ใครที่ทนอ่านอะไรยาว ๆ ไม่ได้ ขอให้ผ่านกระทู้นี้ไปค่ะ (บอกแล้วนะ)
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดของเรา ปกติเราไม่ค่อยได้ทำบุญหรอกค่ะ
หมายถึงกับพระสงฆ์ วัด ไรทำนองนี้...ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง เราจึงสร้างบุญด้วยวิธีอื่นๆ แทน
ก็ไม่แน่ใจว่าบุญมันมีจริงไหมนะคะ แต่จากที่เคยปล่อยปลาช่อนที่จะถูกฆ่าในแมคโครครั้งนั้นแล้ว
เรามีความอิ่มเอมใจ สบายใจ น้ำตาไหลอย่างปีติ มากกว่าไปทำบุญที่วัดหลายล้านเท่า
(ซื้อปลาช่อนเป็น ๆ 8 ตัวจากในแมคโครค่ะ
เหลืออยู่ 8 ตัวสุดท้ายในกระบะ ก็เลยเหมาหมด บางตัวมีแผลโดนบั่นแล้ว เกล็ดหลุด เหมือนถูกขอดไปแล้วบางจุด
ตาเป็นสีขาวแล้ว เราก็เอาค่ะ เพื่อความยุติธรรม ทุกตัวจะได้รับการปล่อยจากลานประหารหมด)
วันนั้นเราไปตลาดสดบางขุนศรี ตั้งใจยิ่งจะไปปล่อยปลาที่จะถูกฆ่าบนเขียง จะไถ่ชีวิตมันให้รอดพ้นจากการ
ตายสยอง ด้วยเป็นวันที่ 16 ก.พ. อยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ร้านค้าปลาสดจึงเหลืออยู่เพียงร้านเดียว
เราเห็นปลาดุกกระโดดเหยง ๆ มาแต่ไกล เราก็ตั้งใจแน่วแน่ จะปล่อยถาดนั้นแหละ ร้านนั้นปลาไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะ
มีปลาดุกนา ปลาหมอไข่ ปลาหมอใหญ่ ปลาหมอนา แล้วก็กบ
แต่ด้วยงบประมาณจำกัด เราจึงทำได้แค่เหมาปลาดุกนาหมดกระบะ กับได้ปลาหมอไข่มา 15 ตัว
ปลาดุกนาที่ซื้อมาวันนั้นมี 46 ตัวค่ะ แต่ก่อนจะปล่อยมันตายไป 2 ตัว ระหว่างรอการปล่อย
เราปล่อยปลาในคลองหน้าบ้านค่ะ คลองบางพรหม เราเลือกจะปล่อยคลองหน้าบ้านเพราะว่า
น้ำค่อนข้างนิ่ง เรือติดเครื่องไม่ค่อยวิ่งเท่าไหร่ วันนึงมีไม่กี่ลำ ถ้าจะปล่อยหน้าวัดมันแออัดมาก
ปลาใหญ่ยั้วเยี้ย กลัวถูกปลาใหญ่หน้าวัดกินค่ะ เรือหางยาวก็แล่นเฟี้ยวฟ้าวบ่อย คนสารพัดจะเอาตัวอะไรมาปล่อยหน้าวัด
เราว่าน้ำมันเน่ากว่าคลองหน้าบ้านเรามาก และก็แคบกว่าด้วย
(แม้ฝั่งตรงข้ามมันมักจะตกปลาบ่อย ๆ แต่มันก็ดีกว่าไปปล่อยตรงอื่นอะ
เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้ว ยังดีกว่าปล่อยตรงอื่น)
คืนนั้นกลางดึก กลิ่นปลาคาว ๆ โชยเต็มห้องเราเลยค่ะ ทางด้านขวามือที่เรานอน สงสัยปลาดุกตัวที่ตาย
มันคงมาหาเรา แต่พอเราหันหน้าไปอีกซีกกลับไม่ได้กลิ่นเลย เวลาเราปล่อยสัตว์
มักจะชอบเจอเหตุการณ์อธิบายไม่ได้แบบนี้ เพราะตื่นเช้ามาก็ไม่มีกลิ่นปลาอะไรเลย
มีแต่กลิ่นน้ำหอมในห้อง
เรื่องปลาไม่ยากค่ะ ปล่อยที่คลองหน้าบ้านตัวเองประจำ
แต่วันนั้น วันที่ไปซื้อปลามาปล่อย กลับได้เต่ามาด้วย !!
