【เรียนหมอที่จีน】 : ชีวิตนิสิตแพทย์ แดนมังกร ; มหาวิทยาลัย เจ้อเจียง Zhejiang University (Part 3 : การเรียนปี 1,2)


**กระทู้นี่เป็นกระทู้แชร์ประสบการณ์ และข้อมูลต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการมาศึกษาต่อ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนหรือห้ามไม่ให้มาเรียน ดังนั่นการทั้งหมดนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลจาก จขกท. ที่ได้รวบรวมมาจากประสบการณ์โดยตรง และประสบการณ์คนอื่น**
จึงหวังว่ากระทู้นี้จะไม่นำมาซึ่งการถกเถียงกันระหว่างหลายฝ่าย แต่ให้ทุกท่านได้แสดงความคิดเห็นได้ครับ


กระทู้ที่ 1 : การเตรียมตัว    http://ppantip.com/topic/35209067
กระทู้ที่ 2 : อาหารการกิน   http://ppantip.com/topic/35238883

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

มาเข้าเรื่องของกระทู้ Part 3 กันดีกว่าว่าเราจะมาพูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นที่หลายคนถามกันมาในวีแชทมาก กว่าเรียนเป็นอย่างไร (ตอน จขกท. เรียนอยู่ ปี 3 จบเทอม 1 แล้ว จึงของอนุญาตเล่าประสบการณ์เฉพาะปี 1 และ ปี 2)



มาเรียนที่ประเทศจีน ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนก่อนมาหรือไม่ ?
-    คำถามนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมที่ได้รับการถามมา เพราะหลายคนกังวลเรื่องภาษาจีน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อนก็ย่อมดีกว่า แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องรู้ก่อนมาจีนไหมต้องตอบตรงนี้เลยว่า **ไม่จำเป็น** ต้องมีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อน เพราะหลักสูตรเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ **แต่ว่า** ในชั้นปีที่ 1 และ 2 จะมีการบังคับเรียนภาษาจีนให้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ชีวิตในประเทศจีนได้ เอาตัวรอดได้ สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้ในระดับหนึ่ง โดยทางมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ใช้หลักสูตร/หนังสือจาก  北京语言大学(มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรม ปังกิ่ง) โดยจะเรียนทั้งหมด 4 เล่ม ซึ่งก็ถือว่าหลังจากจบ4เล่มนักศึกษาก็สามารถสื่อสารกับคนจีนรู้เรื่องได้ และในชั้นปีที่ 3 จะมีการเรียนภาษาจีนทางการแพทย์ (医学汉语)ที่จะเน้นการฟังและพูด เกี่ยวกับคำศัพท์ทางการแพทย์ที่เป็นภาษาจีน **สุดท้ายแล้วนักศึกษาก็จะมีความรู้ภาษาจีนขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่รอดได้ แต่ใครที่พัฒนาระดับของภาษาจีนหลังจากนั่นก็ขึ้นกับตัวบุคคลแล้วว่าจะแสวงหาความรู้เพิ่มมาขนาดไหนอันนี้บอกไม่ได้จริงๆ

ต้องสอบHSKผ่านระดับเท่าไหร่
-    สอบ HSK 4 และ HSKKระดับกลางก่อนจะจบการเรียนชั้นพลีคลินิก (ก่อนปี4เทอม1)


การเรียนของที่นี่ไม่ได้เรียนรวมกับคนจีนจะเป็นเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ หลักสูตร MBBSเท่านั่น (ปกติก็จะมีนักเรียนประมาณ 100 คนต่อรุ่น และโดยเฉลี่ยจะมีนักเรียนไทยประมาณ 20 คนต่อรุ่น) โดยจะแยกวิชาที่มีทั้งเรียนรวมและเรียนเป็นคลาส โดยจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 คลาสตามเลขรหัสนักเรียน นักเรียนจะต้องเข้าเรียนตามคลาสที่มหาลัยจัดไว้ใน สำหรับนักเรียน MBBSจะเป็นในเชิงบังคับคือ มหาลัยจะเป็นคนเลือกวิชาและเวลาให้เรียบร้อย แต่สำหรับนักเรียนที่มาเรียนภาคภาษาจีนก็จะต้องเลือกลงวิชาเอง

การเรียนปีที่ 1
    การเรียนที่จีนจะค่อนข้างแตกต่างจากที่ไทยประมาณหนึ่ง (และที่นี่ก็แตกต่างจากมหาลัยอื่นๆจากที่ได้ถามเพื่อนๆ ดังนั่นนี่เป็นแค่ของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 2015) ก็จะมีเรียนวิชาพื้นฐาน เช่น ชีวะวิทยา ฟิสิกส์ แลปฟิสิกส์ แคลคูลัส 1-2 เซลล์วิทยา ชีวเคมี ประวัติศาสตร์การแพทย์ และ ภาษาจีน (3คาบ/อาทิตย์) เป็นต้น เพื่อเป็นการปรับพื้นฐานให้กับนักศึกษา (มองในมุมนึงคือดีที่นักศึกษาจะได้ปรับตัวในการใช้ชีวิตที่ประเทศจีนให้คุ้นชินก่อน เพราะเป็นวิชาที่ไม่ค่อยยากเท่าไหร่)

การเรียนปีที่ 2
    ก็จะเริ่มเข้าสู่วิชาพื้นฐานพลีคลินิก ทั้ง Anatomy(Regional and Systemic)  Histology Biochemistry Physiology  Medical Psychology Genetic  และภาษาจีน เป็นต้น ก็แต่ละวิชาก็จะค่อนข้างโหดเหมือนกัน  แต่การเรียนที่จีนจะแตกต่างจากที่ไทยที่ประเทศไทยจากที่ได้รู้มาคือจะเรียน เป็นบล็อก เช่น ระบบทางเดินอาหาร ก็จะเรียนทั้งหมดเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเลยทั้ง Anatomy & Histology & Physiology ของทางเดินอาหาร และเรียนจบเป็นบล็อกๆ ไป **หากผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้มาแก้ไขให้ด้วยครับ** แต่ของที่จีนจะเรียนแยกกันคือเรียนเป็นวิชา Anatomy ก็จะเรียนAnatomy ทุกระบบ เรียนแยกกับ histology เรียนแยกกับ Physiology ดังนั่นในแต่ละวิชาก็จะมีหัวข้อที่เหมือนกัน *สำหรับSystemic Anatomy  จะเรียนปี 2 เทอม 2 และมีการผ่าอาจารย์ใหญ่
    ในปีที่ผ่านมาของรุ่นน้องมีวิชาที่เพิ่มเข้ามาคือ  Early Exposure To Clinic 1 คือจะให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลจริงๆ โดยการให้นักศึกษาไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน มีการให้เข้าฟังการพรีเซ้นเคสแต่ละวันของโรงพยาบาลจาก ทีมอาจารย์หมอ พยาบาล และพี่ๆชั้นปีสูงๆ (ทั้งจีน ทั้งอังกฤษ) เดินราวด์ตามแผนกต่างๆ ทั้งห้องผ่าตัดยืนดูหมอทำ ทั้งผ่านตัดธรรมดา และผ่าตัดแบบส่องกล้อง หรือไม่ก็ไม่ดูการทำหัตถการเจาะน้ำไขสันหลัง เจาะน้ำปอด  หรือตามแต่เคสแต่ละวัน ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักศึกษา (อาจจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ) ซึ่งเป็นวิชาใหม่ที่พึ่งเข้ามา ต้องขอบคุณข้อมูลจากน้องที่น่ารักของ จขกท.ด้วย

(มีต่อ)

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่