ขออนุญาติแชร์ประสบการณ์ การไปสั่งตัดชุดแต่งงานที่ร้านดังย่านพัฒนาการ 46 ราคาชุด 80,000 บาท

ครั้งแรกที่ไป
หลังจากโทรเข้าไปนัดหมายลองชุด ก็เข้าไปที่ร้าน เจอพนง.ต้อนรับ ให้เราลองชุดได้ 3 ชุดตามกฎระเบียบของทางร้าน
เราถูกใจตัวที่ได้ลองตัวนึง แต่อยากเพิ่มลูกไม้ และ ผ่าหลังลึกขึ้น เลยตัดสินใจตัดเช่าชุดตัดใหม่เนื่องจากไซส์ที่มีไม่พอดีกับตัว

พนง.ต้อนรับจึงบอกให้เราคุยกับดีไซน์เนอร์ 1
พอได้พบพูดคุยกับดีไซน์เนอร์ 1 เรื่องแบบ และ ความต้องการต่างๆของเรา ดีไซน์เนอร์ 1 พูดจาดี บริการดีมาก และ ทำนัดครั้งที่ 2 โดย ทางร้านบอกไว้ว่า จะมีการดีไซน์ชุดไว้ให้ , ให้เลือกแบบลูกไม้ และ วัดตัว
เราตกลง โดยทางร้านให้วางมัดจำไปเป็นจำนวน 24,000 บาท

นัดครั้งที่ 2
พนง. ต้อนรับโทรมาเลื่อนเวลาจาก 11.00 เป็น ช่วงเย็น เมื่อเราตอบไปว่าเราว่างเข้าไปช่วงหลัง 16.30 ก็เร่งเราบอกว่า ดีไซน์เนอร์มีธุระต่อ ให้มาเร็วขึ้น เราไปถึงประมาณช่วง 16.45
พอไปถึงก็พบกับ พนง.ต้อนรับ และ ดีไซน์เนอร์ 2 เพราะ ดีไซน์เนอร์1 ได้ลาออกไปแล้ว..(อ้าว)
ไม่เปนไรงั้นขอดูแบบชุดที่บอกว่าจะดีไซน์ไว้ให้ อ้าวไม่มี.. ทางร้านบอกมาว่านี่คือการคุยใหม่ เราก็งงว่าทำไมไม่มีการส่งต่องานกัน
สรุปคือ ดีไซน์เนอร์2 ไม่มีแบบให้ดู ไม่วาด/ร่างแบบอะไรให้ดู และ ไม่มีลูกไม้ให้เลือก เหมือนคุยกับคนที่ไม่มีประสบการณ์ทำงาน และ ไม่เตรียมพร้อม
เราเริ่มไม่พอใจแต่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร เลยบอกว่า งั้นขอลองชุดแบบที่เลือกเอาไว้อีกที และวัดตัว

เราก็สวมชุดที่เราลองอยู่ แต่ไซส์มันไม่พอดี พอพนง.วัดตัวมาถึง เหมือนวัดตัวไม่เป็น คือ วัดความห่างของอก วัดความสูงของอก ก็คือ วัดทาบจากระยะเสื้อตัวที่เราใส่ไม่พอดี (คือ ความห่างอกเรา กว้างกว่าชุดที่ใส่ แต่ พนง. ก็วัดความกว้างของชุดนั้น) เราเลยต้องทักขึ้นมาว่าอันนี้ไม่ใช่ระยะอกของเรานะ พอทักเค้าถึงค่อยมาวัดระยะห่างอกจริงของเรา ก็แอบงงนิดนึงว่าทีมทำชุดแต่งงานที่เสนอราคาชุด 80,000 บาท ทำงานกันแบบนี้ เหมือนวัดตัวลวกๆแล้วก็ไป แล้ววันนี้ก็จบ พนง. ให้กลับบ้าน โดยไม่มีการคุยเรื่องดีไซน์อะไรต่อ ไม่คุยเรื่องที่เราต้องการผ่าลึกขึ้น เรื่องลายลูกไม้ บอกว่าคราวหน้ามาลองจากชุดจริงได้เลย ร้านนี้ไม่มีให้ลองผ้าดิบก่อนด้วยนะคะ คือถ้าเสียก็เสีย (ปกติบางร้านจะตัดผ้าดิบให้ลองไซส์ลองแบบก่อน ค่อยลงงานกับผ้าจริงเพื่อที่ว่า ถ้าเกิดผิดพลาด ผ้าจริงจะได้ไม่เสีย)

