[SR] (Review) The Last Recipe (2018) : ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ Departures

The Last Recipe : สูตรลับเมนูยอดเชฟ

       The Last Recipe (2018) ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ โยจิโร่ ทาคิตะ ที่เคยสร้างผลงานยอดเยี่ยมอย่าง Departure (2008) หนังไม่กี่เรื่องในเอเชียที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ด้วยดีกรีระดับนี้ จึงทำให้ผมอยากจะเห็นเหมือนกันว่าหนังของแกเรื่องถัดมาอย่าง The Last Recipe จะเป็นอย่างไร

เรื่องย่อ

        นิโนะมิยะ คาซึนาริ รับบทเชฟ ซาซากิ มิตสึรุ เชฟอัจฉริยะ ที่จดจำรสชาติอาหารและวัตถุดิบที่ทำได้ภายในการชิมเพียงครั้งเดียว ซาซากิ มีอาชีพเชฟอาหารเมนูสุดท้าย ให้คนที่กำลังจะตาย ด้วยโชคชะตา ซาซากิ ได้รับการว่าจ้างจากยอดเชฟ ให้ทำอาหารเมนูสุดท้าย ที่อยู่ในความทรงจำของยอดเชฟมาตลอด 70 ปี ซาซากิได้รับข้อเสนอเป็นค่าจ้างที่สูงถึง 50 ล้านเยน โดยมีเงื่อนไขว่า เขาจะต้องตามหาสูตรเมนูอาหารที่หายสาปสูญไปให้เจอ และปรุงรสชาติให้ได้เหมือนต้นฉบับ ซาซากิ จึงเริ่มออกเดินทางเพื่อตามหา รสชาติที่หายไป จนกลายเป็นการเดินทางที่เยียวยาหัวใจตัวเองโดยไม่รู้ตัว (Credit - https://goo.gl/oSr6aJ)

The Last Recipe - อาหารจานสุดท้ายแด่ทุกคน

        The Last Recipe เป็นหนังที่อ่อนนุ่มละไม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ โยจิโร่ ทาคิตะ แต่ถึงแม้ว่า The Last Recipe อาจจะไม่ได้เฉียบคม ลุ่มลึกชนิดที่เทียบชั้นกับ Departures ได้ แต่ก็ถือเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งที่ดูไม่ยาก เข้าใจง่าย และคุณภาพดีในระดับหนังญี่ปุ่น มีซับซ้อน มีหักมุม มีการเล่าสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้หนังน่าติดตามยิ่งขึ้น ซึ่งหนังก็มีเวอร์ไปบ้าง ดูไม่ธรรมชาติ - ดูจงใจเกินไปในบางที แต่ก็ไม่ได้แย่ในระดับที่น่าเบื่อ ตรงกันข้ามกลับดูง่ายและดูได้เรื่อยๆ (หนังผสมแนวกันระหว่างแนวหนังอาหาร ครอบครัว สืบสวน ดราม่า หนังอิงประวัติศาสตร์)

        ที่รู้สึกประทับใจมากคือ อาหารแต่ละอย่างในเรื่อง ดูทำได้สมราคากับอาหารระดับห้าดาวจริงๆ แต่ละเมนูดูน่ากิน พร้อมกับกระบวนการทำที่สมจริง (ขณะดู ผมนี่กลืนน้ำลายเลย 555)

        อาหารแต่ละอย่างดูพิถีพิถันสมกับเป็นสไตล์เชฟญี่ปุ่น จุดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีสไตล์คล้ายกับ Departures คือเน้นแสดงอารมณ์ความพิถีพิถัน ละเมียดละไมในการทำอาหารออกมา เช่นเดียวกับใน Departures ที่แสดงถึงวัฒนธรรมการทำศพของญี่ปุ่น

        น่าสนใจอีกอย่าง คือเกร็ดหนัง ได้สอดแทรกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรุกรานแมนจูเรียของญี่ปุ่น พร้อมกับมีท่าทีแสดงคำขอโทษบางอย่างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เข้าข้างประเทศตัวเอง หรือเมินเฉยกับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าผู้กำกับสามารถใช้ประเด็นเหล่านี้ในการปรับภาพลักษณ์ญี่ปุ่นได้ดีขึ้น รวมไปถึงเป็นการแสดงความจริงใจต่อความผิดพลาดที่ประเทศตัวเองได้เคยทำไว้

        รวมไปถึงภาพของประเทศแมนจูกัว (ดินแดนแมนจูเรีย ณ ขณะที่ญี่ปุ่นยึดครอง) ลักษณะของดินแดนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย หลากเชื้อชาติ จุดนี้ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของประวัติศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น แมนจูเรียเปรียบเสมือนจุดรวมของหลายชนชาติ ซึ่งหนังก็ทั้รวบรวมเอาสามชนชาติที่ไม่น่าจะถูกกันสักเท่าไร อย่างญี่ปุ่น จีน รัสเซีย สามชาติที่มีบทบาทในแมนจูเรีย ณ ขณะนั้น มาสร้างความสัมพันธ์เชื่อมไมตรีเป็นภาพสวยๆ ให้เราได้เห็นกัน (จริงๆ น่าจะมีเกาหลีแถมมาด้วย 555)

สรุป

        ผมอาจจะผิดหวังกับเรื่องนี้ เพราะดันติดภาพความยอดเยี่ยมจาก Departures มามากเกินไป แต่มีขึ้นก็ต้องมีลง คงไม่มีผู้กำกับคนใดที่จะทำหนังได้ในระดับยอดเยี่ยมทุกเวลา (ถ้าทำได้คงกลายเป็นผู้กำกับระดับตำนานไปละ)

        ดังนั้นหากต้องการดูหนังที่ละมุนละไม ดราม่าดีๆ The Last Recipe เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก อาจไม่ใช่หนังดีเยี่ยม เลิศเลอ เป๊ะทุกอย่าง แต่พอดูจบก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ และให้รอยยิ้มกับเราได้ ก็แนะนำนะครับ เผื่อสนใจดูกัน
------------------------------------------

ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ชอบเรื่องไหน ประทับใจฉากใด ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ  หากรีวิวผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยครับ

ชื่อสินค้า:   The Last Recipe (2018)
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่