เมื่อวันนึงมีเอกสารมาติดที่รั้วบ้าน แจ้งอายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อยึดทรัพย์และนำขายทอดตลาด คุณจะเป็นอย่างไร?
ตัวจขกทนั้นแทบจะล้มทั้งยืน ด้วยความงุนงงสงสัยว่า เราไปทำอะไรไว้จึงเจอกับสถานการณ์นี้ เมื่อตั้งสติได้ยิ่งเจ็บปวดมากเมื่อเป็นเรื่องราวที่คนอื่นทำให้เกิดกับเรา และคนนั้นก็เป็นลูกศิษย์ที่เราให้ความรู้ ให้ความรักและปรารถนาดี ให้โอกาสและช่องทางในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เขาได้มีอาชีพเลี้ยงตัว แต่คงมีคนหลายคนที่ต้องเจอเช่นนี้จากการค้ำประกันกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
ณ วันนี้คงเป็นโชคดีของชีวิตที่เรื่องราวจบลงอย่างเรียบร้อย จึงอยากบอกเล่าเรื่องราวเพื่อเตือนสติผู้ที่กู้ยืมเงิน กยศ. ให้ได้รับรู้และตระหนักในความทุกข์ของผู้อื่นเมื่อได้รับผลกระทบจากการกระทำของคุณ และข้อเตือนใจผู้ค้ำประกันให้ได้ระมัดระวัง
ครอบครัวจขกท.นั้นเริ่มจัดการกับสถานการณ์นี้โดย
1. สืบหาตามตัวผู้กู้ยืม รวมทั้งพ่อแม่ครอบครัวของเขา เป็นความโชคดีที่ลูกและสามีของจขกทมีเครือข่ายเพื่อนฝูงคนรู้จัก (ข้อสังเกต1 เพื่อนและเครือข่ายคนรู้จักสำคัญและมีประโยชน์มาก จงมีเพื่อน) จนสามารถรู้ถิ่นฐานที่อยู่และช่องทางติดต่อ เราสงสัยว่า กยศ.มีการติดตามผู้กู้มั้ยก่อนจะใช้วิธีเล่นงานผู้ค้ำประกัน? ติดต่อไม่ได้รึ? ใช่หรือเปล่าว่าคุณทำงานตรงนี่อย่างจริงจัง?
2. ศึกษาเอกสารจากกองบังคับคดีที่แจ้งมายังจขกท. ขั้นตอนนี้มีข้อสังเกต2 ค่ะ เวลาเราจะลงชื่ออะไรให้ยอมเสียเวลาอ่าน อย่าไปเชื่อน้ำคำคนที่เอามาให้เราเซ็นเด็ดขาด ตัวสามีจขกท.ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนั้นเป็นจำเลยที่2 พ่อแม่ผู้กู้ยืมเป็นจำเลยที่3 ศาลสั่งให้รับผิดชอบร่วมกัน แต่เอกสารจากทนายกยศ.ที่เราลงชื่อนั้น(โดยไม่อ่านให้ละเอียด)ระบุว่าถ้าผู้กู้ยืมบิดพริ้วจะมีการอายัดทรัพย์ตามลำดับจำเลย (เพิ่มเติมค่ะ ถ้าจำเลยที่2มีทรัพย์เพียงพอแล้วถือเป็นอันสิ้นสุด แปลว่าจำเลยที่ 3 สบายไป) ทั้งๆที่สามีย้ำกับทนายว่ารับผิดชอบร่วมกันตามสัดส่วนที่ศาลสั่ง ทนายก็ยืนยัน เราพลาดเองที่ไม่อ่านเอกสาร และนี่เป็นความคิดเห็นของเราเองนะว่า ต่อไปเราจะต้องพึ่งตัวเอง อย่าไปฟังคนอื่น(ทนาย) ในการรักษาสิทธิของเรา