วันนั้นแม่เราไปด้วยค่ะ แม่เราใจอ่อนจนต้องซื้อเต่าแบบเหมาหมด
เพราะเจอแม่ค้าบิ้วด์อารมณ์ พอแม่ค้าเรื่มชวนให้ซื้อเต่าไปปล่อย
สำหรับเรา เราบอกไม่รู้ัจะเอาไปปล่อยที่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าเคยเห็นเต่านาว่ายอยู่ในคลองหน้าบ้านเหมือนกันตรงตลิ่ง
ปูนพัง ๆ (บ้านเราไม่มีตลิ่งดินแล้วค่ะ) มีปลิงเกาะที่หลังมันด้วยค่ะ มันว่ายมามองหน้าเราแล้วก็ไป เหมือนมันจะหาตลิ่งขึ้น
แต่ตอนนั้นน้ำท่วมตลิ่งอยู่ เราก็นึกถึงเต่าที่เราเจอในคลอง ก็คิดว่าไม่อะ ซื้อไปปล่อยไม่ได้หรอก
แม่ค้าก็เชียร์ ๆๆ จะให้ซื้อเต่าไปปล่อย แต่เราไม่เดินไปดูเต่าที่แม่ค้าขังไว้ค่ะ กลัวใจอ่อน
แล้วช่วยเหลือมันไม่ได้ ก็เลยบอกไม่อะ แต่แม่เราไม่รู้มีอะไรดลใจ ทำให้ต้องเดินไปดู
ดูแล้วแม่เราก็เกิดเวทนาจับจิต กับเต่าพวกนั้น เต่ามี 10 ตัวค่ะ มีเต่าจิ๋วน่ารักอยู่ 2 ตัว
แล้วก็มีเต่าขนาดกลาง ๆ มีพันธุ์เต่านา เต่าดำ ประมาณนี้
แล้วสุดท้ายแม่เราก็ซื้อจนหมดลังเลยทีเดียว (แอบตกใจนิดๆ เลยเรา แต่ก็ยืนเงียบ ไม่ขัด)
เราก็ไม่อยากขัดศรัทธาแม่ค่ะ แม้จะคิดในใจว่า แล้วจะเอาไปปล่อยที่ไหนวะเนี่ย
ถ้าเราขัดแม่ เต่าก็จะไม่ถูกปล่อย มันจะได้รับอิสรภาพ แต่เราไปขัด เราก็เลยตามเลย
วันนั้นหลังจากปล่อยปลา ก็วิ่งวุ่นคิดไม่ตกว่าจะปล่อยเต่าที่ไหน จะปล่อยคลองหน้าบ้านก็กลัวจมน้ำตาย
กลัวมันไม่ว่ายน้ำ กลัวสารพัดอย่าง
เต่าพวกนี้มันมีเสน่ห์จริง ๆ ค่ะ ถ้าเอาไว้นาน ๆ ต้องหลงรักมันแน่ ๆ น่ารักจริง ๆ
แต่ครั้นจะเลี้ยงไว้เอง อายุเราก็ยืนไม่เท่าเต่า ถ้าเราตาย เต่าจะอยู่ยังไง
แล้วก็กลัวว่ามันจะไม่กินอาหารแล้วอดตายด้วย เย็นวันนั้นจนถึงหัวค่ำ
ก็เอาเต่าทั้ง 10 ใส่กะละมังท้ายรถแล้ววิ่งตระเวนหาที่ปล่อย ก็หาไม่ได้ มันมืดแล้วด้วยมองอะไรไม่เห็น
ลูกเต่าจิ๋วก็น่ารักค่ะ ยืนเกาะหลังตัวใหญ่ ตั้งแต่ขาไปยันขากลับ ภาพประทับจิตมาก
วิ่งไปถึงพุทธมณฑลสาย 5 ก็ยังหาที่ปล่อยเต่าไม่ได้ ดูตามสวน ตามท้องร่องที่มีน้ำขัง ในย่านถนนพุทธมณฑลทั้งหลาย
ก็คิดว่าที่ดินพวกนี้อีกไม่นาน เจ้าของก็ขาย ต้องถมที่ เต่าก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี คิดไม่ออก
