สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ เป็นการเขียนรีวิวแรก อยากจะแบ่งปันประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ไม่ใช่แค่รีวิวศัลยกรรม และหวังว่าจะให้ความรู้กับผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ^^ ถ้ามีส่วนใดผิดพลาดอายต้องขอโทษด้วยเพราะเป็นคนเล่าอะไรแบบวกไปวนมา55555555
เราชื่ออาย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ตอนนี้ทำงานเป็นล่ามภาษาเกาหลีให้กับคลินิกศัลยกรรมเกาหลีแห่งหนึ่งในประเทศไทยค่ะ (รีวิวนี้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคลินิกนะคะ อายควักเงินจ่ายเอง 100%) ขอเล่าย้อนไปก่อนแล้วกันเนอะ
อายเคยทำศัลยกรรมครั้งแรกคือจมูก ประมาณ 6 ปีที่แล้วค่ะ ทำที่ประเทศไทย กับคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างดัง ผลลัพธ์ออกมาดูธรรมชาติ (ธรรมชาติมากจนเหมือนไม่ได้ทำ5555555) และก็เอียงค่ะ.. พอดีได้งานที่ประเทศเกาหลีตอนนั้นเลยไม่มีเวลาไปโฟกัสกับจมูกเท่าไหร่ ก็ปล่อยไปเพราะงานอายค่อนข้างยุ่งมาก กลายเป็นคนบ้างานไปเลย (อายได้งานเป็นล่ามภาษาเกาหลีให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเกาหลี) วันๆ นึงทำงานกลับถึงห้องก็สลบ เป็นอย่างนี้ทุกๆ วันจนชินไปเลย อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนเกาหลีเค้าทำงานกันหนักมาก เรียกได้ว่าเข้าขั้นบ้างานกันหมดทุกคน บวกกับเมื่อตอนนั้นอายยังไม่ไว้ใจประเทศเกาหลีซักเท่าไหร่ค่ะเพราะเราก็เพิ่งไปอยู่ด้วย มันกลัวไปหมดอ่ะ ถ้ามาทำศัลยกรรมที่นี่แล้วเกิดมีอะไรผิดพลาด ใครจะรับผิดชอบ อยู่ตัวคนเดียวด้วย กว่าจะปรับตัวให้โอเคได้ก็เข้าปีที่ 3 ปีที่ 4 ขอลงรูปให้ดูนะคะว่าก่อนทำจมูกครั้งแรก และหลังจากทำจมูกครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
ก่อนทำจมูก
ทำจมูกครั้งแรก ตอนนี้อยู่ที่เกาหลี (สังเกตดีๆ จะเห็นว่าจมูกเบี้ยว..)
อายใช้ชีวิตการทำงานแบบคนบ้างานกับจมูกเบี้ยวๆ แท่งนี้มาตลอด เหมือนจะตลกแต่ก็ไม่น้า เพราะโดนคนรอบตัวทักตลอดว่าให้แก้เหอะ มันเบี้ยวอ่ะ TTTT ยิ่งเห็นลูกค้าแต่ละคนที่ทำศัลยกรรมแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาดีๆ ก็ยิ่งเก็บสะสมความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในใจเรื่อยๆ
