**กระทู้นี่เป็นกระทู้แชร์ประสบการณ์ และข้อมูลต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการมาศึกษาต่อ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนหรือห้ามไม่ให้มาเรียน ดังนั่นการทั้งหมดนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลจาก จขกท. ที่ได้รวบรวมมาจากประสบการณ์โดยตรง และประสบการณ์คนอื่น**
จึงหวังว่ากระทู้นี้จะไม่นำมาซึ่งการถกเถียงกันระหว่างหลายฝ่าย แต่ให้ทุกท่านได้แสดงความคิดเห็นได้ครับ
กระทู้ที่ 1 : การเตรียมตัว
http://ppantip.com/topic/35209067
กระทู้ที่ 2 : อาหารการกิน
http://ppantip.com/topic/35238883
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ห่างหายไปนานนน มากกว่า ไม่ได้กลับมาเขียนกระทู้ต่อเลยต้องขออภัยทุกท่านที่กำลังรออ่านข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจมาอยู่นะครับ ต้องบอกเลยว่าเพราะยังหารูปสวยมาลงกระทู้ไม่ได้ 55555 ไม่ใช่ๆ เพราะความ ขี้เกียจล้วนๆ เพราะผมไม่ได้เป็นคนติดพันทิปเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยได้อัพเดตเท่าไหร่ และต้องขออภัยคนที่แอดวีแชทมาถามข้อมูลต่าง ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นจากการกระทู้ที่ 1 และ 2 ทุกท่านนะครับ ที่ทั้งเข้ามาให้กำลังใจและเข้ามาเตือน หรือบอกความคิดของอีกด้านหนึ่งให้ได้รับฟัง ก็ยินดีรับฟัง และเปิดพื้นที่ให้ทุกท่านได้ตีแผ่ความคิดเห็นจากทุกฝ่ายครับ ที่ทุกท่านเข้ามาบอกเล่าความรู้สึกและความเห็นเป็นประโยชน์เพราะจะได้ประกอบการตัดสินใจของน้องๆ หรือคนอื่นๆที่กำลังตัดสินใจว่าจะมาเรียนแพทยศาสตร์ที่ประเทศจีน ระยะหลังมีคนถามเข้ามาบ่อยว่าคนที่เรียนที่จีนเนี่ยเป็นคนที่สอบ กสพท.ไม่ติดทั้งหมดเลยใช่มั้ยที่ไปเรียน ก็ขอตอบส่วนหนึ่งนะครับว่าจริงๆแล้วเด็กที่สอบ กสพท.ไม่ติดแล้วจึงมาเรียนประเทศจีนเป็นส่วนหนึ่งเท่านั่น ยังมีอีกหลายคนที่เรียนจบจากโรงเรียนอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศที่คิดว่าไม่สามารถสอบข้อสอบ 9 วิชาสามัญ หรือความถนัดแพทย์ที่เป็นภาษาไทยได้ถนัด จึงไม่ได้สอบและเลือกที่จะมาเรียนแพทย์ต่างประเทศก็มี หรือบางคนก็เป็นพี่ๆ บัณฑิตที่เรียนจบปริญญาตรี มาแล้วตัดสินใจมาเรียนต่อคณะแพทย์ที่นี่ก็มี หรือแม้กระทั่งมีพี่บางคนเรียนจบแล้วเริ่มทำงานแล้ว แต่อายุยังอยู่ในเกณฑ์ตัดสินใจมาเรียนต่อแพทย์ก็มีครับ ดังนั่นไม่อยากให้ตัดสินเหมารวมนักศึกษาที่ตัดสินใจมาเรียนต่างประเทศไปในทิศทางเดียวต้องข้ออภัยด้วยที่สามารถให้คำตอบได้แค่บางส่วนเท่าที่รู้จริง เพระส่วนตัวจบจากโรงเรียนระบบรัฐบาลไทย เลยทำให้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการสมัครของนักเรียนที่มาจากโรงเรียนอินเตอร์ หรือ นักเรียนที่ซิ่วมา หรือจบมาแล้ว แต่ก็จะพยายามเต็มที่ครับ โดยภาพที่โพสในกระทู้เป็นภาพบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยช่วงฤดูหนาว หิมะโปรยปราบ ที่ จขทก. ถ่ายเอง แต่งเอง เจอใครเอาไปโพสที่ไหนบอกด้วยนะ 5555
มาเข้าเรื่องของกระทู้ Part 3 กันดีกว่าว่าเราจะมาพูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นที่หลายคนถามกันมาในวีแชทมาก กว่าเรียนเป็นอย่างไร (ตอน จขกท. เรียนอยู่ ปี 3 จบเทอม 1 แล้ว จึงของอนุญาตเล่าประสบการณ์เฉพาะปี 1 และ ปี 2)
มาเรียนที่ประเทศจีน
ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนก่อนมาหรือไม่ ?
- คำถามนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมที่ได้รับการถามมา เพราะหลายคนกังวลเรื่องภาษาจีน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อนก็
ย่อมดีกว่า แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องรู้ก่อนมาจีนไหมต้องตอบตรงนี้เลยว่า
**ไม่จำเป็น** ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อน เพราะหลักสูตรเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ **แต่ว่า** ในชั้นปีที่ 1 และ 2 จะมีการบังคับเรียนภาษาจีนให้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ชีวิตในประเทศจีนได้ เอาตัวรอดได้ สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้ในระดับหนึ่ง โดยทางมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ใช้หลักสูตร/หนังสือจาก 北京语言大学(มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรม ปังกิ่ง) โดยจะเรียนทั้งหมด 4 เล่ม ซึ่งก็ถือว่าหลังจากจบ4เล่มนักศึกษาก็สามารถสื่อสารกับคนจีนรู้เรื่องได้ และในชั้นปีที่ 3 จะมีการเรียนภาษาจีนทางการแพทย์ (医学汉语)ที่จะเน้นการฟังและพูด เกี่ยวกับคำศัพท์ทางการแพทย์ที่เป็นภาษาจีน **สุดท้ายแล้วนักศึกษาก็จะมีความรู้ภาษาจีนขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่รอดได้ แต่ใครที่พัฒนาระดับของภาษาจีนหลังจากนั่นก็ขึ้นกับตัวบุคคลแล้วว่าจะแสวงหาความรู้เพิ่มมาขนาดไหนอันนี้บอกไม่ได้จริงๆ
ต้องสอบHSKผ่านระดับเท่าไหร่
- สอบ
HSK 4 และ
HSKKระดับกลางก่อนจะจบการเรียนชั้นพลีคลินิก (ก่อนปี4เทอม1)
การเรียนของที่นี่ไม่ได้เรียนรวมกับคนจีนจะเป็นเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ หลักสูตร MBBSเท่านั่น (ปกติก็จะมีนักเรียนประมาณ 100 คนต่อรุ่น และโดยเฉลี่ยจะมีนักเรียนไทยประมาณ 20 คนต่อรุ่น) โดยจะแยกวิชาที่มีทั้งเรียนรวมและเรียนเป็นคลาส โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 คลาสตามเลขรหัสนักเรียน นักเรียนจะต้องเข้าเรียนตามคลาสที่มหาลัยจัดไว้ใน สำหรับนักเรียน MBBSจะเป็นในเชิงบังคับคือ มหาลัยจะเป็นคนเลือกวิชาและเวลาให้เรียบร้อย แต่สำหรับนักเรียนที่มาเรียนภาคภาษาจีนก็จะต้องเลือกลงวิชาเอง
การเรียนปีที่ 1
การเรียนที่จีนจะค่อนข้างแตกต่างจากที่ไทยประมาณหนึ่ง (และที่นี่ก็แตกต่างจากมหาลัยอื่นๆจากที่ได้ถามเพื่อนๆ ดังนั่นนี่เป็นแค่ของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 2015) ก็จะมีเรียนวิชาพื้นฐาน เช่น ชีวะวิทยา ฟิสิกส์ แลปฟิสิกส์ แคลคูลัส 1-2 เซลล์วิทยา ชีวเคมี ประวัติศาสตร์การแพทย์ และ ภาษาจีน (3คาบ/อาทิตย์) เป็นต้น เพื่อเป็นการปรับพื้นฐานให้กับนักศึกษา (มองในมุมนึงคือดีที่นักศึกษาจะได้ปรับตัวในการใช้ชีวิตที่ประเทศจีนให้คุ้นชินก่อน เพราะเป็นวิชาที่ไม่ค่อยยากเท่าไหร่)
การเรียนปีที่ 2
ก็จะเริ่มเข้าสู่วิชาพื้นฐานพลีคลินิก ทั้ง Anatomy(Regional and Systemic) Histology Biochemistry Physiology Medical Psychology Genetic และภาษาจีน เป็นต้น ก็แต่ละวิชาก็จะค่อนข้างโหดเหมือนกัน แต่การเรียนที่จีนจะแตกต่างจากที่ไทยที่ประเทศไทยจากที่ได้รู้มาคือจะเรียน เป็นบล็อก เช่น ระบบทางเดินอาหาร ก็จะเรียนทั้งหมดเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเลยทั้ง Anatomy & Histology & Physiology ของทางเดินอาหาร และเรียนจบเป็นบล็อกๆ ไป **หากผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้มาแก้ไขให้ด้วยครับ** แต่ของที่จีนจะเรียนแยกกันคือเรียนเป็นวิชา Anatomy ก็จะเรียนAnatomy ทุกระบบ เรียนแยกกับ histology เรียนแยกกับ Physiology ดังนั่นในแต่ละวิชาก็จะมีหัวข้อที่เหมือนกัน *สำหรับSystemic Anatomy จะเรียนปี 2 เทอม 2 และมีการผ่าอาจารย์ใหญ่