ไม่มีที่มันจะอยู่รอดปลอดภัยได้เลย ความเจริญกำลังกลืนกินทุกอย่าง เจ้าของสวน เจ้าของไร่ ก็อยากรวยรีบขายที่กันหมด
ในย่านนี้ สวนต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกทยอยถม เช่นเดียวกับย่านบ้านเรา ที่สวนแทบจะไม่เหลือแล้ว
ถ้าจะเอากลับไปที่ท้องนาในสุพรรณบุรี (แม่ค้าบอกมันมาจากที่นั่น)
เราก็กลัวว่ามันจะถูกจับมาขายอีก คิดไม่ออก ปวดหัวเลย ขนาดไมไ่ด้ซื้อเต่าเอง
แต่ต้องพาแม่หาที่ปล่อยเต่ายังปวดหัวขนาดนี้
สุดท้ายคืนนั้นก็เลยเอาเต่ากลับมาบ้าน มาค้างที่บ้าน 1 คืน ลองใส่ผักให้มันกินเช่น ถั่วฝักยาว แตงกวา
บางตัวกินด้วย แต่กินตอนเราปิดไฟในห้องแล้ว บางตัวมันเงยหน้ามามองหน้าเรา
เราก็สัญญาว่าจะหาที่ที่ดีที่สุดให้มันนะ ไม่รู้มันจะฟังรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราบอกไหมนะ
(เราผิดสัญญาที่บอกจะปล่อยมันวันที่ 16 ก.พ. แต่ต้องเปลี่ยนไปเป็น 17 ก.พ. เพราะหาที่ที่เหมาะสมไม่ได้)
โทรหาน้า แล้วถามน้าว่าเคยเอาตะพาบไปปล่อยที่ไหน
น้าบอกเอาไปปล่อยที่พุทธมณฑล
วันต่อมาเราก็เลยเอาเต่าทั้ง 10
ไปปล่อยที่พุทธมณฑล เลือกหนองน้ำที่มีโขดหินให้เต่าขึ้นมาเกาะผึ่งแดดได้ เลือกตรงตลิ่ง
ที่มีเขื่อนคอนกรีตพัง ๆ มีโขดหิน หลายจุดรายล้อม มีส่วนที่เป็นดินเล็กน้อยให้ไต่
เราพยายามมองหาที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วให้มัน
ตอนปล่อยก็วางมันบนโขดหิน มันก็รีบแจ้นตาลีตาเหลือกลงน้ำไม่คิดชีวิต
บางตัวเล็บแหลมก็ข่วนมือเราเป็นแผลอีก แต่เราไม่ถือสาหรอก มันเป็นสัตว์ไม่รู้เรื่อง
ก่อนปล่อย ก็เห็นเต่าตัวเก่า ๆ นอนอาบแดดอยู่บนหิน
แต่แม้สภาวะแวดล้อมจะพอดำรงอาศัยได้ แต่ดูเหมือนอาหารจะขาดแคลน
เพราะในหนองน้ำนั้น มีปลาดุกตัวใหญ่ ๆ จอมเขมือบ (เห็นคนเอากบมาปล่อย และโดนปลากินไปด้วยค่ะ)
มีปลาช่อน ดูพวกมันอด ๆ ไงไม่รู้
เต่าตัวเก่า ๆ บางตัวก็ลอยคออยู่ในน้ำ ว่ายหาอาหาร ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะมี
เราไม่เห็นหอยต่าง ๆ ที่เต่านาพอจะกินได้เลย
หลังจากปล่อยเต่าเสร็จช่วงเช้ากับแม่ ช่วงบ่าย
เราก็ขับรถไปพุทธมณฑลอีกรอบ ซื้ออาหารเต่ากล่องละ 300 กว่าบาทติดมือไปด้วย (อาหารเต่านำเข้า
หรูมาก เง้ออ...)