อย่างหนึ่งที่อายค่อนข้างจะโอเคกับการศัลยกรรมที่เกาหลีคือผลลัพธ์หลังการทำและระบบของบ้านเค้า ช่วงนั้นเทคนิคศัลยกรรมของเกาหลีจะนำประเทศไทยไปหลายก้าวเลย ต่างจากตอนนี้ที่บ้านเราเริ่มตีตื้นเข้ามาเรื่อยๆ ถามว่ามีเคสหลุดมั้ย? มีแน่นอน ไม่มีก็บ้าละ แต่เค้าจะดำเนินการแก้ไขให้ ไม่เพิกเฉย ที่สำคัญเลยทุกอย่างจะค่อนข้างเซฟ คือจะเน้นให้ลูกค้าเข้ามาติดตามผล เช็คแผลกับคุณหมอบ่อยมาก เคสบายเคส แต่ละเคสความถี่ก็ต่างกัน บางคนต้องเข้ามาทุกอาทิตย์ ข้อดีคือถ้ามีส่วนใดที่ผิดพลาดและพอแก้ไขได้คุณหมอก็จะสามารถแก้ไขให้ได้ทันเวลาโดยที่ไม่ต้องรอเวลานานๆ 3 เดือน 6 เดือน กลับมาที่จมูกต่อนะเริ่มออกทะเลไปไกลละ 555555555
ใช้เวลาอยู่กับจมูกแท่งนี้มาประมาณ 4 ปี และตัดสินใจแก้จมูกที่ประเทศเกาหลีกับคลินิกคลินิกนึงเมื่อปีที่แล้ว (ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลที่ทำงานอยู่นะ พอดีสู้งบไม่ค่อยไหวค่ะ แหะๆ) ผลลัพธ์ออกมาโอเคกว่าเดิมเยอะค่ะ จากเดิมที่ดูธรรมชาติจนเหมือนไม่ได้ทำ ปลายจมูกก็ไม่มีเลย ตอนนี้ได้ความโด่งที่มากขึ้น ทรงสโลปและมีปลายจมูกที่ยาวขึ้นด้วย แต่อายทำใจไว้แล้วว่าจมูกคงไม่ออกมาตรงแน่นอนเพราะฐานกระดูกของอายเบี้ยว ถ้าอยากให้ตรงเลยก็ต้องผ่าตัดใหญ่ ทุบกระดูกฐานจมูกให้ตรง แต่อายแก้ไขเทคนิคธรรมดาคือเสริมซิลิโคนใหม่ปรับรูปทรงแล้วก็วางในตำแหน่งที่ทำให้ดูเนียนมากขึ้น คุณหมอเองก็บอกอายตรงๆ ว่าถึงจะออกมาดูไม่เบี้ยวเท่าเดิม ก็ยังสังเกตเห็นอยู่นะ ส่วนตัวเราก็โอเคยอมรับมันได้ อย่างน้อยแก้แล้วผลลัพธ์ออกมาดีกว่าเดิมก็พอแล้ว และแล้วผลลัพธ์ก็เป็นแบบนี้ค่ะ
.
.
หลังทำจมูกจากเกาหลี
หลังทำจมูกครั้งที่สองมา คนทักเรื่องจมูกเบี้ยวน้อยลง ฟีดแบคกับจมูกดีมาก แต่กลับทักเรื่องตามากขึ้นอ่ะ.. ไม่รู้ทำไมมีแต่คนอยากให้อายทำตาสองชั้น แต่โดยรวมรู้สึกว่าใช้ชีวิตแฮปปี้ขึ้น มั่นใจมากขึ้น ได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว ไว้ถ้ามีปัญหาอะไรในอนาคตก็ค่อยแก้แบบจัดเต็มไปเลย >< หลังจากนั้นสักพักอายก็ตัดสินใจย้ายกลับมาทำงานที่ประเทศไทยค่ะเพราะเหตุผลหลักๆ เลยคือคิดถึงคุณพ่อ ห่วงคุณพ่อด้วย ส่วนที่ทำงานใหม่ อายได้ทำงานสายเดิมคือเป็นล่ามภาษาเกาหลีค่ะ แต่ย้ายมาทำให้กับคลินิกเกาหลีในประเทศไทย ลักษณะงานจะเน้นติดต่อประสานงานระหว่างประเทศกับคนเกาหลีให้กับทีมไทย ทำงานที่นี่รู้สึกงานเบาลง และก็สนุกกับงานมากขึ้น สบายใจมากขึ้นด้วย เพราะได้อยู่กับคุณพ่อ อีกอย่างก็คงไม่มีที่ไหนสบายใจเท่าบ้านเรา (ที่เกาหลีก็ไม่ได้แย่นะคะ แต่รู้สึกว่าเค้าใช้ชีวิตกันจริงจังและเครียดมากกว่า..)
