แผนคุ้มครองบัตรหาย กรุงศรี. กับ ของธนาคารอื่น หรืบัตรอื่นๆ ต่างกันอย่างไร

บัตรเครดิต  Visa Platinum กรุงศรี

แผนคุ้มครองบัตรหาย Zero Liability ย้อนหลังสูงสุด 24 ชั่วโมง ก่อนการแจ้ง*

เพิ่มความอุ่นใจอีกหนึ่งระดับด้วย Zero Liability แผนป้องกันการนำหมายเลขบัตรของท่านไปใช้ กรณีบัตรสูญหายหรือถูกโจรกรรม โดยท่านสมาชิกฯ ไม่ต้องรับผิดชอบยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ให้ความคุ้มครองย้อนหลังสูงสุด 24 ชั่วโมง ก่อนการแจ้งอายัดบัตรฯ

เงื่อนไข
บริษัทฯ รับผิดชอบยอดใช้จ่ายสูงสุด 50,000 บาทต่อบัญชี ส่วนที่เกินสมาชิกบัตรจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
Ÿบริษัทฯ จะโอนเงินภายใน 45 วัน นังจากวันที่สมาชิกบัตรแจ้งอายัดบัตรฯ

คำถาม
เห็น ธนาคารอื่นๆ หรือ บัตรตัวอื่น ของกรุงศรี ไม่มีแผนนี้.  แสดงว่า ถ้าบัตรหาย. รับผิดชอบเองหมดเลยเหรอ
เงื่อนไขนี้ ใครเคยใช้บ้าง. เล่าให้ฟังหน่อย. ได้คืนยาก หรือ ง่าย
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
อาจจะไม่ตรงกับคำถามของเจ้าของกระทู้นัก แต่ถือว่าเล่าสู่กันฟังครับ

ก่อนอื่นว่ากันตามตรงเลยนะครับว่าผมไม่รู้เรื่องกฎหมายข้อบังคับตรงนี้ของไทยเท่ากับของอเมริกา แต่เท่าที่เคยมาอ่านเจอในพันทิป ผมบอกเลยครับว่าผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจแทนผู้ถือบัตรเครดิตเมืองไทยมาก เพราะมีคนมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับการนำบัตรไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตบ่อยมาก แต่ก็โดนปฏิเสธการช่วยเหลือโดยธนาคาร

ระบบบัตรเครดิต ถึงแม้จะมีช่องโหว่อยู่ แต่ในทางปฏิบัติแล้วนั้นหากทั้งสามฝ่ายซึ่งได้แก่ ผู้ถือบัตร ผู้ประกอบการ และธนาคาร ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันก็จะปลอดภัยพอสมควร

ตั้งแต่เริ่มอนุมัติบัตร เมื่อบัตรถูกจัดส่งไปให้ผู้ถือบัตร ธนาคารจะต้องหาวิธีที่สามารถทำให้มั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าผู้ถือบัตรเป็นผู้ได้รับบัตรอย่างแน่นอน เมื่อผู้รับบัตรได้รับบัตรแล้วจะต้องเซ็นกำกับหลังบัตรโดยทันที ซึ่งพอผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ แปลว่าบัตรอยู่กับผู้ถือบัตรโดยแท้แล้ว

เมื่อนำบัตรไปใช้ ผู้ประกอบการจะต้อง 1) ตรวจสอบลายเซ็นของผู้ใช้ว่าตรงกับหลังบัตรหรือไม่ และ/หรือ 2) ตรวจสอบบัตรประชาชนของผู้ใช้บัตร ซึ่งถ้าหากทำขั้นตอนนี้ก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าผู้ใช้บัตรเป็นผู้ที่มีอำนาจในการใช้บัตรอย่างแท้จริง

ในช่วงชีวิตที่ผมมีบัตรเครดิต ผมอยู่อเมริกามาราว ๆ 17 ปี ในขณะที่ช่วงที่มีบัตรเครดิตใช้ที่เมืองไทยน่าจะแค่ไม่ถึง 5 ปี ซึ่งตามประสบการณ์ที่ผมเจอคือ ในอเมริกานั้นมีการตรวจลายเซ็นน่าจะราว ๆ 60% ของการใช้บัตรเลยทีเดียว ในขณะที่มีการขอตรวจบัตรน่าจะราว ๆ สัก 30-40% (ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลทางสถิติ แต่มาจากการประมาณจากความทรงจำ) ในขณะที่เมืองไทยนั้นผมยังไม่เคยเจอมีการตรวจลายเซ็นและไม่เคยเจอมีการขอตรวจบัตรแม้แต่ครั้งเดียว

ซึ่งในอเมริกามีกฎหมายครอบคลุมปกป้องผู้ถือบัตรเครดิต หากเจ้าของบัตรไม่ได้ทำการอนุญาตในการทำธุรกรรมดังกล่าว สามารถปฏิเสธการใช้งานได้ทุกกรณี ซึ่งนั่นแปลว่าธนาคารและเจ้าของสถานประกอบการจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเจ้าของบัตรมีการใช้งานบัตรจริง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เมื่อผู้ใช้บัตรมีการปฏิเสธการใช้บัตร ธนาคารจะทำการเครดิตให้เจ้าของบัตรเรียกว่าแทบจะทันทีเมื่อได้รับคำร้อง จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของธนาคารที่จะไปเรียกคืนหรือเรียกเก็บเงินจากทางเจ้าของสถานประกอบการ และนั่นคือสาเหตุที่เจ้าของสถานประกอบการจะต้องเก็บสลิปที่มีลายเซ็นเอาไว้พิสูจน์กับทางธนาคาร

แต่ที่ผมเห็นกรณีที่เมืองไทย เห็นเป็นกระทู้บ่อยมากที่ธนาคารปัดความรับผิดชอบให้กับลูกค้าผู้ถือบัตร และมีกรณีมากมายที่ต้องไปฟ้องร้องกันถึงศาล (แต่ผมไม่แปลกใจ เพราะส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ของไทยมักเอาง่ายแล้วปัดความรับผิดชอบเอา)

เพราะฉะนั้นในความรู้สึกผม ผมรู้สึกว่าการถือบัตรเครดิตธนาคารอเมริกา มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ในขณะที่บัตรเครดิตเมืองไทยแทบเหมือนถือเงินสดยอดเท่ากับวงเงินที่เราได้

และด้วยลักษณะพฤติกรรมการใช้บัตรแบบนี้ครับ ก็ไม่น่าแปลกใจที่มิจฉาชีพระดับนานาชาติถึงใช้เมืองไทยเป็นเป้าหมายในการโจรกรรมและรูดใช้บัตรครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่