รู้สึกไม่สบายใจเลย สถานที่พอจะปลอดภัย มีที่ให้อาบแดด ให้ขึ้นมาพักได้
แต่มันจะอดอยากไหม คิดแล้วเครียด ขนาดเราไม่ได้ซื้อเต่ามาปล่อยเอง
ยังเครียดขนาดนี้ แม่เราจะขนาดไหนล่ะ แม่เราก็ไม่สบายใจ
ทำบุญแล้วทำไมมันเครียดแบบนี้นะ เฮ้อออ
พอไปถึงตอนบ่าย (มาพุทธมณฑลอีกรอบในวันเดียวกัน)
ก็เหมือนจะเจอเต่าตัวเล็ก ๆ ที่เราปล่อยมาเกาะโขดหินนะ
แต่ตัวมอมแมมด้วยดินโคลนไปแล้ว เต่าที่เราปล่อยเหมือนจะยังอยู่ในบริเวณนั้น หลบอยู่แถวตลิ่ง
ที่พังมีดิน มีใบไม้แห้ง
เราก็โยนๆๆ อาหารเต่าลงไป ปรากฎเต่าไม่ค่อยได้กินหรอก
ปลามา่แย่งกินแทน ปวดกบาลเลย
ปลาเยอะมาก แล้วไหนยังจะมีคนชุ่ยมานั่งพักผ่อน ปิคนิคแล้วยังสะเอือก
ชุ่ยทิ้งขยะไว้อีก เอาฮานามิเทลงน้ำให้ปลากินงี้ โหย...คิดได้ไง
เต่าที่กินอาหารที่เราโยนไปส่วนใหญ่จะเป็นเต่าเก่าๆ ที่อยู่มานานแล้ว
เต่าที่เราปล่อยไป เหมือนจะได้กินอาหารเราเพียงตัวเดียว
เพราะมันหลบอยู่แถวตลิ่ง
ทำบุญแล้วเครียด รู้สึกกังวลจริงๆ ปล่อยเต่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ปล่อยแล้วต้องมากังวล ต้องตามไปดูมันเรื่อยๆ ไม่ใช่ปล่อยแล้วปล่อยเลย
เหมือนปลาในคลอง ปล่อยเต่าต้องคอยเอาอาหารไปให้มัน
เพราะดูแล้วมันน่าจะอด ที่พุทธมณฑล สัตว์ดูจะแย่งกันกิน จนบางตัว
เหมือนจะไม่ได้กินอะไรเลย
เราอ่านมาว่าเต่านากินหอย แต่ตั้งแต่เราไปเพ่งหนองน้ำนั้นมาเรายังไม่เจอหอยสักตัวเดียว
แล้วเต่าจะกินอะไร ผักหญ้าในน้ำก็ไม่มี ขนมปังก็ไม่ใช่อาหารเต่า ที่เต่ามันต้องทนกิน
เพราะมันอดอยาก เห็นแล้วอนาถใจ แต่ถ้าซื้อหอยขมไปปล่อย ก็เท่ากับทำบาปอีก
ซื้อหอยขมเป็น ๆ ไปให้เต่ากิน บาปกว่าเดิม T-T
เราคงทำได้แค่ซื้ออาหารเต่าน้ำไปแจกมันน่ะแหละ กลายเป็นว่าต้องมีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
ต้องหมั่นไปเยี่ยมเต่าพวกนี้บ่อย ๆ เฮ้อออ... ทำบุญได้บาปมั๊ยเนี่ย พาเขาไปอยู่ในแหล่งที่ไม่ค่อยมีอาหาร
แย่งกันกิน แย่งกันอยู่กับปลา
"เต่า" ที่พุทธมณฑลมันอดอยากไหมคะ
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดของเรา ปกติเราไม่ค่อยได้ทำบุญหรอกค่ะ
หมายถึงกับพระสงฆ์ วัด ไรทำนองนี้...ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง เราจึงสร้างบุญด้วยวิธีอื่นๆ แทน