จากที่บอกว่าโดนคนทักคนแซวเรื่องตาเยอะมากกก ไปทำตาสิ่ ตาชั้นเดียวมันทำให้หน้าอายดูแมนๆ นะ โดนทักเหมือนพี่โตโน่ก็มี แอบเฟลสะสมจนเริ่มมีความคิดที่อยากจะทำตาสองชั้นขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่เกาหลีมานานและเชื่อฝีมือหมอเกาหลีมากกว่า เลยคิดว่าคงไม่ทำที่ประเทศไทยแน่ๆ ถ้าทำก็ยอมจ่าย แพงบินไปทำที่เกาหลีดีกว่า ถ้าใครทำงานสายนี้ หรือรู้เรื่องศัลยกรรม จะรู้ดีเลยแหละว่าทำตาเนี่ย ทำผิดแล้วชีวิตเปลี่ยนสุดๆ พลาดแล้วพลาดเลย แก้ให้ดียากยิ่งกว่าจุดอื่นๆ
ก่อนทำตาสองชั้น
จนอายทำงานกับคลินิกที่ปัจจุบันได้มาประมาณเกือบหนึ่งปี ได้เห็นผลงานของคุณหมอที่นี่หลายๆ เคส และโอเคกับฝีมือหมอ เพราะคุณหมอแต่ละท่านเค้าไปเทรนที่เกาหลีหลายเดือน ไม่ใช่แค่ไปกี่ชั่วโมงแล้วกลับมาได้ไปรษณียบัตรติดมือ เอาจริงๆ ก็ใช้เวลาตัดสินใจนานเหมือนกัน เพราะในใจก็ยังเชื่อมือหมอเกาหลีมากกว่าอยู่ดี55555 แต่ก็แบบด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าผลลัพธ์มันออกมาดี ทำที่นี่มันก็สบายอ่ะ ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลา สบายใจมีคนดูแลด้วย ก็เลยตัดสินใจลองปรึกษากับคุณหมอดูก่อน ซึ่งผลการปรึกษาคืออายได้ความรู้จากคุณหมอที่เรานึกไม่ถึงมาหลายๆ อย่างเลยค่ะ
1.
ชั้นตาของอายเป็นชั้นตาหลบใน และมีหนังตากับไขมันตรงเปลือกตาเยอะมาก ทำให้เป็นตาชั้นเดียวแบบตกๆ ทำให้หน้าดูเหมือนคนแก่ ไม่ก็ดูเหมือนผู้ชาย ตาดูไม่สดใส (เข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นอาหมวยตาชั้นเดียวแบบคนอื่น พอมาสังเกตหลังจากคุณหมอทัก เห้ยย เราตาตกจริงๆ มากๆ ด้วย)
2.
เคสอายต้องแก้ไขแบบกรีดชั้นตา แต่จะไม่กรีดสูงค่ะเพราะถ้ากรีดสูงคิ้วจะดูต่ำ หน้าจะดุหนักไปเลย (เห็นหลายคนพังเพราะกรีดชั้นตาสูงมาเยอะ เตือนเลยนะคะ อยากหน้าเด็กอย่ากรีดชั้นตาสูง!!) //อายสอบถามเรื่องเทคนิคการเย็บจุดมาด้วย คุณหมอบอกว่าการเย็บจุดเหมาะกับคนที่หนังตา, ไขมันเปลือกตาไม่เยอะ และตาไม่ตก เพราะถ้าทำแบบเย็บจุดไปเดี๋ยวมันก็หลุดอยู่ดี
3.
ต้องปรับเอ็นบริเวณเปลือกตา และจัดเรียงไขมันเปลือกตาใหม่ (เรียกกล้ามเนื้อตามาตลอด จริงๆ มันคือเอ็นตาค่ะ ความรู้ใหม่)
4.
