เพิ่งจะอ่านเรื่อง Sentouin haken shimasu ผลงานใหม่ของคนเขียน Konosuba และตอนซื้อก็ซื้อโคโนซุบะเล่ม 13 มาพร้อมๆกันก็เลยได้แผ่นพับนิยายสั้นแถมมาด้วยเลยเอามาแนะนำให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
Sentouin haken shimasu มีเรื่องย่อๆคือพระเอก เซ็นโทอิน(หน่วยรบ) โรคุโกะ(หมายเลขหก) ไม่ปรากฏชื่อจริง เป็นหน่วยรบขององค์กรลับคิซารากิซึ่งมีเป้าหมายจะครองโลก และเป็นสมาชิกหน่วยรบกี๊ๆที่อยู่มานานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์กร แต่เผอิญว่าองค์กรใกล้จะครองโลกได้แล้วจึงทำการโละพนักงานออกโดยเฉพาะพวกหน่วยรบกี๊ๆ แต่บรรดาหัวหน้าใหญ่เห็นว่าพระเอกเป็นสมาชิกเก่าแก่ที่อยู่มานานเลยให้โอกาสพระเอกทำภารกิจหนึ่งซึ่งก็คือการเดินทางไปสำรวจยังอีกดวงดาวหนึ่งเพื่อที่เมื่อครองโลกเสร็จแล้วจะได้มีเป้าหมายที่จะยึดครองต่อไป เลยให้ไปสำรวจก่อนว่าเหมาะที่จะเข้ายึดครองหรือไม่ โดยมีแอนดรอย์ชื่ออลิสคอยเป็นผู้ช่วย โลกที่พระเอกถูกส่งไปนั้นเป็นโลกที่มีมอนสเตอร์และเวทย์มนต์ แต่ด้วยพลังของชุดเพาเวอร์สูทหน่วยรบกี๊ๆ พระเอกเลยสามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นถึงหัวหน้ากองรบของอาณาจักรแห่งหนึ่งซึ่งกำลังถูกรุกรานโดยคู่แข่งทางการค้าที่ชื่อว่ากองทัพจอมมาร พระเอกเลยต้องเลยตามเลยต่อสู้กับกองทัพจอมมารไปด้วย....
เนื้อเรื่องจริงๆก็รอให้มีลิขสิทธิ์ในไทยก่อนละกัน วันนี้จะแนะนำแค่โคราโบ้กับโคโนสุบะละกัน
"ดาวเคราะห์ดวงนั้น....เต็มไปด้วยอันตราย"
ด้วยผลงานการต่อสู้อันตระการตาของฉัน อาณาจักรเกรอิสจึงได้พ้นจากภยันตรายของกองทัพจอมมารไปได้อีกระยะหนึ่ง
ในขณะนี้ฉันกำลังสัมผัสกับความสงบสุขชั่วคราวนี้ไปพร้อมๆกับเดินสำรวจสนามฝึกซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในครั้งต่อไป
"เฮ้ย ตรงนั้นน่ะ เวลาแกว่งดาบต้องส่ายสะโพกให้มากกว่านี้อีกเซ่ ถ้าจะให้พูดให้ละเอียดกว่านี้ก็คือยื่นก้นออกมาให้มากกว่านี้อีก ยื่นก้นมา"
"ยื่นก้นบ้าอะไรของแก ไปตายซะ ไป๊ แกน่ะใช้ดาบเป็นซะที่ไหนกันเล่า อย่ามารบกวนคนเขาจะฝึกซ้อมจะได้มั้ย ไปทางโน้น ไป๊"
การเดินไปเดินมาในสนามฝึกซ้อมพร้อมกับให้คำแนะนำบรรดาลูกน้อง...นี่คือกิจกรรมประจำวันในช่วงนี้ของฉัน
"นี่หล่อนไม่รู้หรือไงว่าตอนสมัยประถมฉันเคยเรียนเคนโด้มาก่อนนะเฟ้ย น้ำหน้าอย่างสโนว์นี่ไม่ได้สักขี้เล็บฉันหรอก แต่ถ้าใช้ดาบแล้วเดี๋ยวหล่อนจะไม่มีเอกลักษณ์หลงเหลือฉันก็เลยจงใจไม่ใช้ดาบต่างหากล่ะ"
"ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็มาประลองดาบกับฉันมั้ยล่ะ ถ้าฉันชนะก็มอบตำแหน่งหัวหน้ามา..."
ยัยสโนว์เริ่มพูดอะไรก็ไม่รู้ออกมา ฉันก็เลยหยุดพักการชี้แนะเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน
"อ้าว อลิสไม่ใช่เหรอนั่น กำลังอ่านอะไรอยู่เหรอ?"