ก็ไม่แน่ใจว่าบุญมันมีจริงไหมนะคะ แต่จากที่เคยปล่อยปลาช่อนที่จะถูกฆ่าในแมคโครครั้งนั้นแล้ว
เรามีความอิ่มเอมใจ สบายใจ น้ำตาไหลอย่างปีติ มากกว่าไปทำบุญที่วัดหลายล้านเท่า
(ซื้อปลาช่อนเป็น ๆ 8 ตัวจากในแมคโครค่ะ
เหลืออยู่ 8 ตัวสุดท้ายในกระบะ ก็เลยเหมาหมด บางตัวมีแผลโดนบั่นแล้ว เกล็ดหลุด เหมือนถูกขอดไปแล้วบางจุด
ตาเป็นสีขาวแล้ว เราก็เอาค่ะ เพื่อความยุติธรรม ทุกตัวจะได้รับการปล่อยจากลานประหารหมด)
วันนั้นเราไปตลาดสดบางขุนศรี ตั้งใจยิ่งจะไปปล่อยปลาที่จะถูกฆ่าบนเขียง จะไถ่ชีวิตมันให้รอดพ้นจากการ
ตายสยอง ด้วยเป็นวันที่ 16 ก.พ. อยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ร้านค้าปลาสดจึงเหลืออยู่เพียงร้านเดียว
เราเห็นปลาดุกกระโดดเหยง ๆ มาแต่ไกล เราก็ตั้งใจแน่วแน่ จะปล่อยถาดนั้นแหละ ร้านนั้นปลาไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะ
มีปลาดุกนา ปลาหมอไข่ ปลาหมอใหญ่ ปลาหมอนา แล้วก็กบ
แต่ด้วยงบประมาณจำกัด เราจึงทำได้แค่เหมาปลาดุกนาหมดกระบะ กับได้ปลาหมอไข่มา 15 ตัว
ปลาดุกนาที่ซื้อมาวันนั้นมี 46 ตัวค่ะ แต่ก่อนจะปล่อยมันตายไป 2 ตัว ระหว่างรอการปล่อย
เราปล่อยปลาในคลองหน้าบ้านค่ะ คลองบางพรหม เราเลือกจะปล่อยคลองหน้าบ้านเพราะว่า
น้ำค่อนข้างนิ่ง เรือติดเครื่องไม่ค่อยวิ่งเท่าไหร่ วันนึงมีไม่กี่ลำ ถ้าจะปล่อยหน้าวัดมันแออัดมาก
ปลาใหญ่ยั้วเยี้ย กลัวถูกปลาใหญ่หน้าวัดกินค่ะ เรือหางยาวก็แล่นเฟี้ยวฟ้าวบ่อย คนสารพัดจะเอาตัวอะไรมาปล่อยหน้าวัด
เราว่าน้ำมันเน่ากว่าคลองหน้าบ้านเรามาก และก็แคบกว่าด้วย
(แม้ฝั่งตรงข้ามมันมักจะตกปลาบ่อย ๆ แต่มันก็ดีกว่าไปปล่อยตรงอื่นอะ
เมื่อประเมินสถานการณ์ดูแล้ว ยังดีกว่าปล่อยตรงอื่น)
คืนนั้นกลางดึก กลิ่นปลาคาว ๆ โชยเต็มห้องเราเลยค่ะ ทางด้านขวามือที่เรานอน สงสัยปลาดุกตัวที่ตาย
มันคงมาหาเรา แต่พอเราหันหน้าไปอีกซีกกลับไม่ได้กลิ่นเลย เวลาเราปล่อยสัตว์
มักจะชอบเจอเหตุการณ์อธิบายไม่ได้แบบนี้ เพราะตื่นเช้ามาก็ไม่มีกลิ่นปลาอะไรเลย
มีแต่กลิ่นน้ำหอมในห้อง
เรื่องปลาไม่ยากค่ะ ปล่อยที่คลองหน้าบ้านตัวเองประจำ
แต่วันนั้น วันที่ไปซื้อปลามาปล่อย กลับได้เต่ามาด้วย !!