ตาสองข้างไม่เท่ากัน ต้องเปิดหัวตา+หางตาเพิ่ม (อยู่มา 25 ปีไม่เคยสังเกตเลยว่าตาตัวเองไม่เท่ากัน!! คุณหมอบอกล่วงหน้าว่าทำไปแล้วตาจะดูเท่ากันมากขึ้นนะ แต่อาจจะทำให้จมูกดูเบี้ยวชัดขึ้น รับได้มั้ย แอบคิดมากนิดหน่อย แต่ยังไงแล้วก็ขอให้หมอทำตาหนูให้ดีที่สุด ส่วนอื่นๆ ไว้ว่ากัน)
หลังการปรึกษาอายใช้เวลาตัดสินใจแค่สองวัน และนัดคิวทำในวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมาค่ะ ส่วนการเตรียมตัวก็งดวิตามินอาหารเสริม งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ อย่างน้อยล่วงหน้า 1 อาทิตย์นะคะ แล้วก็วันมาทำก็ไม่ต้องแต่งหน้ามา พักผ่อนนอนหลับมาให้เพียงพอเพราะการทำตาสองชั้นตอนผ่าตัดจะต้องคอยหลับตา ลืมตา สลับกัน นอนมาน้อยอาจจะเบลอๆ ตาปรือ ทำให้หมอเย็บแผลยาก เดี๋ยวจะไม่สวย (แต่กว่าจะนอนหลับ สวดมนต์ไหว้พระไปหลายตลบ ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ให้ตาหนูออกมาสวยๆ 55555555555) อายได้คิวเคสผ่าตัดเป็นเคสแรกของวัน รู้สึกตื่นเต้นเพราะเราก็ไม่เคยทำตามาก่อนด้วย
การผ่าตัดใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง จะนานกว่าเคสอื่น เหมือนยกเครื่องใหม่อ่ะ ทั้งกรีด+ปรับเอ็นตา+จัดเรียงไขมันเปลือกตา+เปิดหัวตา-หางตา บอกตามตรงว่ารู้สึกลุ้นไปตลอดการผ่าตัดเพราะต้องคอยลืมตาหลับตาให้คุณหมอเป็นพักๆ ส่วนเรื่องเจ็บนี่ชิลเลย เสียวมากกว่าตอนจิ้มยาชา และก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ หลังผ่าตัดและเย็บแผลเสร็จแล้วคุณหมอเอาผ้ามารัดรอบศีรษะเพื่อช่วยไม่ให้เลือดออก จะทำให้ช้ำน้อยแล้วก็ยุบบวมไวด้วย พอใช้ผ้ารัดเรียบร้อยแล้วก็โดนย้ายมาห้องพักฟื้นประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงคุณหมอก็มาเอาผ้ารัดออกให้และเริ่มประคบเย็นต่อ (ตอนรัดผ้าจะรู้สึกแน่นๆ ตึ้บๆ ตรงตาแต่ยังไม่รู้สึกเจ็บแสบอะไรนะคะ อึดอัดมากกว่าแต่ก็ต้องอดทน จะได้ไม่บวมไม่ช้ำ)
สรุปก็ใช้เวลาอยู่ที่คลินิกไปเกินครึ่งวันกว่าจะได้กลับบ้านก็มืดเลย ><
หลังทำตาสองชั้น ประคบเย็นรัวๆ เลยค่า
หลังทำตาสองชั้น คลินิกแถมไอซ์แพ็คสำหรับประคบตรงตาให้ด้วยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อกันวันพรุ่งนี้ วันนี้ขอนอนก่อนเด้อค่า
[CR] เมื่อล่ามโรงพยาบาลเกาหลีอย่างเรา ตัดสินใจทำศัลยกรรมที่ประเทศไทย
เราชื่ออาย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ตอนนี้ทำงานเป็นล่ามภาษาเกาหลีให้กับคลินิกศัลยกรรมเกาหลีแห่งหนึ่งในประเทศไทยค่ะ (รีวิวนี้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคลินิกนะคะ อายควักเงินจ่ายเอง 100%) ขอเล่าย้อนไปก่อนแล้วกันเนอะ อายเคยทำศัลยกรรมครั้งแรกคือจมูก ประมาณ 6 ปีที่แล้วค่ะ ทำที่ประเทศไทย กับคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างดัง ผลลัพธ์ออกมาดูธรรมชาติ (ธรรมชาติมากจนเหมือนไม่ได้ทำ5555555) และก็เอียงค่ะ.. พอดีได้งานที่ประเทศเกาหลีตอนนั้นเลยไม่มีเวลาไปโฟกัสกับจมูกเท่าไหร่ ก็ปล่อยไปเพราะงานอายค่อนข้างยุ่งมาก กลายเป็นคนบ้างานไปเลย (อายได้งานเป็นล่ามภาษาเกาหลีให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเกาหลี) วันๆ นึงทำงานกลับถึงห้องก็สลบ เป็นอย่างนี้ทุกๆ วันจนชินไปเลย อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนเกาหลีเค้าทำงานกันหนักมาก เรียกได้ว่าเข้าขั้นบ้างานกันหมดทุกคน บวกกับเมื่อตอนนั้นอายยังไม่ไว้ใจประเทศเกาหลีซักเท่าไหร่ค่ะเพราะเราก็เพิ่งไปอยู่ด้วย มันกลัวไปหมดอ่ะ ถ้ามาทำศัลยกรรมที่นี่แล้วเกิดมีอะไรผิดพลาด ใครจะรับผิดชอบ อยู่ตัวคนเดียวด้วย กว่าจะปรับตัวให้โอเคได้ก็เข้าปีที่ 3 ปีที่ 4 ขอลงรูปให้ดูนะคะว่าก่อนทำจมูกครั้งแรก และหลังจากทำจมูกครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
ก่อนทำจมูก
ทำจมูกครั้งแรก ตอนนี้อยู่ที่เกาหลี (สังเกตดีๆ จะเห็นว่าจมูกเบี้ยว..)
