“มะลิลา ว่าด้วยความรักความอาลัยต่อผู้ที่จากไป เรื่องราวของ "เชน" เจ้าของสวนมะลิผู้มีอดีตอันเจ็บปวด และ "พิช" ศิลปินนักทำบายศรี อดีตคนรักของเชนในวัยเด็กที่กลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งคู่พยายามเยียวยาบาดแผลในอดีตและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ผ่านการทำบายศรีอันงดงาม”
https://th.wikipedia.org/wiki/มะลิลา_(ภาพยนตร์)
บทสนทนาของตัวละคร
“สวยดีนะ บายศรีที่พิชทำ พึ่งเคยได้เห็น”
“พอสึกออกมา พิชมาอยู่กับเรานะ”
…………………………….
เคยกอดคนตายไหมพิช ทุกอย่างมันเหลวไปหมด” เชน กล่าว
คนตายไปแล้วเค้าไม่รับรู้อะไรหรอก” พิช ตอบกลับ
……………………………..
รางวัลที่กวาดมา
ภาพยนตร์ยอดเยี่ย KIM JISEOK AWARD Busan
คำชม
“มอบการแสดงอันนุ่มลึก และสง่างาม” – ซาร่า วาร์ด สกรีนเดลี่
“สงบงามสะเทือนอารมณ์”
“เย้ายวน ดิ่งลึกสู่ภวังค์”
“งดงามราวบทกวี”
หลังจากหนังเปิดตัวมาด้วยความงดงามละมุนด้วยรูปภาพบายศรี เสียงประกอบเป็นฉากสู่ขวัญว่าด้วยด้วยเรื่องราวปมของความเป็นเกย์บนวัฒนธรรมอีสานร่วมสมัย ว่า มาเยอขวัญเอ้ยยยยยย….
จุดประเด็นความอยากดูหนังเรื่องนี้ด้วยคำชมต่าง ๆ นา ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาผ่านตัวอย่างหนัง เป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้หลายต่อหลายคนอยากไปดูว่า “สาร”ที่คุณอนุชา บุญยวรรธนะ ผู้กำกับ ต้องการส่งผ่านออกมามันคืออะไร ความรู้สึกแรกเริ่มเดิมทีของเรา จากที่ได้ยินดนตรีประกอบและคำสนทนาผ่านตัวละครที่ทำให้เหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มันต้อง “มีของ” สิวะ ต่างประเทศชมขนาดนี้แล้วไปขนรางวัลจากปูซานมาได้นี่ไม่ใช่ธรรมดายิ่งมีนักแสดงนำอย่างเวียร์ ศุกลวัฒน์ กล้าท้าทายตัวเองสู่การเติบโตในอาชีพการแสดงของเขาโดยการรับบทมาเป็นชายรักชาย ยิ่งทำให้เราต้องดูว่า เวียร์ จะทำมันได้ดีแค่ไหน
การเดินเรื่อง
การเดินเรื่องเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนสายน้ำค่อย ๆ เอื่อย ๆ ไหล เบา ๆ ทุกอย่างเหมือนกำลังขับกล่อมให้คนดูเข้าไปสู่ภวังค์ ที่เข้ามารับรู้เรื่องราวของชายผู้ถูกกระทำจากเรื่องราวในอดีตทั้งสองคน ตัวละครมีบทสนทนาที่ค่อนข้างจำกัด ส่วนใหญ่เน้นแสดงออกทางกายมากกว่าว่า รัก ห่วง อาลัย ซึ่งความที่มีการเดินเรื่องที่ค่อนข้างเชื่องช้าแบบนี้เราอาจจะคาดหวังว่าหนังควรจะปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวที่ละมุนกว่านี้ แต่สิ่งที่หนังควรจะทำออกมาดีให้สมกับความที่ภาพสวย