วันนั้นแม่เราไปด้วยค่ะ แม่เราใจอ่อนจนต้องซื้อเต่าแบบเหมาหมด
เพราะเจอแม่ค้าบิ้วด์อารมณ์ พอแม่ค้าเรื่มชวนให้ซื้อเต่าไปปล่อย
สำหรับเรา เราบอกไม่รู้ัจะเอาไปปล่อยที่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าเคยเห็นเต่านาว่ายอยู่ในคลองหน้าบ้านเหมือนกันตรงตลิ่ง
ปูนพัง ๆ (บ้านเราไม่มีตลิ่งดินแล้วค่ะ) มีปลิงเกาะที่หลังมันด้วยค่ะ มันว่ายมามองหน้าเราแล้วก็ไป เหมือนมันจะหาตลิ่งขึ้น
แต่ตอนนั้นน้ำท่วมตลิ่งอยู่ เราก็นึกถึงเต่าที่เราเจอในคลอง ก็คิดว่าไม่อะ ซื้อไปปล่อยไม่ได้หรอก
แม่ค้าก็เชียร์ ๆๆ จะให้ซื้อเต่าไปปล่อย แต่เราไม่เดินไปดูเต่าที่แม่ค้าขังไว้ค่ะ กลัวใจอ่อน
แล้วช่วยเหลือมันไม่ได้ ก็เลยบอกไม่อะ แต่แม่เราไม่รู้มีอะไรดลใจ ทำให้ต้องเดินไปดู
ดูแล้วแม่เราก็เกิดเวทนาจับจิต กับเต่าพวกนั้น เต่ามี 10 ตัวค่ะ มีเต่าจิ๋วน่ารักอยู่ 2 ตัว
แล้วก็มีเต่าขนาดกลาง ๆ มีพันธุ์เต่านา เต่าดำ ประมาณนี้
แล้วสุดท้ายแม่เราก็ซื้อจนหมดลังเลยทีเดียว (แอบตกใจนิดๆ เลยเรา แต่ก็ยืนเงียบ ไม่ขัด)
เราก็ไม่อยากขัดศรัทธาแม่ค่ะ แม้จะคิดในใจว่า แล้วจะเอาไปปล่อยที่ไหนวะเนี่ย
ถ้าเราขัดแม่ เต่าก็จะไม่ถูกปล่อย มันจะได้รับอิสรภาพ แต่เราไปขัด เราก็เลยตามเลย
วันนั้นหลังจากปล่อยปลา ก็วิ่งวุ่นคิดไม่ตกว่าจะปล่อยเต่าที่ไหน จะปล่อยคลองหน้าบ้านก็กลัวจมน้ำตาย
กลัวมันไม่ว่ายน้ำ กลัวสารพัดอย่าง
เต่าพวกนี้มันมีเสน่ห์จริง ๆ ค่ะ ถ้าเอาไว้นาน ๆ ต้องหลงรักมันแน่ ๆ น่ารักจริง ๆ
แต่ครั้นจะเลี้ยงไว้เอง อายุเราก็ยืนไม่เท่าเต่า ถ้าเราตาย เต่าจะอยู่ยังไง
แล้วก็กลัวว่ามันจะไม่กินอาหารแล้วอดตายด้วย เย็นวันนั้นจนถึงหัวค่ำ
ก็เอาเต่าทั้ง 10 ใส่กะละมังท้ายรถแล้ววิ่งตระเวนหาที่ปล่อย ก็หาไม่ได้ มันมืดแล้วด้วยมองอะไรไม่เห็น
ลูกเต่าจิ๋วก็น่ารักค่ะ ยืนเกาะหลังตัวใหญ่ ตั้งแต่ขาไปยันขากลับ ภาพประทับจิตมาก
วิ่งไปถึงพุทธมณฑลสาย 5 ก็ยังหาที่ปล่อยเต่าไม่ได้ ดูตามสวน ตามท้องร่องที่มีน้ำขัง ในย่านถนนพุทธมณฑลทั้งหลาย
ก็คิดว่าที่ดินพวกนี้อีกไม่นาน เจ้าของก็ขาย ต้องถมที่ เต่าก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี คิดไม่ออก
