้ายแดงให้ลูก เอาเงินที่ลูกให้นั้นแหละผ่อนให้เขา และผมเพิ่มไปอีกเดือนละเกือบ 1 พัน เมื่อผ่อนหมดก็ยกให้เขา แล้วผมก็จะได้เงินเพิ่ม 4 พ้นบาท ส่วนแม่ก็ 4 พันบาท ก็ต้องรอ ความจริงแล้วลูกให้เพิ่มเมื่อโบนัสออก นี้ก็ได้มาหลายเงินแล้ว ส่วนคอนโด เมื่อผ่อนหมดน่าจะหมดก่อนรถของลูก ผมก็จะได้เพิ่มอีก 4000 หักค่าใช้จ่ายเล็กน้อยแล้ว รวมๆ หลังผมเกษียณไปแล้วสัก 2-3 ปี ผมก็จะมีรายได้ส่วนตัวของผมแบบไม่ต้องทำงาน ประมาณ 16,000 ต่อเดือน
แต่ ณปัจจุบัน เมื่อยังขาดอยู่ 2 พัน จากประสบการณ์ เล่นหุ้นมา 6 ปี เล่นๆ นะ ไม่ได้ลงทุน เพราะจะเอาแค่ค่าขนม ในวงเงิน 1 แสนบาท ยังเสมอตัว ไม่ขาดทุน ก็คงยังทำให้ได้เงินเพิ่มต่อเดือนถึง 2 พันไม่ได้อยู่ดี และผมก็ตั้งเงิน 1 แสนนั้นเป็น 0 ไม่คิดว่าเป็นเงินเก็บ เพราะเอาไว้เล่นๆ เท่านั้น.
แต่ที่เล่นๆ อยู่ 6 ปี ก็ย่อมทำให้เห็นลู่ทางอะไรบ้างในการที่จะหาเงินเพิ่มเพียง 2 พันบาทต่อเดือน ก็คือดอกเบี้ย และการลงทุนในกองทุน
ซึ่งดอกเบี้ยฝากธนาคารแบบพิเศษ 1 แสนบาท จะได้ดอกเบี้ยเดือนละ 100 บาท ส่วนในกองทุนที่เสี่ยงหน่อยนั้นได้ประมาณ 7-10 % คือ ลงทุน 1 แสนบาท ได้ปันผลเฉลี่ยเดือนละ 600 บาท
ดังนั้นถ้าเงิน 4 แสนลงทุนในกองทุน ก็จะได้ปันผลเฉลี่ยต่อเดือน 600 x 4 = 2,400 บาท เกินมาตั้ง 4 ร้อยบาท แต่ภรรยาบอกว่า เสี่ยงเกินไป (เชื่อเมีย และเขาไม่เอาเงินมาเสียงเหล่านี้เลย) ควรกระจายความเสี่ยง ควรมีเงินเก็บในธนาคารเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินสดหรือฉุกเฉิน ผมจึงคิดว่า...
ฝากธนาคารดอกพิเศษ 2 แสน ได้ดอกเบี้ยเดือนละ 200 บาท
ลงทุนในกองทุน 2 แสน ได้ปันผลเฉลียเดือนละ 1,200 บาท รวมแล้ว 1,400 บาทเพิ่มขึ้นต่อเดือน เป็น 9,400 บาท ก็หยวนๆ อยู่ได้
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะ ณ. ปัจจุบัน ผมมีเงินในธนาคาร ประมาณ 2 แสนบาทเอง ดูสิ ผมได้ตั้งกระทู้ เมื่อเดือนมีนาคม 2559 ผมมีเงินเก็บอยู่ประมาณ แสนกว่าบาท 2 ปีมาแล้วผมเก็บได้ประมาณ 1 แสนเอง
------
อายุใกล้เกษียณแล้ว ยังมีเงินเก็บเพียงแสนกว่าเอง ฟังดูแล้วน่าตกใจสำหรับคนที่คิดว่า ต้องมี 10 - 100 ล้านบาท ก่อนเกษียน
P_vicha - 17 มีนาคม 2559 เวลา 17:05 น.
---------
นี้คือสิ่งที่ผมบอกว่า พลาดเป้า หรือไม่ได้เป็นไปตามที่ควรเป็น เพราะเมื่อผมผ่อนหนี้บ้าน 2 หลัง ดิน 2 แปลง รถ 2 คันหมดแล้ว ถึง ณ. ปัจจุบันผมควรมีเงินเก็บในธนาคารส่วนตัว ประมาณ 1 ล้านบาท และเมื่อผมเกษียณปลายปี่หน้าผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ 2 ล้านบาท+เงินเกษียณ รวมแล้วผมและภรรยาจะมีทรัพย์ตอนที่ผมเกษียณประมาณ 10 ล้าน และเมื่อภรรยาเกษียณในอีก 4 ปีข้างหน้า อาจจะถึง 11-12 ล้าน ด้วยเงินเดือนภรรยากำลังก้าวกระโดดในระดับผู้บริหาร.