"เฮ้ย โรคุโก ฟังที่ฉันพูดก่อน มั่นใจในฝีมือดาบนักไม่ใช่หรือไง ลองแสดงไอ้เคนโด้นั่นให้ดูหน่อยเซ่"
ยัยสโนว์ยังจะมาพูดอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ก็เลยช่างหัวยัยนั่นแล้วก็นั่งลงบนพื้นหญ้าข้างๆอลิสที่กำลังอ่านปึกแผ่นกระดาษอยู่
"อ้อ โรคุโกเหรอ กำลังอ่านรายงานที่ทางคิซารากิส่งมาอยู่น่ะ มีเรื่องแย่เกิดขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าแผนการยึดครองดาวดวงอื่นนอกจากดาวนี้จะถูกระงับชั่วคราวแล้ว นายเองก็อ่านดูบ้างสิ"
อลิสพูดจบแล้วก็ส่งปึกกระดาษมาให้ฉันดูบ้าง
ที่ข้างๆนั้นยัยสโนว์ก็ทำตาอยากรู้อยากเห็นมาแอบมองดูรายงานอยู่ข้างๆ แต่เผอิญเอกสารพวกนี้น่ะเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น
"เฮ้ย โรคุโก นั่นเอกสารอะไร ลองอ่านให้ฉันฟังเข้าใจด้วยสิ"
"นี่มันเป็นเอกสารลับของคิซารากินะ....แต่เอาเหอะ เธอเองก็เป็นลูกกระจ๊อกของฉันเหมือนกันนี่นะ"
ดูเหมือนสโนว์จะไม่ถูกใจกับคำว่าลูกกระจ๊อกเท่าไหร่ก็เลยโหวกเหวกอะไรอยู่ได้ ฉันก็เลยเมินซะแล้วก็อ่านเอกสาร....
รายงานการสำรวจ
สิ่งมีชีวิตที่ตรวจพบบนพื้นที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงมนุษย์เป็นอย่างมาก การเรียนรู้ภาษาของที่นี่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ในขณะนี้ก็เริ่มชินกับการพักแรมในคอกม้าแล้ว ถิ่นฐานการใช้ชีวิตที่นี่ก็เริ่มเป็นที่เป็นทางแล้ว ด้วยพลังของชุดหน่วยรบงานพิเศษในไซส์ก่อสร้างก็สบายบรื๋อ หัวหน้างานหน้าตาน่ากลัวนิดหน่อยแต่เงินค่าแรงก็ดีไม่เลวทีเดียว พูดตามตรงค่าแรงของคิซารากิมันถูกเกินไปหรือเปล่านะ พวกชาวพื้นเมืองที่นี่ดูไม่ค่อยจะมีความระแวงกันเลย เห็นชุดหน่วยรบแล้วก็แทบจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรกันเลย พอลองถามเพื่อนที่ทำงานดูว่าชุดนี้มันดูไม่แปลกตาเลยหรือไง ก็ได้คำตอบว่าที่เมืองนี้มักจะมีคนผมดำตาดำใส่ชุดแปลกๆชื่อแปลกๆโผล่ออกมาเป็นระยะๆอยู่แล้ว บอกตามตรงไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่หรอกแต่ก็เป็นโอกาสดีแล้ว การสำรวจพื้นที่จะได้ราบรื่นขึ้น
พออ่านมาจนถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น ยัยสโนว์ดันไปเหวี่ยงดาบอยู่ตรงโน้นแล้ว
ยัยนี่...ให้คนอื่นอ่านให้ฟัง พอฟังไม่เข้าใจก็เมินเฉยเลย
หลังจากที่ใช้ชีวิตที่นี่มาได้หนึ่งอาทิตย์ ก็เริ่มเข้าใจดวงดาวดวงนี้ขึ้นมาหน่อยแล้ว ที่ดาวดวงนี้มีพลังงานมหัศจรรย์ที่เรียกว่าพลังเวทย์มนต์อยู่ หากรับพลังชนิดนี้เข้าไปในร่าง สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะเริ่มพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างละก็...สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่มาก และยังมีนิสัยก้าวร้าวไม่เป็นมิตรอยู่เยอะมาก ที่นอกเมืองนั้นมีกบขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนคนได้ทั้งคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังน่าตกใจอย่างยิ่งที่มีบรรดาผู้คนที่ชอบทำการล่าเจ้าพวกกบยักษ์พวกนี้ คนพวกนี้ถูกเรียกกันว่า"นักผจญภัย" ดูเหมือนว่าสำหรับคนพวกนี้แล้วกบยักษ์นั้นเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น กบใหญ่ขนาดนี้ยังเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกนี่...สิ่งมีชีวิตที่อันตรายบนดาวดวงนี้นี่จะอันตรายแค่ไหนกันเนี่ย
"เนื้อกบนี่อร่อยดีนะ รสชาติอ่อนๆเหมือนเนื้อไก่ เวลาที่เงินเดือนหมดแล้วฉันก็มักจะออกไปจับมากินอยู่บ่อยๆเลยล่ะ"
ขณะที่ฉันกำลังอ่านเอกสารอยู่ดีๆ โรเซ่ก็โผล่มาแจมด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"....จะกินกบก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าได้รับสสารของกบมากเกินไปจนผิวหนังเริ่มหนืดๆเยิ้มๆล่ะก็จะให้งดกินกบเด็ดขาดเลยนะ"
(โรเซ่เป็นคิเมร่าที่กินอะไรก็จะได้รับความสามารถของสิ่งมีชีวิตนั้นมา พระเอกชอบเรียกว่าเหมือนตัวเคอบี้)
"ฉันก็ไม่ได้กินมากถึงขนาดมีผลกระทบกับร่างกายสักหน่อย ว่าแต่หัวหน้ารู้หรือเปล่า ว่าไอ้น้ำหนืดๆเยิ้มๆของกบเนี่ยถ้าเอาเกลือมานวดคลึ้งสักพักแล้วก็จะล้างออกได้ง่ายขึ้นนะ แล้วก็พวกกุ้งแม่น้ำนี่ให้เอามาใส่กะละมังไว้สักวันสองวันก่อนเพื่อให้มันคายโคลนออกมาก่อนถึงจะกินได้นะ แต่ถ้าใส่กะละมังเดียวกันหลายๆตัวพวกมันจะเริ่มกินกันเอง จึงต้องระวัง..."