และเพลงเพราะ นั่นก็คือ บางตอนจะเห็นได้ว่าไม่มีที่มาที่ไป เช่น ส่วนที่บอกว่า พิช กับเชน เป็นคนรักเก่า สมัยเด็ก หรือ ในบทพูดที่ว่า “จำที่ที่เราเคยไปได้ไหม อยากไปอีก” ถ้าหากหนังมีการย้อนเรื่องราวสักไม่เกินสิบวิว่าทั้งคู่เคยรักกันแค่ไหน ภาพของพวกเขาในอดีตเป็นอย่างไร เราไม่เก็ตว่าคนรักเก่าในวัยเด็กที่เขาพูดถึงกันนั้นเด็กแค่ไหนเด็กจนแยกไม่ออกรึเปล่าว่านั่นคือความรักแบบชายรักชาย หรือเป็นความต้องการจากแรงขับทางเพศในวัยรุ่น และย้ำอีกรอบว่า เราไม่รู้ว่าทั้งคู่เคยรักกันแค่ไหน เมื่อต้องพรากจากกันจึงอธิบายได้ยากว่าคนที่จะเสียใจจากการจากลาควรจะเสียใจได้แค่ไหน
ภาพตัดไปที่เมื่อเชนต้องมาบวช เรื่องราวทั้งหมดก็ดูเหมือนราวกับว่าเป็นคนละโลกกับช่วงก่อนบวช ซึ่งตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่าเป็นอีกจุดที่หนังไม่ปะติดปะต่อ แต่เรามองว่าหรือนี่เป็นเป็นสิ่งที่ผู้กำกับพยายามจะสื่อว่า การที่ใครสักคนถือเพศเป็นสมณะคือลาขาดจากการเป็นคนธรรมดาไปแล้ว การเดินเรื่องในช่วงหลังต้องบอกตามตรงว่าฉากหลังจากบวชตรงนี้แหละที่เป็นจุดพีคของหนัง หลายสิ่งหลายอย่างจะเริ่มเคลียร์ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นไปแนวไหนและจะเดาแนวทางในตอนจบได้ไม่ยาก หนังเรื่องนี้มีของตรงที่กล้าเล่นกับศรัทธา ความรัก ความเชื่อ ลองกับความศรัทธา และตั้งคำถามกับศาสนา
ตัวแสดง
โอ อนุชิต เล่นได้ดีมากในบทชายรักชาย ซึ่งไม่ได้เหนือความคาดหมายจากดาราหน้าหล่อแบบไทยๆ ที่มีฝีมือโลดแล่นอยู่ในวงการมานาน ความจริตจะก้าน ซึ่งตรงนี้โอ ทำได้ดีมาก คือลงตัวสุดคือไม่มากไป ไม่น้อยไป ส่วนเวียร์ต้องบอกว่าการแสดงในบทนี้คงท้าทายเวียร์มาก เวียร์เล่นได้สมบทบาท สมกับที่หนังเรื่องนี้ต้องการให้เวียร์เป็นจุดขาย ในความที่เป็น “ผู้ชายไทย” คนหนึ่งที่เจ็บปวดจากเรื่องราวบางอย่าง
ฉากหลัง
การเล่นกับวัฒนธรรมอีสานไทบ้าน ของเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดี มีการใช้วิถีชีวิตของคนอีสานปัจจุบัน เป็นฉากในเรื่อง บายศรีที่ทำขึ้นถือว่าประณีตบรรจง งดงาม บรรยากาศบ้าน ๆ ที่สำคัญภาพสวยรวมทั้ง เอฟเฟกส์ต่าง ๆ ถือว่าทำได้ออกมาเนียนมาก
เลิฟซีน
เรามองว่าเรื่องนี้เลิฟซีนมันขาดอ่ะ ไม่รู้สิ คือต้องเข้าใจหนังประมาณว่าถ้าเลิฟซีนมากไปมันจะกลายเป็นหนังโป๊ ถ้าน้อยไปก็เป็นหนังรักโรแมนติกแต่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นหนังที่มีมิติในความเป็นจริง มันเลยออกมาแปลกๆ ถามว่าภาพสวยไหมสวย หุ่นนักแสดงดีไหม ดี แต่มันไม่สุดอ่ะมีความรู้สึกว่ามันควรจะสุดกว่านี้