แต่ความไม่เทียง ในโลกธรรม 8 ย่อมเป็นของคู่กันในโลก ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่ว่าบุคคล หรือห้างร้านบริษัท หรือคณะบุคคลเป็นธรรมดา ไม่ช้าก็เร็วตามฐานวาสนากันไป.
ผมพลาดเป้า ตามที่ควรจะเป็นอย่างไร.
- เมื่อแม่ที่นอนติดเตียง เมื่อพี่ๆ ไม่เอาทั้งที่ผมจ่ายพอประมาณตามควร ผมซึ่งเป็นน้องสุดท้องก็ต้องรับเป็นหลัก มาอยู่ศูนย์เอกชนในกรุงเทพฯ เพราะโดยปกติสุขภาพผมก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พี่บางคนก็ช่วยเพียงเล็กน้อย ก็ต้องขอบคุณพี่ นี้คือเหตุที่เงินสดผมควรจะมีเกือบล้านหายไป ณ.ปัจจุบัน และเก็บไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น
- และเมื่อภรรยาต้องเกษียณก่อนอายุ ถึงหลายปีเพราะด้วยสุขภาพของตนเอง ทรัพย์สินรวมที่พึ่งจะได้ได้ มากกว่า 10 ล้านก็ย่อมถอยลงมา
แต่ผมกลับเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าเสียดายหรือเสียความรู้สึกอะไร เพราะเงินทองทรัพย์สมบัตินั้นไม่ใช่เป้าหมายของผมตั้งแต่ต้น เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ด้วยที่ผมประสงค์ให้ภรรยาและลูก พ้นจากภาวะ ที่ผม+ภรรยา + ลูก ที่เคยตกอับ ไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยเขาอยู่ เพราะผมก่อนแต่งงานผมไม่สะสมทรัพย์สิน เพื่อจะได้บวช เมื่อปัญหาทางสิทธิ์ที่ขาดเสรีภาพบรรเทาลง แต่เมือมันนานจนเกินไป อยู่ในเพศฆราวาส ย่อมหนีไม่พ้นการมีคู่ครอง จะวางแผนก็ไม่ได้ทันแล้ว.
เป้าหมายของผมจริงๆ ตั้งแต่เด็กชั้นประถม ที่ต่อสู้ ทั้งที่โดนบีบเค้นถูกกดดันรอบด้านท้งจากพ่อและกฏหมาย ก็คือ ความรู้ ปัญญา และความสามารถ.จนจบปริญญาตรี จึงสำเร็จทั้งความรู้และปัญญาทางธรรมเบื้องต้น แล้วรอบวชพระอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นเพื่อพัฒนาให้ยิ่งขึ้น
แต่เมื่อไม่ได้เป็นดังนั้น ก็ต้องสร้างความสามารถทางโลกในงานอาชีพให้มากขึ้น จากที่ระกำลำบากของตนเองภรรยาและลูกยิ่ง การไม่มีเงิน การที่ต้องขออาศัยเขาอยู่ เพื่อรอโอกาส ย่อมเห็นความทุกข์ได้อย่างดี เมื่อได้เห็นร่างกายที่เฉียดตาย แล้วจึงพัฒนาปัญญาขึ้นได้ แม้มีครอบครัวนั้นเอง.
สรุป ไม่ได้หวังรวย หวังในปัญญา ความรู้ ความสามารถ ทรัพย์สินเงินทองนั้นเป็นของนอกกาย เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง จึงไม่เครียดดิ้นรนหางานเพื่อหาทรัพย์มากๆ เพราะเห็นว่า ยกทั้งภรรยาและลูก จากที่จะเสียด้วยความบกพร่องให้ดี จากที่ดีให้ดีขึ้น(น่าจะได้เกียรติ์นิยมทั้งสองคนมั่งในการเรียนป.ตรี หนึ่งคนได้มาแล้ว) เพียงแต่เก็บออมรักษาทรัพย์นั้นอย่างประหยัดไว้ก่อให้เกิดประโยชน์ กับครอบครัวรวมทั้งพ่อแม่ เท่านั้นเอง .