"ความรู้พื้นบ้านพวกนั้นไม่ได้อยากจะรู้เลย ที่สำคัญกว่านั้นไปหัดกินตั๊กแตนซะ เฮ้ย อลิส เอาตั๊กแตนมาให้ยัยนี่กินซะ จะได้รับสสารตั๊กแตนให้เยอะๆแล้วจะได้กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดตั๊กแตนได้ ไปจับแถวๆนี้มา...."
พอรู้ตัวว่ากำลังจะโดนอะไรยัยโรเซ่ก็รีบเผ่นไปก่อนแล้ว ฉันก็ไม่สนใจและเริ่มอ่านเอกสารต่อ
หลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาได้สองอาทิตย์ ชาวพื้นเมืองที่นี่มีแต่เรื่องน่าตกใจทั้งนั้นเลย ขณะที่ฉันกำลังทำงานพิเศษที่ไซท์งานก่อสร้างอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีเด็กสาวผมสีฟ้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แล้วก็พูดว่า "เดี๋ยวฉันจะแสดงตัวอย่างให้ดูเอง" และก็ได้แสดงวิชาการฉาบปูนอย่างปรมาจารย์ให้ฉันได้เห็น ตอนแรกนึกว่าเป็นมืออาชีพซะอีก ที่ไหนได้ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กที่มาทำงานพิเศษเหมือนกัน ช่างปูนของดาวดวงนี้ประมาทไม่ได้จริงๆ ขนาดแค่เด็กทำงานพิเศษยังมีฝีมือระดับปรามาจารย์ของบนโลกเลยทีเดียว แต่ที่น่าตกใจจริงๆนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ ระหว่างก่อสร้างได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมีคนงานคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย แต่เด็กสาวคนนั้นได้ท่องอะไรก็ไม่รู้ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวบาดแผลก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที พอลองถามดูก็ได้รู้ว่านี่คือเวทย์มนต์ที่พูดถึงกัน แถมค่ารักษาที่จ่ายให้เด็กสาวคนนั้นก็ยังพอๆกับเงินค่าเหล้าถูกๆแค่แก้วเดียวเองด้วย นี่ช่างเป็นวิทยการด้านการแพทย์ที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ หากมองเพียงแค่ด้านนี้ด้านเดียวละก็วิทยาการบนดาวดวงนี้อาจจะล้ำหน้าพวกเราไปอีกก็ได้
มาอีกและ....ไอ้เวทย์มนต์นี่
อะไรกันเนี่ย ฉันเองก็อยากไปที่ดาวดวงนั้นมั่งเหมือนกันนะ
หลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาได้สามอาทิตย์ ความแปลกประหลาดของดาวดวงนี้ก็ได้เริ่มเผยออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ขณะที่ฉันกำลังแอบก่ออาชญากรรมเล็กๆน้อยๆเพื่อสะสมแต้มความชั่ว(องค์กรพระเอกจะต้องทำความชั่วเพื่อสะสมแต้มมาแลกอาวุธหรืออุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์ขององค์กร) ก็มีสาวสวยผมทองตาสีฟ้าเข้ามาเตือนฉัน เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่บ้างบางครั้งบางคราวฉันก็เลยไม่ค่อยใส่ใจและขู่กลับไปเพื่อให้เงียบๆไปซะ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่กลัวคำขู่ของฉันเลยแถมยังมาท้าให้โจมตีใส่ตนอีกด้วย ลองโดนชาวพื้นเมืองหยามถึงขนาดนี้แล้วฉันก็เลยต่อยด้วยเพาเวอร์สูทด้วยแรงพอประมาณไป แต่กลับโดนผู้หญิงคนนั้นผิดหวังใส่และยังบอกอีกว่า"ทำได้แค่นี้เองเหรอ"อีก ฉันที่เป็นฝ่ายโจมตีกลับรู้สึกเจ็บแขนเองซะอีกด้วย ความถึกของชาวพื้นเมืองที่นี่มันเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้จริงๆ ที่คนที่นี่ไม่ใช้พวกอาวุธปืนกันเลยนี่ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพราะวิทยาการยังอยู่ระดับต่ำ แต่ที่จริงแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าพวกอาวุธปืนนั้นมีพลังไม่พอก็เลยไม่มีใครใช้กันก็ได้
พออ่านมาจนถึงจุดนี้ ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งทักขึ้นมาจากตำแหน่งที่โรเซ่อยู่เมื่อกี้
"ก็ไม่รู้หรอกนะว่ากำลังอ่านอะไรอยู่ เป็นพวกนิยายการผจญภัยอะไรทำนองนี้เหรอ? จะให้ยืมนิยายรักหวานมันของฉันเอามั้ย?"