อายใช้ชีวิตการทำงานแบบคนบ้างานกับจมูกเบี้ยวๆ แท่งนี้มาตลอด เหมือนจะตลกแต่ก็ไม่น้า เพราะโดนคนรอบตัวทักตลอดว่าให้แก้เหอะ มันเบี้ยวอ่ะ TTTT ยิ่งเห็นลูกค้าแต่ละคนที่ทำศัลยกรรมแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาดีๆ ก็ยิ่งเก็บสะสมความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในใจเรื่อยๆ อย่างหนึ่งที่อายค่อนข้างจะโอเคกับการศัลยกรรมที่เกาหลีคือผลลัพธ์หลังการทำและระบบของบ้านเค้า ช่วงนั้นเทคนิคศัลยกรรมของเกาหลีจะนำประเทศไทยไปหลายก้าวเลย ต่างจากตอนนี้ที่บ้านเราเริ่มตีตื้นเข้ามาเรื่อยๆ ถามว่ามีเคสหลุดมั้ย? มีแน่นอน ไม่มีก็บ้าละ แต่เค้าจะดำเนินการแก้ไขให้ ไม่เพิกเฉย ที่สำคัญเลยทุกอย่างจะค่อนข้างเซฟ คือจะเน้นให้ลูกค้าเข้ามาติดตามผล เช็คแผลกับคุณหมอบ่อยมาก เคสบายเคส แต่ละเคสความถี่ก็ต่างกัน บางคนต้องเข้ามาทุกอาทิตย์ ข้อดีคือถ้ามีส่วนใดที่ผิดพลาดและพอแก้ไขได้คุณหมอก็จะสามารถแก้ไขให้ได้ทันเวลาโดยที่ไม่ต้องรอเวลานานๆ 3 เดือน 6 เดือน กลับมาที่จมูกต่อนะเริ่มออกทะเลไปไกลละ 555555555 ใช้เวลาอยู่กับจมูกแท่งนี้มาประมาณ 4 ปี และตัดสินใจแก้จมูกที่ประเทศเกาหลีกับคลินิกคลินิกนึงเมื่อปีที่แล้ว (ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลที่ทำงานอยู่นะ พอดีสู้งบไม่ค่อยไหวค่ะ แหะๆ) ผลลัพธ์ออกมาโอเคกว่าเดิมเยอะค่ะ จากเดิมที่ดูธรรมชาติจนเหมือนไม่ได้ทำ ปลายจมูกก็ไม่มีเลย ตอนนี้ได้ความโด่งที่มากขึ้น ทรงสโลปและมีปลายจมูกที่ยาวขึ้นด้วย แต่อายทำใจไว้แล้วว่าจมูกคงไม่ออกมาตรงแน่นอนเพราะฐานกระดูกของอายเบี้ยว ถ้าอยากให้ตรงเลยก็ต้องผ่าตัดใหญ่ ทุบกระดูกฐานจมูกให้ตรง แต่อายแก้ไขเทคนิคธรรมดาคือเสริมซิลิโคนใหม่ปรับรูปทรงแล้วก็วางในตำแหน่งที่ทำให้ดูเนียนมากขึ้น คุณหมอเองก็บอกอายตรงๆ ว่าถึงจะออกมาดูไม่เบี้ยวเท่าเดิม ก็ยังสังเกตเห็นอยู่นะ ส่วนตัวเราก็โอเคยอมรับมันได้ อย่างน้อยแก้แล้วผลลัพธ์ออกมาดีกว่าเดิมก็พอแล้ว และแล้วผลลัพธ์ก็เป็นแบบนี้ค่ะ
.
.