คอสตูมและเอ็ฟเฟ็กส์
ถือว่าเนียน และขอชมมาก สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เนียนที่สุดคือคอสตูมที่ทำหน้าที่ได้ดีใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก เช่นฉากที่เห็นมือของพระเอกและเล็บที่กร้านดำจากการเป็นชาวสวนถือว่าเจ๋งในระดับที่ไปโชว์ต่างชาติแล้วไม่อาย
ความคุ้มค่า
8/10 บางคนที่อยากไปดูความแซ่บของเวียร์อาจจะให้ 100/10 แต่เราเองมองว่าเป็นหนังที่ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ สมมติว่าไม่ได้ดูแล้วจะเสียใจไหมคงไม่
สรุป
ถ้าเราต้องการให้หนังเรื่องนี้เอนเตอร์เทนเรา ว่าต้องตลก ต้องทำให้เรามีความสุข ฟิน คิดว่าคงไม่ใช่ หนังเรื่องนี้พยายามบอกในความเป็นสัจธรรม ว่าโลกมันไม่ได้สวย เป็นความรู้สึกกลาง ๆ ที่เราต้องกลับบ้านไปเพื่อขบคิดว่าหนังบอกอะไรกับเรา มากกว่าที่จะบอกว่าหนังให้อะไรกับเรา ไม่แปลกที่หลายคนดูแล้วไม่รู้เรื่องเพราะลางเนื้อชอบลางยา เราเดินออกจากโรงหนังพร้อมกับเสียงบ่นของเพื่อนว่า “ไม่รู้เรื่องว่ะ” ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า อืม …..
พยายามจะไม่สปอยแล้วนะ ขอโทษด้วยครับ (>O<)
[CR] รีวิวหนัง มะลิลา: The Farewell Flowers: เรื่องราว บทกวีอาลัยรัก บนฉากไทบ้าน และสัจธรรมชีวิต
“มะลิลา ว่าด้วยความรักความอาลัยต่อผู้ที่จากไป เรื่องราวของ "เชน" เจ้าของสวนมะลิผู้มีอดีตอันเจ็บปวด และ "พิช" ศิลปินนักทำบายศรี อดีตคนรักของเชนในวัยเด็กที่กลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งคู่พยายามเยียวยาบาดแผลในอดีตและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ผ่านการทำบายศรีอันงดงาม” https://th.wikipedia.org/wiki/มะลิลา_(ภาพยนตร์)
บทสนทนาของตัวละคร
“สวยดีนะ บายศรีที่พิชทำ พึ่งเคยได้เห็น”
“พอสึกออกมา พิชมาอยู่กับเรานะ”
…………………………….
เคยกอดคนตายไหมพิช ทุกอย่างมันเหลวไปหมด” เชน กล่าว
คนตายไปแล้วเค้าไม่รับรู้อะไรหรอก” พิช ตอบกลับ
……………………………..
รางวัลที่กวาดมา
ภาพยนตร์ยอดเยี่ย KIM JISEOK AWARD Busan
คำชม
“มอบการแสดงอันนุ่มลึก และสง่างาม” – ซาร่า วาร์ด สกรีนเดลี่
“สงบงามสะเทือนอารมณ์”
“เย้ายวน ดิ่งลึกสู่ภวังค์”
“งดงามราวบทกวี”
หลังจากหนังเปิดตัวมาด้วยความงดงามละมุนด้วยรูปภาพบายศรี เสียงประกอบเป็นฉากสู่ขวัญว่าด้วยด้วยเรื่องราวปมของความเป็นเกย์บนวัฒนธรรมอีสานร่วมสมัย ว่า มาเยอขวัญเอ้ยยยยยย….