"ขอถามก่อนได้มะ....ว่าเนื้อเรื่องเป็นแบบไหน"
ที่ตรงนั้น....กริมซึ่งนั่งตากแดดอ่อนๆอยู่บนรถเข็นกำลังเงี่ยหูมาฟังรายงานที่ฉันกำลังอ่านอยู่
"สาววัยใกล้จะสามสิบคนหนึ่งได้ใช้วิธีการโน้นวิธีการนี้เพื่อขจัดเหล่าเด็กสาวไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เข้ามาป้วนเปี้ยนหนุ่มหล่อเอ๊าะๆที่ตนกำลังเล็งอยู่ไป และในที่สุดก็ได้ตำแหน่งแม่บ้านมาครองและใช้ชีวิตแม่บ้านโดยแอบงีบกลางวันไปพลางๆอย่างมีความสุข...."
"ไม่เอา"
พอฉันตอบปฏิเสธกริมไปแล้วก็อ่านรายงานต่อ
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้สี่อาทิตย์ บอกตามตรงฉันประเมินดาวดวงนี้ต่ำไปจริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกคือดูถูกพลังของเวทย์มนต์เกินไป หลังจากที่ได้เห็นพลังของเวทย์มนต์แล้วฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะทำการตรวจสอบพลังของเวทย์มนต์โจมตีดูบ้าง พอดีมีฝูงกบยักษ์โผล่ออกมาที่ใกล้ๆเมือง พวกนักผจญภัยจึงถูกเรียกตัวไป ตอนนั้นเองเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุแค่สิบต้นๆได้ใช้เวทย์มนต์ระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวให้ได้เห็น พลังทำลายของมันนั้นอาจจะพอๆกับนิวเคลียร์ขนาดย่อมๆเลยก็ได้ ขณะที่ฉันกำลังยืนมองด้วยความตะลึงอยู่นั้นเอง พวกนักผจญภัยรอบๆตัวกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรอย่างกับว่านี่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันอะไรแบบนั้นเลย เวทย์มนต์ที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้....กลับถูกนำมาใช้ขจัดกบยักษ์ซึ่งเป็นเพียงแค่ระดับลูกจ๊อก ที่นี่ช่างมีแต่เรื่องน่าตะลึงทั้งนั้นเลย
พออ่านรายงานต่อมาเรื่อยๆ ฉันก็ได้สังเกตุเห็นถึงจุดๆหนึ่ง
ผู้เขียนชักจะเริ่มแตกตื่นพะวนพะวายหรือไงก็ไม่รู้ พอถึงช่วงหลังๆนี่ลายมือชักจะเริ่มยุ่งเหยิงตวัดไปตวัดมา
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้ห้าอาทิตย์ ดาวดวงนี้มันไม่ใช่แค่ระดับแปลกประหลาดแล้ว อยู่มาวันหนึ่งผู้ชายตัวใหญ่สวมหน้ากากได้มองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของฉันออกและพูดว่า "อุตส่าห์เดินทางมาจากดาวแสนไกลเพื่อมาทำงานลักลอบสำรวจนี่....คงจะเหนื่อยน่าดูนะ" ไม่รู้ว่าชายคนนี้รู้ได้ยังไง แต่เพื่อปิดปากซะฉันจึงลั่นไกทันที แต่ทว่าฉันยิงไปที่หัวใจของชายคนนั้นแล้วแน่นอน แต่ชายคนนั้นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแถมยังหัวเราะและเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนที่ฉันต่อยไปนั้นก็ตัวแข็งมากๆเลย อะไรกันเนี่ย ไอ้พวกคนบนดาวดวงนี้มันอะไรของมันกัน เวทย์มนต์เหรอ? เป็นเพราะเวทย์มนต์ใช่มั้ย? ยิ่งกว่านั้นยังได้ยินมาอีกว่าเจ้าพวกนี้สามารถใช้เวทย์มนต์ชุบชีวิตคนตายได้อีกด้วย แถมดูเหมือนว่าเด็กสาวผมฟ้าที่มาทำงานพิเศษที่ไซส์ก่อสร้างเองก็สามารถชุบชีวิตคนตายได้ บ้าไปแล้ว...มันบ้าไปแล้วชัดๆ ไอ้พวกคนบนดาวดวงนี้มันอะไรของมันกันแน่
ต่อ....