หลังทำจมูกจากเกาหลี
หลังทำจมูกครั้งที่สองมา คนทักเรื่องจมูกเบี้ยวน้อยลง ฟีดแบคกับจมูกดีมาก แต่กลับทักเรื่องตามากขึ้นอ่ะ.. ไม่รู้ทำไมมีแต่คนอยากให้อายทำตาสองชั้น แต่โดยรวมรู้สึกว่าใช้ชีวิตแฮปปี้ขึ้น มั่นใจมากขึ้น ได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว ไว้ถ้ามีปัญหาอะไรในอนาคตก็ค่อยแก้แบบจัดเต็มไปเลย >< หลังจากนั้นสักพักอายก็ตัดสินใจย้ายกลับมาทำงานที่ประเทศไทยค่ะเพราะเหตุผลหลักๆ เลยคือคิดถึงคุณพ่อ ห่วงคุณพ่อด้วย ส่วนที่ทำงานใหม่ อายได้ทำงานสายเดิมคือเป็นล่ามภาษาเกาหลีค่ะ แต่ย้ายมาทำให้กับคลินิกเกาหลีในประเทศไทย ลักษณะงานจะเน้นติดต่อประสานงานระหว่างประเทศกับคนเกาหลีให้กับทีมไทย ทำงานที่นี่รู้สึกงานเบาลง และก็สนุกกับงานมากขึ้น สบายใจมากขึ้นด้วย เพราะได้อยู่กับคุณพ่อ อีกอย่างก็คงไม่มีที่ไหนสบายใจเท่าบ้านเรา (ที่เกาหลีก็ไม่ได้แย่นะคะ แต่รู้สึกว่าเค้าใช้ชีวิตกันจริงจังและเครียดมากกว่า..) จากที่บอกว่าโดนคนทักคนแซวเรื่องตาเยอะมากกก ไปทำตาสิ่ ตาชั้นเดียวมันทำให้หน้าอายดูแมนๆ นะ โดนทักเหมือนพี่โตโน่ก็มี แอบเฟลสะสมจนเริ่มมีความคิดที่อยากจะทำตาสองชั้นขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่เกาหลีมานานและเชื่อฝีมือหมอเกาหลีมากกว่า เลยคิดว่าคงไม่ทำที่ประเทศไทยแน่ๆ ถ้าทำก็ยอมจ่าย แพงบินไปทำที่เกาหลีดีกว่า ถ้าใครทำงานสายนี้ หรือรู้เรื่องศัลยกรรม จะรู้ดีเลยแหละว่าทำตาเนี่ย ทำผิดแล้วชีวิตเปลี่ยนสุดๆ พลาดแล้วพลาดเลย แก้ให้ดียากยิ่งกว่าจุดอื่นๆ
ก่อนทำตาสองชั้น
จนอายทำงานกับคลินิกที่ปัจจุบันได้มาประมาณเกือบหนึ่งปี ได้เห็นผลงานของคุณหมอที่นี่หลายๆ เคส และโอเคกับฝีมือหมอ เพราะคุณหมอแต่ละท่านเค้าไปเทรนที่เกาหลีหลายเดือน ไม่ใช่แค่ไปกี่ชั่วโมงแล้วกลับมาได้ไปรษณียบัตรติดมือ เอาจริงๆ ก็ใช้เวลาตัดสินใจนานเหมือนกัน เพราะในใจก็ยังเชื่อมือหมอเกาหลีมากกว่าอยู่ดี55555 แต่ก็แบบด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าผลลัพธ์มันออกมาดี ทำที่นี่มันก็สบายอ่ะ ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลา สบายใจมีคนดูแลด้วย ก็เลยตัดสินใจลองปรึกษากับคุณหมอดูก่อน ซึ่งผลการปรึกษาคืออายได้ความรู้จากคุณหมอที่เรานึกไม่ถึงมาหลายๆ อย่างเลยค่ะ
1. ชั้นตาของอายเป็นชั้นตาหลบใน และมีหนังตากับไขมันตรงเปลือกตาเยอะมาก ทำให้เป็นตาชั้นเดียวแบบตกๆ ทำให้หน้าดูเหมือนคนแก่ ไม่ก็ดูเหมือนผู้ชาย ตาดูไม่สดใส (เข้าใจมาตลอดว่าเราเป็นอาหมวยตาชั้นเดียวแบบคนอื่น พอมาสังเกตหลังจากคุณหมอทัก เห้ยย เราตาตกจริงๆ มากๆ ด้วย)
