รีวิวเรื่องที่ 5-6 CLOVERVERSE : 10 โคลเวอร์ฟิลด์ เลน เเละ เดอะ โคลเวอร์ฟิลด์ พาราด็อกซ์

สวัสดีครับ ปกติไม่ใช่คนที่ตามจักรวาลนี้สักเท่าไหร่ เเต่หลังจากดูภาคใหม่ไปเเล้ว เลยอยากจะลองเเบ่งปันดูครับ
วันนี้พิเศษสุด เพราะผมจะรีวิว ทั้งภาค 10 โคลเวอร์ฟิลด์ เลน เเละ เดอะ โคลเวอร์ฟิลด์ พาราด็อกซ์
เเต่จะไม่วิเคราะห์อะไรมากนะครับ เพราะกระทู้ต่างๆก็คงมีไปเเล้ว มาเริ่มกันเลย


เรื่องเเรก 10 CLOVERFIELD LANE : วิบัติลับ ภัยใต้โลก

"สัตว์ประหลาดมาในหลายรูปเเบบ"

"เรื่องราวของ "มิเชลล์" หญิงสาวคนนึงที่จู่ๆก็ตื่นขึ้นมาในหลุมหลบภัยหลังจากประสบอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด เเละได้พบกับ คนสองคนที่บอกกับเธอว่า มีบางอย่างเกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก เเละ ไม่ควรออกไปจากหลุมหลบภัยนี้ เเต่ความอยากรู้อยากเห็นของเธอที่ทวีเพิ่มมากเกินจะควบคุม จะนำพาเธอไปสู่บทสรุปที่เกินกว่าจินตนาการ"

หนังที่ออกตัวตั้งเเต่เเรก ว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกับ ภาคเเรก ที่เป็น Found-Footage เเต่กลับไม่มีการปรากฏตัวของอะไรที่เหมือนกับภาคนั้นเลย หนังค่อยๆเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย เเต่ทิ้งข้อสงสัยให้เราคิดตามตลอด ว่าสิ่งที่ "มิเชลล์" ตัวเอกได้รับรู้ จากตัวละครอื่นๆนั้น น่าเชื่อ หรือ น่าสงสัย โดยเราจะเห็นความไม่น่าไว้ใจตลอดทั้งเรื่อง มีบางช่วงของหนังที่ทำให้เราผ่อนคลายเเต่ก็อึดอัดไม่เบา ก่อนจะค่อยๆซัดทุกอย่างที่เราอาจจะเดาได้หรือไม่ได้มาอย่างรวดเร็ว ยอมรับจริงๆ ว่าผู้กำกับ แดน เทรคเตนเบิร์ก เขาสามารถควบคุมอารมณ์เหล่านี้ได้ดีจนจบ มีการไล่ระดับจากน้อยไปมาก มากไปน้อย เเละ มากไปหามากที่สุด ซึ่งเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองมาก อยากให้เขากำกับ PORTAL เเล้วให้ เจ เจ อัมบราฮัม เป็นโปรดิวเซอร์จัง หนังให้อารมณ์เเบบนั้นเลย

นักเเสดง
- เเมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด (ยอมรับเลยว่าติ่งเธอตั้งเเต่เรื่อง ไฟนอล เดสติเนชั่น 3 คนอะไร ตอนยิ้มก็น่ารัก ตอนกลัวก็น่าสงสาร พอๆ)
เธอคือส่วนที่ทำให้หนังที่ไม่มีอะไรพิเศษกลับพิเศษ สีหน้าของเธอบอกเราหมดทุกอย่างว่าเธอรู้สึกยังไง ทำให้เราเหมือนเป็นตัวละคร มิเชลล์ ให้เราคิดตาม ให้เราสนุกสนาน เเละให้เราหวาดกลัว เเละด้วยบทที่สนับสนุนเธอ จึงไม่เเปลกถ้าใครหลายคนจะยกให้เธอ เป็นตัวละครหญิงที่เจ๋งไม่หยอกเลย
- จอห์น กู๊ดเเมน
เขาเป็นอีกส่วนที่ทำให้หนังระทึกขึ้น ความใจดี ความน่าหวาดระเเวง ความน่ากลัวของเขา คือสิ่งที่ดีพอๆกับมิเชลล์ ในบทของ "โฮเวิร์ด" ชายเเก่ผู้ท่าทางเเปลกๆ เราอาจจะเห็นเขาเป็นอีกเเบบ เเต่ไม่นานเขาก็จะเป็นอีกเเบบนึง เเละเขาได้ปล่อยของ จนลืมภาพเก่าของเขาในหนังตลกไปเลย
- จอหน์ เเกลเลเกอร์ (จอห์นทั้งคู่เลยเเหะ)
บทของเขาดูจะด้อยกว่าสองคนนี้ เเต่ถ้าสังเกตดีๆ เขาคือคนที่คอยปูเบาะเเสให้กับเราตลอดทั้งเรื่อง เเละทำให้หนังไม่เครียดจนเกินไป โดยการใส่ความเป็นคนสบายๆ ต่อตัวละครรอบๆ อาจจะไม่ได้ปล่อยของ เเต่ก็ขาดเขาไม่ได้จริงๆ