พอออกมาจึงคุย ปรึกษากับคุณแม่ตัวเอง(คุณแม่มาด้วยทั้ง 2 ครั้ง) ว่า แบบนี้เราขอมัดจำคืนดีกว่า เพราะเมื่อครั้งแรกที่เรามัดจำไป เราได้บริการที่ดีที่เหมาะสมกับชุดราคา 80,000 บาท แต่ครั้งที่สองนี่มันไม่ใช่เลย เราไม่ไว้ใจแล้ว ไม่ไว้ใจที่จะให้ตัดชุดๆนี้ ชุดแรกและชุดเดียวในชีวิตผู้หญิงที่จะแต่งงาน มันสำคัญมาก วันนั้นมันจะพลาดไม่ได้ หวังว่าคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวหลายคนคงเข้าใจ เมื่อทางร้านทำให้เราไม่ไว้ใจขนาดนี้ ปรึกษาคุณแม่เรียบร้อย เราจึงโทรไปบอก พนง.ต้อนรับคนเดิมว่าขอมัดจำคืน ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้

ต่อมา ดีไซน์เนอร์2 โทรมาถามว่าไม่พอใจอะไร เราก็อธิบายไปตามเหตุผลด้านบน

2 วันต่อมา เจ้าของร้านก็โทรมาถามอีก เราเริ่มโกรธแล้วว่าทำไมที่อธิบายไป 2 รอบถึงยังไม่เข้าใจ จึงอธิบายอีกที เจ้าของร้านตอบกลับมาว่า ทางร้านไม่มีนโยบายการคืนมัดจำ (เป็นนโยบายปากเปล่าไม่ได้เขียนไว้ในใบเสร็จ และ ทางร้านก็ไม่ได้แจ้งนโยบายนี้ก่อนวางมัดจำ) พร้อมทั้งเจ้าของร้านพูดพาดพิง
ต่อว่า ว่า มีลูกค้ามาทำแบบนี้กับทางร้าน มารูดบัตรเครดิต และมาเอาเงินสดคืนเพราะเอาเงินไปหมุน ตอนนี้โกรธมากเลยค่ะ ทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเป็นมิจาชีพ กำลังจะเป็นเจ้าสาวที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่นะคะ ไม่ได้จะไปขโมยของใคร แล้ว ก็ไม่ได้จะทำให้ใครเดือดร้อน ที่พูดไปว่าขอมัดจำคืนเลยในวันนั้น เพราะก็เห็นอยู่ว่าทางร้านยังไม่ได้ดำเนินการทำชุดอะไรสักนิดเลยด้วย ก็คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีกับทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ต้องมาว่ากันแบบนี้

สุดท้ายคือทางร้านไม่ให้เงินมัดจำเราคืนนะคะ 24,000 บาท แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นบนเรียนของคนกำลังเป็นเจ้าสาวค่ะ เราก็ไม่เคยเป็นเจ้าสาวมาก่อนอะเนอะ ก็คงได้เงินง่ายๆจากเหล่าเจ้าสาวที่ไม่มีประสบการณ์แบบเรา ชีวิตผู้หญิงจะขอสวยที่สุดในชีวิต วันนี้วันเดียว แล้วมาเจอแบบนี้

เอาประสบการณ์มาแชร์นะคะ ให้ทุกคนที่กำลังจะป็นเจ้าสาว ขอให้ทุกคนผ่านพ้นไปด้วยดี อย่ามาเจอเหมือนเราเลย