จุดประเด็นความอยากดูหนังเรื่องนี้ด้วยคำชมต่าง ๆ นา ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาผ่านตัวอย่างหนัง เป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้หลายต่อหลายคนอยากไปดูว่า “สาร”ที่คุณอนุชา บุญยวรรธนะ ผู้กำกับ ต้องการส่งผ่านออกมามันคืออะไร ความรู้สึกแรกเริ่มเดิมทีของเรา จากที่ได้ยินดนตรีประกอบและคำสนทนาผ่านตัวละครที่ทำให้เหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มันต้อง “มีของ” สิวะ ต่างประเทศชมขนาดนี้แล้วไปขนรางวัลจากปูซานมาได้นี่ไม่ใช่ธรรมดายิ่งมีนักแสดงนำอย่างเวียร์ ศุกลวัฒน์ กล้าท้าทายตัวเองสู่การเติบโตในอาชีพการแสดงของเขาโดยการรับบทมาเป็นชายรักชาย ยิ่งทำให้เราต้องดูว่า เวียร์ จะทำมันได้ดีแค่ไหน
การเดินเรื่อง
การเดินเรื่องเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนสายน้ำค่อย ๆ เอื่อย ๆ ไหล เบา ๆ ทุกอย่างเหมือนกำลังขับกล่อมให้คนดูเข้าไปสู่ภวังค์ ที่เข้ามารับรู้เรื่องราวของชายผู้ถูกกระทำจากเรื่องราวในอดีตทั้งสองคน ตัวละครมีบทสนทนาที่ค่อนข้างจำกัด ส่วนใหญ่เน้นแสดงออกทางกายมากกว่าว่า รัก ห่วง อาลัย ซึ่งความที่มีการเดินเรื่องที่ค่อนข้างเชื่องช้าแบบนี้เราอาจจะคาดหวังว่าหนังควรจะปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวที่ละมุนกว่านี้ แต่สิ่งที่หนังควรจะทำออกมาดีให้สมกับความที่ภาพสวย และเพลงเพราะ นั่นก็คือ บางตอนจะเห็นได้ว่าไม่มีที่มาที่ไป เช่น ส่วนที่บอกว่า พิช กับเชน เป็นคนรักเก่า สมัยเด็ก หรือ ในบทพูดที่ว่า “จำที่ที่เราเคยไปได้ไหม อยากไปอีก” ถ้าหากหนังมีการย้อนเรื่องราวสักไม่เกินสิบวิว่าทั้งคู่เคยรักกันแค่ไหน ภาพของพวกเขาในอดีตเป็นอย่างไร เราไม่เก็ตว่าคนรักเก่าในวัยเด็กที่เขาพูดถึงกันนั้นเด็กแค่ไหนเด็กจนแยกไม่ออกรึเปล่าว่านั่นคือความรักแบบชายรักชาย หรือเป็นความต้องการจากแรงขับทางเพศในวัยรุ่น และย้ำอีกรอบว่า เราไม่รู้ว่าทั้งคู่เคยรักกันแค่ไหน เมื่อต้องพรากจากกันจึงอธิบายได้ยากว่าคนที่จะเสียใจจากการจากลาควรจะเสียใจได้แค่ไหน
ภาพตัดไปที่เมื่อเชนต้องมาบวช เรื่องราวทั้งหมดก็ดูเหมือนราวกับว่าเป็นคนละโลกกับช่วงก่อนบวช ซึ่งตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่าเป็นอีกจุดที่หนังไม่ปะติดปะต่อ แต่เรามองว่าหรือนี่เป็นเป็นสิ่งที่ผู้กำกับพยายามจะสื่อว่า การที่ใครสักคนถือเพศเป็นสมณะคือลาขาดจากการเป็นคนธรรมดาไปแล้ว การเดินเรื่องในช่วงหลังต้องบอกตามตรงว่าฉากหลังจากบวชตรงนี้แหละที่เป็นจุดพีคของหนัง หลายสิ่งหลายอย่างจะเริ่มเคลียร์ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นไปแนวไหนและจะเดาแนวทางในตอนจบได้ไม่ยาก หนังเรื่องนี้มีของตรงที่กล้าเล่นกับศรัทธา ความรัก ความเชื่อ ลองกับความศรัทธา และตั้งคำถามกับศาสนา