ในปีที่ผ่านมาของรุ่นน้องมีวิชาที่เพิ่มเข้ามาคือ Early Exposure To Clinic 1 คือจะให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลจริงๆ โดยการให้นักศึกษาไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน มีการให้เข้าฟังการพรีเซ้นเคสแต่ละวันของโรงพยาบาลจาก ทีมอาจารย์หมอ พยาบาล และพี่ๆชั้นปีสูงๆ (ทั้งจีน ทั้งอังกฤษ) เดินราวด์ตามแผนกต่างๆ ทั้งห้องผ่าตัดยืนดูหมอทำ ทั้งผ่านตัดธรรมดา และผ่าตัดแบบส่องกล้อง หรือไม่ก็ไม่ดูการทำหัตถการเจาะน้ำไขสันหลัง เจาะน้ำปอด หรือตามแต่เคสแต่ละวัน ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักศึกษา (อาจจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ) ซึ่งเป็นวิชาใหม่ที่พึ่งเข้ามา ต้องขอบคุณข้อมูลจากน้องที่น่ารักของ จขกท.ด้วย
(มีต่อ)
【เรียนหมอที่จีน】 : ชีวิตนิสิตแพทย์ แดนมังกร ; มหาวิทยาลัย เจ้อเจียง Zhejiang University (Part 3 : การเรียนปี 1,2)
จึงหวังว่ากระทู้นี้จะไม่นำมาซึ่งการถกเถียงกันระหว่างหลายฝ่าย แต่ให้ทุกท่านได้แสดงความคิดเห็นได้ครับ
กระทู้ที่ 1 : การเตรียมตัว http://ppantip.com/topic/35209067
กระทู้ที่ 2 : อาหารการกิน http://ppantip.com/topic/35238883
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาเข้าเรื่องของกระทู้ Part 3 กันดีกว่าว่าเราจะมาพูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นที่หลายคนถามกันมาในวีแชทมาก กว่าเรียนเป็นอย่างไร (ตอน จขกท. เรียนอยู่ ปี 3 จบเทอม 1 แล้ว จึงของอนุญาตเล่าประสบการณ์เฉพาะปี 1 และ ปี 2)
มาเรียนที่ประเทศจีน ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนก่อนมาหรือไม่ ?
- คำถามนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมที่ได้รับการถามมา เพราะหลายคนกังวลเรื่องภาษาจีน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อนก็ย่อมดีกว่า แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องรู้ก่อนมาจีนไหมต้องตอบตรงนี้เลยว่า **ไม่จำเป็น** ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อน เพราะหลักสูตรเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ **แต่ว่า** ในชั้นปีที่ 1 และ 2 จะมีการบังคับเรียนภาษาจีนให้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ชีวิตในประเทศจีนได้ เอาตัวรอดได้ สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้ในระดับหนึ่ง โดยทางมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ใช้หลักสูตร/หนังสือจาก 北京语言大学(มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรม ปังกิ่ง) โดยจะเรียนทั้งหมด 4 เล่ม ซึ่งก็ถือว่าหลังจากจบ4เล่มนักศึกษาก็สามารถสื่อสารกับคนจีนรู้เรื่องได้ และในชั้นปีที่ 3 จะมีการเรียนภาษาจีนทางการแพทย์ (医学汉语)ที่จะเน้นการฟังและพูด เกี่ยวกับคำศัพท์ทางการแพทย์ที่เป็นภาษาจีน **สุดท้ายแล้วนักศึกษาก็จะมีความรู้ภาษาจีนขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่รอดได้ แต่ใครที่พัฒนาระดับของภาษาจีนหลังจากนั่นก็ขึ้นกับตัวบุคคลแล้วว่าจะแสวงหาความรู้เพิ่มมาขนาดไหนอันนี้บอกไม่ได้จริงๆ