3. จากการที่ลูกจขกท ได้ศึกษาแนวทางต่างๆเพื่อจัดการสถานการณ์ อยากบอกผู้ค้ำว่า มีข้อแนะนำจากผู้มีอาชีพเกี่ยวกับกรณีเช่นนี้ว่า เราต้องจัดการเอาทรัพย์สินของเราออกจากกองบังคับคดีก่อน หลังจากนั้นเราสามารถติดตามหรือฟ้องร้องให้ผู้กู้ยืม ครอบครัวพ่อแม่ของเขาเพื่อชดใช้ความเสียหายของเราได้ จึงเป็นข้อสังเกตที่3 ว่า ผู้ค้ำประกันที่เราต้องก้มหน้าชดใช้หนี้ให้คนอื่นนั้น ทนายบอกว่าเราสามารถต่อสู้เพื่อการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเราได้ค่ะ
จขกท.โชคดีมากที่เรื่องราวเสร็จลงอย่างเรียบร้อยในเร็ววัน พ่อแม่และผู้กู้ยืมยินยอมชำระหนี้สินทั้งหมด ตอนนี้อยู่ในขั้นรอให้กองบังคับคดีดำเนินการถอนการอายัดทรัพย์อยู่ กว่าจะมาถึงวันนี้ เมฆหมอกแห่งความเครียดครอบคลุมครอบครัวของเราอยู่หลายวัน ต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งใส่กันในครอบครัวเพราะทุกคนต่างเครียด สิ่งเหล่านี้ใครจะชดใช้ได้
ปัจจุบันนี้ กยศ.ให้พ่อแม่ของผู้กู้ยืมเป็นผู้คำ้ประกันเองแล้วค่ะ แต่กรณีนี้สามารถเป็นกรณีศึกษาได้ เพราะผู้กู้ยืมกรณีจขกท.นั้น เค้าพูดว่า ก็ไม่เห็นมีใครติดต่อเค้านี่คะ หงายเงิบกันมั้ยกับคำพูดนี้ จขกท.ขอประนามความไม่รับผิดชอบ ความไม่มีสามัญสำนึกของผู้พูด สุดท้ายจขกท.ขอแผ่เมตตาให้ผู้กู้บืมและผู้เกี่ยวข้องของเค้า เพื่อให้เราอย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย ไม่ว่าจะชาติภพใด
เมื่อข้าพเจ้าได้รับหมายยึดทรัพย์จากกองบังคับคดี
ตัวจขกทนั้นแทบจะล้มทั้งยืน ด้วยความงุนงงสงสัยว่า เราไปทำอะไรไว้จึงเจอกับสถานการณ์นี้ เมื่อตั้งสติได้ยิ่งเจ็บปวดมากเมื่อเป็นเรื่องราวที่คนอื่นทำให้เกิดกับเรา และคนนั้นก็เป็นลูกศิษย์ที่เราให้ความรู้ ให้ความรักและปรารถนาดี ให้โอกาสและช่องทางในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เขาได้มีอาชีพเลี้ยงตัว แต่คงมีคนหลายคนที่ต้องเจอเช่นนี้จากการค้ำประกันกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
ณ วันนี้คงเป็นโชคดีของชีวิตที่เรื่องราวจบลงอย่างเรียบร้อย จึงอยากบอกเล่าเรื่องราวเพื่อเตือนสติผู้ที่กู้ยืมเงิน กยศ. ให้ได้รับรู้และตระหนักในความทุกข์ของผู้อื่นเมื่อได้รับผลกระทบจากการกระทำของคุณ และข้อเตือนใจผู้ค้ำประกันให้ได้ระมัดระวัง
ครอบครัวจขกท.นั้นเริ่มจัดการกับสถานการณ์นี้โดย
1. สืบหาตามตัวผู้กู้ยืม รวมทั้งพ่อแม่ครอบครัวของเขา เป็นความโชคดีที่ลูกและสามีของจขกทมีเครือข่ายเพื่อนฝูงคนรู้จัก (ข้อสังเกต1 เพื่อนและเครือข่ายคนรู้จักสำคัญและมีประโยชน์มาก จงมีเพื่อน) จนสามารถรู้ถิ่นฐานที่อยู่และช่องทางติดต่อ เราสงสัยว่า กยศ.มีการติดตามผู้กู้มั้ยก่อนจะใช้วิธีเล่นงานผู้ค้ำประกัน? ติดต่อไม่ได้รึ? ใช่หรือเปล่าว่าคุณทำงานตรงนี่อย่างจริงจัง?