ดนตรีประกอบ
- ภาคนี้ ดนตรีประกอบ โดย เเบลร์ เเมคคาตี้ ช่วยให้หนังเร้าอารมณ์มากขึ้น ช่วงเเรกอาจจะเเค่เรื่อยๆ เเต่สักพักนึงจะชวนเราลุ้นไปกับตัวละคร ส่วนตัวชอบฉากเพลง I Think We're Alone Now มากตั้งเเต่ตัวอย่างเเล้ว เเละน่าจะเป็นฉากที่อะไรๆดูสบายใจสุดเเล้ว เเต่ไม่นานเพลงนี้จะทำให้เราไม่ไว้ใจตัวละครในเรื่องเลย

ซีจี
- อาจด้วยในภาคนี้ไม่ได้มีฉากโชว์สเปเชี่ยลเอฟเฟคอะไรมาก หนังจึงพยายามเน้นความสมจริงมากกว่าการเน้นซีจี เเต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีนะ ดีด้วย

ข้อเสีย
- หนังอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบอะไรที่มันตื่นเต้น เพราะหนังใช้เเค่ไม่กี่ช่วงเท่านั้น

ประเด็นของเรื่อง
- ปีศาจมาในหลายรูปเเบบ ไม่ได้หมายถึงเเค่ "บางสิ่ง" เเต่ หมายถึง "มนุษย์ด้วย"
- ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
- จงมีสติทุกครั้งเมื่อทำอะไร


สรุปคือ เป็นหนังที่ถ้าไม่นับเป็นจักรวาล อาจจะเป็นหนังระทึกขวัญธรรมดาไม่มีอะไรมาก เเต่ถ้าเป็นคนที่ตามจักรวาลนี้
คงจะมีคำถามมากมายหลังหนังจบเเน่นอน ด้วยอารมณ์ ดนตรี เเละ การเเสดงของนักเเสดง ถ้าชอบขบคิดลับสมองเล่น
ผมเเนะนำครับ
8/10

เรื่องที่ 2 THE CLOVERFIELD PARADOX : มหันตภัยเร้นลับโลก


"อนา คต ปลดปล่อย ทุกสิ่ง อย่าง"

"เรื่องราวในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล ที่โลกเกิดปัญหาด้านพลังงาน จนเกิดการทดลองบนสถานีอวกาศเชเพิร์ดในการยิงเครื่องเร่งอนุภาคของโลกเพื่อเเก้ปัญหาเหล่านี้ เเต่เมื่อการทดลองสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อยู่บนนั้น จึงได้รู้ว่า มันเป็นการทดลองที่ผิดพลาดมหันต์ตะหาก!!"

อีกภาคหนึ่งในจักรวาล "โคลเวอร์เวิร์ส" เช่นเดียวกับภาคก่อนๆ ที่คิดจะปล่อยก็ปล่อยออกมาเลย เพียงเเค่ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากตัวอย่าง 30 วินาทีออกมา เรียกได้ว่า เซอร์ไพร์สคนดูทั่วโลกเลย หนังพูดทุกวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เเต่ย่อยง่าย ด้วยภาคนี้ทะเยอทะยานไปถึงขั้นหนึ่งถึงขั้นเล่นเรื่องอนุภาคกับเวลาเลยทีเดียว สมกับความพาราด็อกซ์ของชื่อภาคนี้เสียจริงๆ