(สปอยด์?)โคราโบ้...ที่ไม่โคจรมาหากันของ Konosuba กับ Sentouin
Sentouin haken shimasu มีเรื่องย่อๆคือพระเอก เซ็นโทอิน(หน่วยรบ) โรคุโกะ(หมายเลขหก) ไม่ปรากฏชื่อจริง เป็นหน่วยรบขององค์กรลับคิซารากิซึ่งมีเป้าหมายจะครองโลก และเป็นสมาชิกหน่วยรบกี๊ๆที่อยู่มานานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์กร แต่เผอิญว่าองค์กรใกล้จะครองโลกได้แล้วจึงทำการโละพนักงานออกโดยเฉพาะพวกหน่วยรบกี๊ๆ แต่บรรดาหัวหน้าใหญ่เห็นว่าพระเอกเป็นสมาชิกเก่าแก่ที่อยู่มานานเลยให้โอกาสพระเอกทำภารกิจหนึ่งซึ่งก็คือการเดินทางไปสำรวจยังอีกดวงดาวหนึ่งเพื่อที่เมื่อครองโลกเสร็จแล้วจะได้มีเป้าหมายที่จะยึดครองต่อไป เลยให้ไปสำรวจก่อนว่าเหมาะที่จะเข้ายึดครองหรือไม่ โดยมีแอนดรอย์ชื่ออลิสคอยเป็นผู้ช่วย โลกที่พระเอกถูกส่งไปนั้นเป็นโลกที่มีมอนสเตอร์และเวทย์มนต์ แต่ด้วยพลังของชุดเพาเวอร์สูทหน่วยรบกี๊ๆ พระเอกเลยสามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นถึงหัวหน้ากองรบของอาณาจักรแห่งหนึ่งซึ่งกำลังถูกรุกรานโดยคู่แข่งทางการค้าที่ชื่อว่ากองทัพจอมมาร พระเอกเลยต้องเลยตามเลยต่อสู้กับกองทัพจอมมารไปด้วย....
เนื้อเรื่องจริงๆก็รอให้มีลิขสิทธิ์ในไทยก่อนละกัน วันนี้จะแนะนำแค่โคราโบ้กับโคโนสุบะละกัน
"ดาวเคราะห์ดวงนั้น....เต็มไปด้วยอันตราย"
ด้วยผลงานการต่อสู้อันตระการตาของฉัน อาณาจักรเกรอิสจึงได้พ้นจากภยันตรายของกองทัพจอมมารไปได้อีกระยะหนึ่ง
ในขณะนี้ฉันกำลังสัมผัสกับความสงบสุขชั่วคราวนี้ไปพร้อมๆกับเดินสำรวจสนามฝึกซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในครั้งต่อไป
"เฮ้ย ตรงนั้นน่ะ เวลาแกว่งดาบต้องส่ายสะโพกให้มากกว่านี้อีกเซ่ ถ้าจะให้พูดให้ละเอียดกว่านี้ก็คือยื่นก้นออกมาให้มากกว่านี้อีก ยื่นก้นมา"
"ยื่นก้นบ้าอะไรของแก ไปตายซะ ไป๊ แกน่ะใช้ดาบเป็นซะที่ไหนกันเล่า อย่ามารบกวนคนเขาจะฝึกซ้อมจะได้มั้ย ไปทางโน้น ไป๊"
การเดินไปเดินมาในสนามฝึกซ้อมพร้อมกับให้คำแนะนำบรรดาลูกน้อง...นี่คือกิจกรรมประจำวันในช่วงนี้ของฉัน
"นี่หล่อนไม่รู้หรือไงว่าตอนสมัยประถมฉันเคยเรียนเคนโด้มาก่อนนะเฟ้ย น้ำหน้าอย่างสโนว์นี่ไม่ได้สักขี้เล็บฉันหรอก แต่ถ้าใช้ดาบแล้วเดี๋ยวหล่อนจะไม่มีเอกลักษณ์หลงเหลือฉันก็เลยจงใจไม่ใช้ดาบต่างหากล่ะ"
"ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็มาประลองดาบกับฉันมั้ยล่ะ ถ้าฉันชนะก็มอบตำแหน่งหัวหน้ามา..."
ยัยสโนว์เริ่มพูดอะไรก็ไม่รู้ออกมา ฉันก็เลยหยุดพักการชี้แนะเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน
"อ้าว อลิสไม่ใช่เหรอนั่น กำลังอ่านอะไรอยู่เหรอ?"