ไม่มีที่มันจะอยู่รอดปลอดภัยได้เลย ความเจริญกำลังกลืนกินทุกอย่าง เจ้าของสวน เจ้าของไร่ ก็อยากรวยรีบขายที่กันหมด
ในย่านนี้ สวนต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกทยอยถม เช่นเดียวกับย่านบ้านเรา ที่สวนแทบจะไม่เหลือแล้ว
ถ้าจะเอากลับไปที่ท้องนาในสุพรรณบุรี (แม่ค้าบอกมันมาจากที่นั่น)
เราก็กลัวว่ามันจะถูกจับมาขายอีก คิดไม่ออก ปวดหัวเลย ขนาดไมไ่ด้ซื้อเต่าเอง
แต่ต้องพาแม่หาที่ปล่อยเต่ายังปวดหัวขนาดนี้
สุดท้ายคืนนั้นก็เลยเอาเต่ากลับมาบ้าน มาค้างที่บ้าน 1 คืน ลองใส่ผักให้มันกินเช่น ถั่วฝักยาว แตงกวา
บางตัวกินด้วย แต่กินตอนเราปิดไฟในห้องแล้ว บางตัวมันเงยหน้ามามองหน้าเรา
เราก็สัญญาว่าจะหาที่ที่ดีที่สุดให้มันนะ ไม่รู้มันจะฟังรู้เรื่อง เข้าใจในสิ่งที่เราบอกไหมนะ
(เราผิดสัญญาที่บอกจะปล่อยมันวันที่ 16 ก.พ. แต่ต้องเปลี่ยนไปเป็น 17 ก.พ. เพราะหาที่ที่เหมาะสมไม่ได้)
โทรหาน้า แล้วถามน้าว่าเคยเอาตะพาบไปปล่อยที่ไหน
น้าบอกเอาไปปล่อยที่พุทธมณฑล
วันต่อมาเราก็เลยเอาเต่าทั้ง 10
ไปปล่อยที่พุทธมณฑล เลือกหนองน้ำที่มีโขดหินให้เต่าขึ้นมาเกาะผึ่งแดดได้ เลือกตรงตลิ่ง
ที่มีเขื่อนคอนกรีตพัง ๆ มีโขดหิน หลายจุดรายล้อม มีส่วนที่เป็นดินเล็กน้อยให้ไต่
เราพยายามมองหาที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วให้มัน
ตอนปล่อยก็วางมันบนโขดหิน มันก็รีบแจ้นตาลีตาเหลือกลงน้ำไม่คิดชีวิต
บางตัวเล็บแหลมก็ข่วนมือเราเป็นแผลอีก แต่เราไม่ถือสาหรอก มันเป็นสัตว์ไม่รู้เรื่อง
ก่อนปล่อย ก็เห็นเต่าตัวเก่า ๆ นอนอาบแดดอยู่บนหิน
แต่แม้สภาวะแวดล้อมจะพอดำรงอาศัยได้ แต่ดูเหมือนอาหารจะขาดแคลน
เพราะในหนองน้ำนั้น มีปลาดุกตัวใหญ่ ๆ จอมเขมือบ (เห็นคนเอากบมาปล่อย และโดนปลากินไปด้วยค่ะ)
มีปลาช่อน ดูพวกมันอด ๆ ไงไม่รู้
เต่าตัวเก่า ๆ บางตัวก็ลอยคออยู่ในน้ำ ว่ายหาอาหาร ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะมี
เราไม่เห็นหอยต่าง ๆ ที่เต่านาพอจะกินได้เลย
หลังจากปล่อยเต่าเสร็จช่วงเช้ากับแม่ ช่วงบ่าย
เราก็ขับรถไปพุทธมณฑลอีกรอบ ซื้ออาหารเต่ากล่องละ 300 กว่าบาทติดมือไปด้วย (อาหารเต่านำเข้า
หรูมาก เง้ออ...)