ต้องสอบHSKผ่านระดับเท่าไหร่
- สอบ HSK 4 และ HSKKระดับกลางก่อนจะจบการเรียนชั้นพลีคลินิก (ก่อนปี4เทอม1)
การเรียนของที่นี่ไม่ได้เรียนรวมกับคนจีนจะเป็นเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ หลักสูตร MBBSเท่านั่น (ปกติก็จะมีนักเรียนประมาณ 100 คนต่อรุ่น และโดยเฉลี่ยจะมีนักเรียนไทยประมาณ 20 คนต่อรุ่น) โดยจะแยกวิชาที่มีทั้งเรียนรวมและเรียนเป็นคลาส โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 คลาสตามเลขรหัสนักเรียน นักเรียนจะต้องเข้าเรียนตามคลาสที่มหาลัยจัดไว้ใน สำหรับนักเรียน MBBSจะเป็นในเชิงบังคับคือ มหาลัยจะเป็นคนเลือกวิชาและเวลาให้เรียบร้อย แต่สำหรับนักเรียนที่มาเรียนภาคภาษาจีนก็จะต้องเลือกลงวิชาเอง
การเรียนปีที่ 1
การเรียนที่จีนจะค่อนข้างแตกต่างจากที่ไทยประมาณหนึ่ง (และที่นี่ก็แตกต่างจากมหาลัยอื่นๆจากที่ได้ถามเพื่อนๆ ดังนั่นนี่เป็นแค่ของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 2015) ก็จะมีเรียนวิชาพื้นฐาน เช่น ชีวะวิทยา ฟิสิกส์ แลปฟิสิกส์ แคลคูลัส 1-2 เซลล์วิทยา ชีวเคมี ประวัติศาสตร์การแพทย์ และ ภาษาจีน (3คาบ/อาทิตย์) เป็นต้น เพื่อเป็นการปรับพื้นฐานให้กับนักศึกษา (มองในมุมนึงคือดีที่นักศึกษาจะได้ปรับตัวในการใช้ชีวิตที่ประเทศจีนให้คุ้นชินก่อน เพราะเป็นวิชาที่ไม่ค่อยยากเท่าไหร่)
การเรียนปีที่ 2
ก็จะเริ่มเข้าสู่วิชาพื้นฐานพลีคลินิก ทั้ง Anatomy(Regional and Systemic) Histology Biochemistry Physiology Medical Psychology Genetic และภาษาจีน เป็นต้น ก็แต่ละวิชาก็จะค่อนข้างโหดเหมือนกัน แต่การเรียนที่จีนจะแตกต่างจากที่ไทยที่ประเทศไทยจากที่ได้รู้มาคือจะเรียน เป็นบล็อก เช่น ระบบทางเดินอาหาร ก็จะเรียนทั้งหมดเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเลยทั้ง Anatomy & Histology & Physiology ของทางเดินอาหาร และเรียนจบเป็นบล็อกๆ ไป **หากผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้มาแก้ไขให้ด้วยครับ** แต่ของที่จีนจะเรียนแยกกันคือเรียนเป็นวิชา Anatomy ก็จะเรียนAnatomy ทุกระบบ เรียนแยกกับ histology เรียนแยกกับ Physiology ดังนั่นในแต่ละวิชาก็จะมีหัวข้อที่เหมือนกัน *สำหรับSystemic Anatomy จะเรียนปี 2 เทอม 2 และมีการผ่าอาจารย์ใหญ่
ในปีที่ผ่านมาของรุ่นน้องมีวิชาที่เพิ่มเข้ามาคือ Early Exposure To Clinic 1 คือจะให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลจริงๆ โดยการให้นักศึกษาไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน มีการให้เข้าฟังการพรีเซ้นเคสแต่ละวันของโรงพยาบาลจาก ทีมอาจารย์หมอ พยาบาล และพี่ๆชั้นปีสูงๆ (ทั้งจีน ทั้งอังกฤษ) เดินราวด์ตามแผนกต่างๆ ทั้งห้องผ่าตัดยืนดูหมอทำ ทั้งผ่านตัดธรรมดา และผ่าตัดแบบส่องกล้อง หรือไม่ก็ไม่ดูการทำหัตถการเจาะน้ำไขสันหลัง เจาะน้ำปอด หรือตามแต่เคสแต่ละวัน ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักศึกษา (อาจจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ) ซึ่งเป็นวิชาใหม่ที่พึ่งเข้ามา ต้องขอบคุณข้อมูลจากน้องที่น่ารักของ จขกท.ด้วย
(มีต่อ)