"เฮ้ย โรคุโก ฟังที่ฉันพูดก่อน มั่นใจในฝีมือดาบนักไม่ใช่หรือไง ลองแสดงไอ้เคนโด้นั่นให้ดูหน่อยเซ่"
ยัยสโนว์ยังจะมาพูดอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ก็เลยช่างหัวยัยนั่นแล้วก็นั่งลงบนพื้นหญ้าข้างๆอลิสที่กำลังอ่านปึกแผ่นกระดาษอยู่
"อ้อ โรคุโกเหรอ กำลังอ่านรายงานที่ทางคิซารากิส่งมาอยู่น่ะ มีเรื่องแย่เกิดขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าแผนการยึดครองดาวดวงอื่นนอกจากดาวนี้จะถูกระงับชั่วคราวแล้ว นายเองก็อ่านดูบ้างสิ"
อลิสพูดจบแล้วก็ส่งปึกกระดาษมาให้ฉันดูบ้าง
ที่ข้างๆนั้นยัยสโนว์ก็ทำตาอยากรู้อยากเห็นมาแอบมองดูรายงานอยู่ข้างๆ แต่เผอิญเอกสารพวกนี้น่ะเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น
"เฮ้ย โรคุโก นั่นเอกสารอะไร ลองอ่านให้ฉันฟังเข้าใจด้วยสิ"
"นี่มันเป็นเอกสารลับของคิซารากินะ....แต่เอาเหอะ เธอเองก็เป็นลูกกระจ๊อกของฉันเหมือนกันนี่นะ"
ดูเหมือนสโนว์จะไม่ถูกใจกับคำว่าลูกกระจ๊อกเท่าไหร่ก็เลยโหวกเหวกอะไรอยู่ได้ ฉันก็เลยเมินซะแล้วก็อ่านเอกสาร....
รายงานการสำรวจ
สิ่งมีชีวิตที่ตรวจพบบนพื้นที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงมนุษย์เป็นอย่างมาก การเรียนรู้ภาษาของที่นี่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ในขณะนี้ก็เริ่มชินกับการพักแรมในคอกม้าแล้ว ถิ่นฐานการใช้ชีวิตที่นี่ก็เริ่มเป็นที่เป็นทางแล้ว ด้วยพลังของชุดหน่วยรบงานพิเศษในไซส์ก่อสร้างก็สบายบรื๋อ หัวหน้างานหน้าตาน่ากลัวนิดหน่อยแต่เงินค่าแรงก็ดีไม่เลวทีเดียว พูดตามตรงค่าแรงของคิซารากิมันถูกเกินไปหรือเปล่านะ พวกชาวพื้นเมืองที่นี่ดูไม่ค่อยจะมีความระแวงกันเลย เห็นชุดหน่วยรบแล้วก็แทบจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรกันเลย พอลองถามเพื่อนที่ทำงานดูว่าชุดนี้มันดูไม่แปลกตาเลยหรือไง ก็ได้คำตอบว่าที่เมืองนี้มักจะมีคนผมดำตาดำใส่ชุดแปลกๆชื่อแปลกๆโผล่ออกมาเป็นระยะๆอยู่แล้ว บอกตามตรงไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่หรอกแต่ก็เป็นโอกาสดีแล้ว การสำรวจพื้นที่จะได้ราบรื่นขึ้น
พออ่านมาจนถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น ยัยสโนว์ดันไปเหวี่ยงดาบอยู่ตรงโน้นแล้ว
ยัยนี่...ให้คนอื่นอ่านให้ฟัง พอฟังไม่เข้าใจก็เมินเฉยเลย
หลังจากที่ใช้ชีวิตที่นี่มาได้หนึ่งอาทิตย์ ก็เริ่มเข้าใจดวงดาวดวงนี้ขึ้นมาหน่อยแล้ว ที่ดาวดวงนี้มีพลังงานมหัศจรรย์ที่เรียกว่าพลังเวทย์มนต์อยู่ หากรับพลังชนิดนี้เข้าไปในร่าง สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะเริ่มพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างละก็...สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่มาก และยังมีนิสัยก้าวร้าวไม่เป็นมิตรอยู่เยอะมาก ที่นอกเมืองนั้นมีกบขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนคนได้ทั้งคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังน่าตกใจอย่างยิ่งที่มีบรรดาผู้คนที่ชอบทำการล่าเจ้าพวกกบยักษ์พวกนี้ คนพวกนี้ถูกเรียกกันว่า"นักผจญภัย" ดูเหมือนว่าสำหรับคนพวกนี้แล้วกบยักษ์นั้นเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น กบใหญ่ขนาดนี้ยังเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกนี่...สิ่งมีชีวิตที่อันตรายบนดาวดวงนี้นี่จะอันตรายแค่ไหนกันเนี่ย
"เนื้อกบนี่อร่อยดีนะ รสชาติอ่อนๆเหมือนเนื้อไก่ เวลาที่เงินเดือนหมดแล้วฉันก็มักจะออกไปจับมากินอยู่บ่อยๆเลยล่ะ"
ขณะที่ฉันกำลังอ่านเอกสารอยู่ดีๆ โรเซ่ก็โผล่มาแจมด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"....จะกินกบก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าได้รับสสารของกบมากเกินไปจนผิวหนังเริ่มหนืดๆเยิ้มๆล่ะก็จะให้งดกินกบเด็ดขาดเลยนะ"
(โรเซ่เป็นคิเมร่าที่กินอะไรก็จะได้รับความสามารถของสิ่งมีชีวิตนั้นมา พระเอกชอบเรียกว่าเหมือนตัวเคอบี้)
"ฉันก็ไม่ได้กินมากถึงขนาดมีผลกระทบกับร่างกายสักหน่อย ว่าแต่หัวหน้ารู้หรือเปล่า ว่าไอ้น้ำหนืดๆเยิ้มๆของกบเนี่ยถ้าเอาเกลือมานวดคลึ้งสักพักแล้วก็จะล้างออกได้ง่ายขึ้นนะ แล้วก็พวกกุ้งแม่น้ำนี่ให้เอามาใส่กะละมังไว้สักวันสองวันก่อนเพื่อให้มันคายโคลนออกมาก่อนถึงจะกินได้นะ แต่ถ้าใส่กะละมังเดียวกันหลายๆตัวพวกมันจะเริ่มกินกันเอง จึงต้องระวัง..."