รู้สึกไม่สบายใจเลย สถานที่พอจะปลอดภัย มีที่ให้อาบแดด ให้ขึ้นมาพักได้
แต่มันจะอดอยากไหม คิดแล้วเครียด ขนาดเราไม่ได้ซื้อเต่ามาปล่อยเอง
ยังเครียดขนาดนี้ แม่เราจะขนาดไหนล่ะ แม่เราก็ไม่สบายใจ
ทำบุญแล้วทำไมมันเครียดแบบนี้นะ เฮ้อออ
พอไปถึงตอนบ่าย (มาพุทธมณฑลอีกรอบในวันเดียวกัน)
ก็เหมือนจะเจอเต่าตัวเล็ก ๆ ที่เราปล่อยมาเกาะโขดหินนะ
แต่ตัวมอมแมมด้วยดินโคลนไปแล้ว เต่าที่เราปล่อยเหมือนจะยังอยู่ในบริเวณนั้น หลบอยู่แถวตลิ่ง
ที่พังมีดิน มีใบไม้แห้ง
เราก็โยนๆๆ อาหารเต่าลงไป ปรากฎเต่าไม่ค่อยได้กินหรอก
ปลามา่แย่งกินแทน ปวดกบาลเลย
ปลาเยอะมาก แล้วไหนยังจะมีคนชุ่ยมานั่งพักผ่อน ปิคนิคแล้วยังสะเอือก
ชุ่ยทิ้งขยะไว้อีก เอาฮานามิเทลงน้ำให้ปลากินงี้ โหย...คิดได้ไง
เต่าที่กินอาหารที่เราโยนไปส่วนใหญ่จะเป็นเต่าเก่าๆ ที่อยู่มานานแล้ว
เต่าที่เราปล่อยไป เหมือนจะได้กินอาหารเราเพียงตัวเดียว
เพราะมันหลบอยู่แถวตลิ่ง
ทำบุญแล้วเครียด รู้สึกกังวลจริงๆ ปล่อยเต่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ปล่อยแล้วต้องมากังวล ต้องตามไปดูมันเรื่อยๆ ไม่ใช่ปล่อยแล้วปล่อยเลย
เหมือนปลาในคลอง ปล่อยเต่าต้องคอยเอาอาหารไปให้มัน
เพราะดูแล้วมันน่าจะอด ที่พุทธมณฑล สัตว์ดูจะแย่งกันกิน จนบางตัว
เหมือนจะไม่ได้กินอะไรเลย
เราอ่านมาว่าเต่านากินหอย แต่ตั้งแต่เราไปเพ่งหนองน้ำนั้นมาเรายังไม่เจอหอยสักตัวเดียว
แล้วเต่าจะกินอะไร ผักหญ้าในน้ำก็ไม่มี ขนมปังก็ไม่ใช่อาหารเต่า ที่เต่ามันต้องทนกิน
เพราะมันอดอยาก เห็นแล้วอนาถใจ แต่ถ้าซื้อหอยขมไปปล่อย ก็เท่ากับทำบาปอีก
ซื้อหอยขมเป็น ๆ ไปให้เต่ากิน บาปกว่าเดิม T-T
เราคงทำได้แค่ซื้ออาหารเต่าน้ำไปแจกมันน่ะแหละ กลายเป็นว่าต้องมีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
ต้องหมั่นไปเยี่ยมเต่าพวกนี้บ่อย ๆ เฮ้อออ... ทำบุญได้บาปมั๊ยเนี่ย พาเขาไปอยู่ในแหล่งที่ไม่ค่อยมีอาหาร
แย่งกันกิน แย่งกันอยู่กับปลา