2. เคสอายต้องแก้ไขแบบกรีดชั้นตา แต่จะไม่กรีดสูงค่ะเพราะถ้ากรีดสูงคิ้วจะดูต่ำ หน้าจะดุหนักไปเลย (เห็นหลายคนพังเพราะกรีดชั้นตาสูงมาเยอะ เตือนเลยนะคะ อยากหน้าเด็กอย่ากรีดชั้นตาสูง!!) //อายสอบถามเรื่องเทคนิคการเย็บจุดมาด้วย คุณหมอบอกว่าการเย็บจุดเหมาะกับคนที่หนังตา, ไขมันเปลือกตาไม่เยอะ และตาไม่ตก เพราะถ้าทำแบบเย็บจุดไปเดี๋ยวมันก็หลุดอยู่ดี
3. ต้องปรับเอ็นบริเวณเปลือกตา และจัดเรียงไขมันเปลือกตาใหม่ (เรียกกล้ามเนื้อตามาตลอด จริงๆ มันคือเอ็นตาค่ะ ความรู้ใหม่)
4. ตาสองข้างไม่เท่ากัน ต้องเปิดหัวตา+หางตาเพิ่ม (อยู่มา 25 ปีไม่เคยสังเกตเลยว่าตาตัวเองไม่เท่ากัน!! คุณหมอบอกล่วงหน้าว่าทำไปแล้วตาจะดูเท่ากันมากขึ้นนะ แต่อาจจะทำให้จมูกดูเบี้ยวชัดขึ้น รับได้มั้ย แอบคิดมากนิดหน่อย แต่ยังไงแล้วก็ขอให้หมอทำตาหนูให้ดีที่สุด ส่วนอื่นๆ ไว้ว่ากัน)
หลังการปรึกษาอายใช้เวลาตัดสินใจแค่สองวัน และนัดคิวทำในวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมาค่ะ ส่วนการเตรียมตัวก็งดวิตามินอาหารเสริม งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ อย่างน้อยล่วงหน้า 1 อาทิตย์นะคะ แล้วก็วันมาทำก็ไม่ต้องแต่งหน้ามา พักผ่อนนอนหลับมาให้เพียงพอเพราะการทำตาสองชั้นตอนผ่าตัดจะต้องคอยหลับตา ลืมตา สลับกัน นอนมาน้อยอาจจะเบลอๆ ตาปรือ ทำให้หมอเย็บแผลยาก เดี๋ยวจะไม่สวย (แต่กว่าจะนอนหลับ สวดมนต์ไหว้พระไปหลายตลบ ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ให้ตาหนูออกมาสวยๆ 55555555555) อายได้คิวเคสผ่าตัดเป็นเคสแรกของวัน รู้สึกตื่นเต้นเพราะเราก็ไม่เคยทำตามาก่อนด้วย การผ่าตัดใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง จะนานกว่าเคสอื่น เหมือนยกเครื่องใหม่อ่ะ ทั้งกรีด+ปรับเอ็นตา+จัดเรียงไขมันเปลือกตา+เปิดหัวตา-หางตา บอกตามตรงว่ารู้สึกลุ้นไปตลอดการผ่าตัดเพราะต้องคอยลืมตาหลับตาให้คุณหมอเป็นพักๆ ส่วนเรื่องเจ็บนี่ชิลเลย เสียวมากกว่าตอนจิ้มยาชา และก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ หลังผ่าตัดและเย็บแผลเสร็จแล้วคุณหมอเอาผ้ามารัดรอบศีรษะเพื่อช่วยไม่ให้เลือดออก จะทำให้ช้ำน้อยแล้วก็ยุบบวมไวด้วย พอใช้ผ้ารัดเรียบร้อยแล้วก็โดนย้ายมาห้องพักฟื้นประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงคุณหมอก็มาเอาผ้ารัดออกให้และเริ่มประคบเย็นต่อ (ตอนรัดผ้าจะรู้สึกแน่นๆ ตึ้บๆ ตรงตาแต่ยังไม่รู้สึกเจ็บแสบอะไรนะคะ อึดอัดมากกว่าแต่ก็ต้องอดทน จะได้ไม่บวมไม่ช้ำ) สรุปก็ใช้เวลาอยู่ที่คลินิกไปเกินครึ่งวันกว่าจะได้กลับบ้านก็มืดเลย ><
หลังทำตาสองชั้น ประคบเย็นรัวๆ เลยค่า
หลังทำตาสองชั้น คลินิกแถมไอซ์แพ็คสำหรับประคบตรงตาให้ด้วยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อกันวันพรุ่งนี้ วันนี้ขอนอนก่อนเด้อค่า