"ความรู้พื้นบ้านพวกนั้นไม่ได้อยากจะรู้เลย ที่สำคัญกว่านั้นไปหัดกินตั๊กแตนซะ เฮ้ย อลิส เอาตั๊กแตนมาให้ยัยนี่กินซะ จะได้รับสสารตั๊กแตนให้เยอะๆแล้วจะได้กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดตั๊กแตนได้ ไปจับแถวๆนี้มา...."
พอรู้ตัวว่ากำลังจะโดนอะไรยัยโรเซ่ก็รีบเผ่นไปก่อนแล้ว ฉันก็ไม่สนใจและเริ่มอ่านเอกสารต่อ
หลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาได้สองอาทิตย์ ชาวพื้นเมืองที่นี่มีแต่เรื่องน่าตกใจทั้งนั้นเลย ขณะที่ฉันกำลังทำงานพิเศษที่ไซท์งานก่อสร้างอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีเด็กสาวผมสีฟ้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แล้วก็พูดว่า "เดี๋ยวฉันจะแสดงตัวอย่างให้ดูเอง" และก็ได้แสดงวิชาการฉาบปูนอย่างปรมาจารย์ให้ฉันได้เห็น ตอนแรกนึกว่าเป็นมืออาชีพซะอีก ที่ไหนได้ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กที่มาทำงานพิเศษเหมือนกัน ช่างปูนของดาวดวงนี้ประมาทไม่ได้จริงๆ ขนาดแค่เด็กทำงานพิเศษยังมีฝีมือระดับปรามาจารย์ของบนโลกเลยทีเดียว แต่ที่น่าตกใจจริงๆนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ ระหว่างก่อสร้างได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมีคนงานคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย แต่เด็กสาวคนนั้นได้ท่องอะไรก็ไม่รู้ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวบาดแผลก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที พอลองถามดูก็ได้รู้ว่านี่คือเวทย์มนต์ที่พูดถึงกัน แถมค่ารักษาที่จ่ายให้เด็กสาวคนนั้นก็ยังพอๆกับเงินค่าเหล้าถูกๆแค่แก้วเดียวเองด้วย นี่ช่างเป็นวิทยการด้านการแพทย์ที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ หากมองเพียงแค่ด้านนี้ด้านเดียวละก็วิทยาการบนดาวดวงนี้อาจจะล้ำหน้าพวกเราไปอีกก็ได้
มาอีกและ....ไอ้เวทย์มนต์นี่
อะไรกันเนี่ย ฉันเองก็อยากไปที่ดาวดวงนั้นมั่งเหมือนกันนะ
หลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาได้สามอาทิตย์ ความแปลกประหลาดของดาวดวงนี้ก็ได้เริ่มเผยออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ขณะที่ฉันกำลังแอบก่ออาชญากรรมเล็กๆน้อยๆเพื่อสะสมแต้มความชั่ว(องค์กรพระเอกจะต้องทำความชั่วเพื่อสะสมแต้มมาแลกอาวุธหรืออุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์ขององค์กร) ก็มีสาวสวยผมทองตาสีฟ้าเข้ามาเตือนฉัน เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่บ้างบางครั้งบางคราวฉันก็เลยไม่ค่อยใส่ใจและขู่กลับไปเพื่อให้เงียบๆไปซะ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่กลัวคำขู่ของฉันเลยแถมยังมาท้าให้โจมตีใส่ตนอีกด้วย ลองโดนชาวพื้นเมืองหยามถึงขนาดนี้แล้วฉันก็เลยต่อยด้วยเพาเวอร์สูทด้วยแรงพอประมาณไป แต่กลับโดนผู้หญิงคนนั้นผิดหวังใส่และยังบอกอีกว่า"ทำได้แค่นี้เองเหรอ"อีก ฉันที่เป็นฝ่ายโจมตีกลับรู้สึกเจ็บแขนเองซะอีกด้วย ความถึกของชาวพื้นเมืองที่นี่มันเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้จริงๆ ที่คนที่นี่ไม่ใช้พวกอาวุธปืนกันเลยนี่ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพราะวิทยาการยังอยู่ระดับต่ำ แต่ที่จริงแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าพวกอาวุธปืนนั้นมีพลังไม่พอก็เลยไม่มีใครใช้กันก็ได้
พออ่านมาจนถึงจุดนี้ ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งทักขึ้นมาจากตำแหน่งที่โรเซ่อยู่เมื่อกี้
"ก็ไม่รู้หรอกนะว่ากำลังอ่านอะไรอยู่ เป็นพวกนิยายการผจญภัยอะไรทำนองนี้เหรอ? จะให้ยืมนิยายรักหวานมันของฉันเอามั้ย?"