เราจะได้เห็นมุมมองของตัวละครที่มากกว่าภาคก่อนๆ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะตัดสลับกันไม่กี่ฉาก เเต่ดูเหมือนหนังจะเล่าเน้นไปที่ "เอวา เเฮมินตัน" สาวผิวสีผู้มีปมฝังใจในอดีตเสียมากกว่า ทำให้ตัวละครรอบๆ ดูกลายเป็นเเค่ นักเเสดงรองที่คอยอุ้มเนื้อเรื่องก็เท่านั้น จะมีก็เเต่ เเดเนียล บรูห์ หนุ่มบารอน ซีโม่ จาก CAPTAIN AMERICA : CIVIL WAR ที่พอจะเด่นขึ้นมาหน่อย เเต่ที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ เเต่สิ่งที่ดีของเรื่องนี้คือ "การเฉลย" ของบางอย่างที่เรารอมา 10 ปี (บังเอิญไปมั้ย 10 โคลเวอร์ฟิลด์ เลน เลขเดียวเป๊ะ) อาจจะทำให้ทฤษฏีบางอย่างที่เคยคิดไว้ ไม่ล่ม ก็ต้องคิดอีกทีนึง ดีไม่ดี อาจสาปส่งภาคนี้ก็ได้ หากไม่มีฉากบนโลก เพราะหนังเน้นถึงสถานการณ์บนสถานีอวกาศซะส่วนใหญ่ จนคล้ายคลึงกับ หนังเรื่อง LIFE หรือ ALIEN ผสมกับ ดราม่าเล็กๆ อาจเพราะผู้กำกับอย่าง จูเลียส โอน่าเเละคนเขียนบท ไม่ดึงปมให้เเน่นพอ ทำให้เราอาจจะไม่อินกับสิ่งที่ตัวละครทำเลยก็เป็นได้ ยกเว้นไคลเเมกซ์ของเรื่องที่ทำให้อยากกราบผู้เขียนบทขึ้นมาซะ

นักเเสดง
- กูกู เอ็มบาธา-รอว์ กับบทผู้มีปมฝังใจเกี่ยวกับเรื่องบนโลก จนทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องมาอยู่บนนี้ เธอกลายเป็นตัวละครที่ทำทุกอย่างตามเเบบที่มนุษย์ทำ เเต่สิ่งที่ทำให้เธอโดดเด่นคืออารมณ์ของเธอที่สื่อออกมา เเต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก  
- เดเนียล บรูห์ บทของเขาเเสดงออกให้น่าสงสัยในจุดประสงค์ของเขา เเละบทก็เหมือนพยายามให้คนดูไม่ไว้ใจให้ได้ ตามมาตรฐานการเป็นบารอนล่ะนะ 5555
- อลิซาเบซ เดบิคกี้ เธอทำให้ตัวละครของเธอมีมิติ
- จาง จื่ออี๋ เอาเธอมาพูดจีนเหรอครับ บทเธอดูเหมือนน่าสนใจ เเต่ใช้ไม่คุ้มเอาซะเลย
- โรเจอร์ เดวี่ส์ ในบทหนุ่มดวงซวยที่ต้องพยายามเอาตัวรอดจากเหตุการณ์บางอย่าง ได้เเสดงให้เห็นถึงอารมณ์งงๆ สงสัย หวาดกลัว โมโห จนอยากกรีดร้องตาม
- คริส โอโดว์ มีความดราม่า ก็ต้องมีเฮฮากันบ้าง ตัวละครของเขาทำให้หนังไม่เครียดจนเกินไป ซึ่งน่าสนใจเเต่ก็เเบนราบจนน่าใจหาย

ดนตรีประกอบ
- เจ้าเดียวกันกับภาคก่อน เเบลร์ เเมคคาที่ กับดนตรีที่ไม่เเน่นเหมือนภาคก่อน เหมือนล่องลอยไป มีไม่กี่ฉากที่ทำให้เราอิน เเต่ก็ไม่สุดอยู่ดี

ซีจี
- ก็ตามมาตรฐานน่ะครับ เพราะคิดว่าไม่ได้ใช้ซีจีอะไรมากมาย เเต่ก็สวยใช้ได้อยู่ อาจเพราะดูในเน็ตฟลิกซ์เลยรู้สึกว่าภาพมันเเคบๆ

ประเด็น
- กล่องบางกล่องไม่ควรถูกเปิด
- ทุกการกระทำมีผลกระทบเสมอ
- จงอยู่กับคนที่คุณรักให้มากที่สุด

สำหรับผม ผมรู้สึกเฉยๆกับภาคนี้นะ อะไรๆมันดูผิวเผินไปหมด วิทยาศาสตร์ก็เอามานิดๆ ดราม่าก็ใส่มาเเต่ไม่หนักเเน่นพอ จะฮอร์เรอร์ก็ดันสะดุด เเต่กลับทำให้ทึ่งมากที่สุดหลังดูจบ จนต้องยอมปัดคะเเนนให้เพราะความเป็นจักรวาลนี่เเหละครับ
7/10

ลองไปหาชมกันได้เลย

สปอยจุดเชื่อมโยงของทั้งสามภาค

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เเละเหตุผลว่าทำไมเรียกว่าโคลเวอร์ฟิลด์ก็เพราะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


จักรวาลนี้ยังมีอะไรให้เราค้นหาอีกมากมาย ผมเชื่อเเบบนั้นนะ....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  10 Cloverfield Lane (ภาพยนตร์) ภาพยนตร์ระทึกขวัญ ภาพยนตร์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่