2. ศึกษาเอกสารจากกองบังคับคดีที่แจ้งมายังจขกท. ขั้นตอนนี้มีข้อสังเกต2 ค่ะ เวลาเราจะลงชื่ออะไรให้ยอมเสียเวลาอ่าน อย่าไปเชื่อน้ำคำคนที่เอามาให้เราเซ็นเด็ดขาด ตัวสามีจขกท.ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนั้นเป็นจำเลยที่2 พ่อแม่ผู้กู้ยืมเป็นจำเลยที่3 ศาลสั่งให้รับผิดชอบร่วมกัน แต่เอกสารจากทนายกยศ.ที่เราลงชื่อนั้น(โดยไม่อ่านให้ละเอียด)ระบุว่าถ้าผู้กู้ยืมบิดพริ้วจะมีการอายัดทรัพย์ตามลำดับจำเลย (เพิ่มเติมค่ะ ถ้าจำเลยที่2มีทรัพย์เพียงพอแล้วถือเป็นอันสิ้นสุด แปลว่าจำเลยที่ 3 สบายไป) ทั้งๆที่สามีย้ำกับทนายว่ารับผิดชอบร่วมกันตามสัดส่วนที่ศาลสั่ง ทนายก็ยืนยัน เราพลาดเองที่ไม่อ่านเอกสาร และนี่เป็นความคิดเห็นของเราเองนะว่า ต่อไปเราจะต้องพึ่งตัวเอง อย่าไปฟังคนอื่น(ทนาย) ในการรักษาสิทธิของเรา
3. จากการที่ลูกจขกท ได้ศึกษาแนวทางต่างๆเพื่อจัดการสถานการณ์ อยากบอกผู้ค้ำว่า มีข้อแนะนำจากผู้มีอาชีพเกี่ยวกับกรณีเช่นนี้ว่า เราต้องจัดการเอาทรัพย์สินของเราออกจากกองบังคับคดีก่อน หลังจากนั้นเราสามารถติดตามหรือฟ้องร้องให้ผู้กู้ยืม ครอบครัวพ่อแม่ของเขาเพื่อชดใช้ความเสียหายของเราได้ จึงเป็นข้อสังเกตที่3 ว่า ผู้ค้ำประกันที่เราต้องก้มหน้าชดใช้หนี้ให้คนอื่นนั้น ทนายบอกว่าเราสามารถต่อสู้เพื่อการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเราได้ค่ะ
จขกท.โชคดีมากที่เรื่องราวเสร็จลงอย่างเรียบร้อยในเร็ววัน พ่อแม่และผู้กู้ยืมยินยอมชำระหนี้สินทั้งหมด ตอนนี้อยู่ในขั้นรอให้กองบังคับคดีดำเนินการถอนการอายัดทรัพย์อยู่ กว่าจะมาถึงวันนี้ เมฆหมอกแห่งความเครียดครอบคลุมครอบครัวของเราอยู่หลายวัน ต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งใส่กันในครอบครัวเพราะทุกคนต่างเครียด สิ่งเหล่านี้ใครจะชดใช้ได้
ปัจจุบันนี้ กยศ.ให้พ่อแม่ของผู้กู้ยืมเป็นผู้คำ้ประกันเองแล้วค่ะ แต่กรณีนี้สามารถเป็นกรณีศึกษาได้ เพราะผู้กู้ยืมกรณีจขกท.นั้น เค้าพูดว่า ก็ไม่เห็นมีใครติดต่อเค้านี่คะ หงายเงิบกันมั้ยกับคำพูดนี้ จขกท.ขอประนามความไม่รับผิดชอบ ความไม่มีสามัญสำนึกของผู้พูด สุดท้ายจขกท.ขอแผ่เมตตาให้ผู้กู้บืมและผู้เกี่ยวข้องของเค้า เพื่อให้เราอย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย ไม่ว่าจะชาติภพใด