"ขอถามก่อนได้มะ....ว่าเนื้อเรื่องเป็นแบบไหน"
ที่ตรงนั้น....กริมซึ่งนั่งตากแดดอ่อนๆอยู่บนรถเข็นกำลังเงี่ยหูมาฟังรายงานที่ฉันกำลังอ่านอยู่
"สาววัยใกล้จะสามสิบคนหนึ่งได้ใช้วิธีการโน้นวิธีการนี้เพื่อขจัดเหล่าเด็กสาวไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เข้ามาป้วนเปี้ยนหนุ่มหล่อเอ๊าะๆที่ตนกำลังเล็งอยู่ไป และในที่สุดก็ได้ตำแหน่งแม่บ้านมาครองและใช้ชีวิตแม่บ้านโดยแอบงีบกลางวันไปพลางๆอย่างมีความสุข...."
"ไม่เอา"
พอฉันตอบปฏิเสธกริมไปแล้วก็อ่านรายงานต่อ
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้สี่อาทิตย์ บอกตามตรงฉันประเมินดาวดวงนี้ต่ำไปจริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกคือดูถูกพลังของเวทย์มนต์เกินไป หลังจากที่ได้เห็นพลังของเวทย์มนต์แล้วฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะทำการตรวจสอบพลังของเวทย์มนต์โจมตีดูบ้าง พอดีมีฝูงกบยักษ์โผล่ออกมาที่ใกล้ๆเมือง พวกนักผจญภัยจึงถูกเรียกตัวไป ตอนนั้นเองเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุแค่สิบต้นๆได้ใช้เวทย์มนต์ระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวให้ได้เห็น พลังทำลายของมันนั้นอาจจะพอๆกับนิวเคลียร์ขนาดย่อมๆเลยก็ได้ ขณะที่ฉันกำลังยืนมองด้วยความตะลึงอยู่นั้นเอง พวกนักผจญภัยรอบๆตัวกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรอย่างกับว่านี่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันอะไรแบบนั้นเลย เวทย์มนต์ที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้....กลับถูกนำมาใช้ขจัดกบยักษ์ซึ่งเป็นเพียงแค่ระดับลูกจ๊อก ที่นี่ช่างมีแต่เรื่องน่าตะลึงทั้งนั้นเลย
พออ่านรายงานต่อมาเรื่อยๆ ฉันก็ได้สังเกตุเห็นถึงจุดๆหนึ่ง
ผู้เขียนชักจะเริ่มแตกตื่นพะวนพะวายหรือไงก็ไม่รู้ พอถึงช่วงหลังๆนี่ลายมือชักจะเริ่มยุ่งเหยิงตวัดไปตวัดมา
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้ห้าอาทิตย์ ดาวดวงนี้มันไม่ใช่แค่ระดับแปลกประหลาดแล้ว อยู่มาวันหนึ่งผู้ชายตัวใหญ่สวมหน้ากากได้มองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของฉันออกและพูดว่า "อุตส่าห์เดินทางมาจากดาวแสนไกลเพื่อมาทำงานลักลอบสำรวจนี่....คงจะเหนื่อยน่าดูนะ" ไม่รู้ว่าชายคนนี้รู้ได้ยังไง แต่เพื่อปิดปากซะฉันจึงลั่นไกทันที แต่ทว่าฉันยิงไปที่หัวใจของชายคนนั้นแล้วแน่นอน แต่ชายคนนั้นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแถมยังหัวเราะและเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนที่ฉันต่อยไปนั้นก็ตัวแข็งมากๆเลย อะไรกันเนี่ย ไอ้พวกคนบนดาวดวงนี้มันอะไรของมันกัน เวทย์มนต์เหรอ? เป็นเพราะเวทย์มนต์ใช่มั้ย? ยิ่งกว่านั้นยังได้ยินมาอีกว่าเจ้าพวกนี้สามารถใช้เวทย์มนต์ชุบชีวิตคนตายได้อีกด้วย แถมดูเหมือนว่าเด็กสาวผมฟ้าที่มาทำงานพิเศษที่ไซส์ก่อสร้างเองก็สามารถชุบชีวิตคนตายได้ บ้าไปแล้ว...มันบ้าไปแล้วชัดๆ ไอ้พวกคนบนดาวดวงนี้มันอะไรของมันกันแน่
ต่อ....