ตัวแสดง
โอ อนุชิต เล่นได้ดีมากในบทชายรักชาย ซึ่งไม่ได้เหนือความคาดหมายจากดาราหน้าหล่อแบบไทยๆ ที่มีฝีมือโลดแล่นอยู่ในวงการมานาน ความจริตจะก้าน ซึ่งตรงนี้โอ ทำได้ดีมาก คือลงตัวสุดคือไม่มากไป ไม่น้อยไป ส่วนเวียร์ต้องบอกว่าการแสดงในบทนี้คงท้าทายเวียร์มาก เวียร์เล่นได้สมบทบาท สมกับที่หนังเรื่องนี้ต้องการให้เวียร์เป็นจุดขาย ในความที่เป็น “ผู้ชายไทย” คนหนึ่งที่เจ็บปวดจากเรื่องราวบางอย่าง
ฉากหลัง
การเล่นกับวัฒนธรรมอีสานไทบ้าน ของเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดี มีการใช้วิถีชีวิตของคนอีสานปัจจุบัน เป็นฉากในเรื่อง บายศรีที่ทำขึ้นถือว่าประณีตบรรจง งดงาม บรรยากาศบ้าน ๆ ที่สำคัญภาพสวยรวมทั้ง เอฟเฟกส์ต่าง ๆ ถือว่าทำได้ออกมาเนียนมาก
เลิฟซีน
เรามองว่าเรื่องนี้เลิฟซีนมันขาดอ่ะ ไม่รู้สิ คือต้องเข้าใจหนังประมาณว่าถ้าเลิฟซีนมากไปมันจะกลายเป็นหนังโป๊ ถ้าน้อยไปก็เป็นหนังรักโรแมนติกแต่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นหนังที่มีมิติในความเป็นจริง มันเลยออกมาแปลกๆ ถามว่าภาพสวยไหมสวย หุ่นนักแสดงดีไหม ดี แต่มันไม่สุดอ่ะมีความรู้สึกว่ามันควรจะสุดกว่านี้
คอสตูมและเอ็ฟเฟ็กส์
ถือว่าเนียน และขอชมมาก สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เนียนที่สุดคือคอสตูมที่ทำหน้าที่ได้ดีใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก เช่นฉากที่เห็นมือของพระเอกและเล็บที่กร้านดำจากการเป็นชาวสวนถือว่าเจ๋งในระดับที่ไปโชว์ต่างชาติแล้วไม่อาย
ความคุ้มค่า
8/10 บางคนที่อยากไปดูความแซ่บของเวียร์อาจจะให้ 100/10 แต่เราเองมองว่าเป็นหนังที่ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ สมมติว่าไม่ได้ดูแล้วจะเสียใจไหมคงไม่
สรุป
ถ้าเราต้องการให้หนังเรื่องนี้เอนเตอร์เทนเรา ว่าต้องตลก ต้องทำให้เรามีความสุข ฟิน คิดว่าคงไม่ใช่ หนังเรื่องนี้พยายามบอกในความเป็นสัจธรรม ว่าโลกมันไม่ได้สวย เป็นความรู้สึกกลาง ๆ ที่เราต้องกลับบ้านไปเพื่อขบคิดว่าหนังบอกอะไรกับเรา มากกว่าที่จะบอกว่าหนังให้อะไรกับเรา ไม่แปลกที่หลายคนดูแล้วไม่รู้เรื่องเพราะลางเนื้อชอบลางยา เราเดินออกจากโรงหนังพร้อมกับเสียงบ่นของเพื่อนว่า “ไม่รู้เรื่องว่ะ” ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า อืม …..
พยายามจะไม่สปอยแล้วนะ ขอโทษด้วยครับ (>O<)