ชาตินิยม (nationalism) หมายถึงการสร้างและปลูกฝังอุดมการณ์ในการรักและภาคภูมิใจในความเป็นชาติให้เกิดขึ้นกับประชาชนในชาติอย่างแน่นแฟ้น
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประวัติศาสตร์ความเป็นชาติมาอย่างยาวนาน โดยมีการปลูกฝังจิตสำนึกของความเป็นชาตินิยมเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งเป็นการปลูกฝังความเป็นพลเมืองดีของชาติ ความรัก และความเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สำหรับยุคปัจจุบันนี้ รูปแบบของการปลูกฝังความเป็นชาตินิยมของคนไทยก็ไม่ได้แตกต่างจากในอดีตเท่าไรนัก เพราะเรายังคงยึดถือการปลูกฝังความรักที่มีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อยู่เช่นเดิม เพราะทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นเหมือนรากเหง้าของสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการปลูกฝังชาตินิยมใหัเกิดขึ้นในจิตสำนึกของคนไทยสามารถทำได้ดังนี้
1.ปลูกฝังผ่านสถาบันครอบครัว ครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกสุดในการอบรมปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้แก่บุคคล โดยผ่านทางอบรมสั่งสอนของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ซึ่งคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่สามารถปลูกฝังความเป็นชาตินิยมให้เกิดขึ้นกับตัวลูกได้ไม่ยากเลย
- ปลูกฝังใหัลูกรักวัฒนธรรมไทย โดยเล่าเรื่องหรือให้เด็กๆ ดูภาพเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง และเมื่อถึงเทศกาลนั้นๆก็ควรพาลูกๆไปสัมผัสและมีส่วนร่วมในประเพณีนั้น เช่น เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทง ก็ชวนลูกมาทำกระทงและพาลูกไปลอยกระทงด้วยกัน
- ปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย เช่น สอนลูกให้พูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง สอนให้ลูกรู้จักการไหว้ที่อ่อนช้อยสวยงามแบบไทย ให้แต่งกายเอกลักษณ์แบบไทย หรือรู้จัก รับประทานและปรุงอาหารไทยแท้ได้ เช่น ข้าวแช่ น้ำพริกต่างๆ ขนมครก
- ปลูกฝังให้ลูกใกล้ชิดกับศาสนา โดยพ่อแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาที่ครอบครัวนับถือ โดยปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา อีกทั้งไม่เป็นคนดูถูกเหยียดหยามคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ เพื่อที่สังคมจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
- ปลูกฝังให้ลูกรักพระมหากษัตริย์ โดยพ่อแม่เล่าพระประวัติของพระมหากษัตริย์ของไทยให้ลูกฟัง และกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงยอมสละพระองค์เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงเลิกทาส, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เช่น ทรงทำโครงการฝนหลวง เพื่อสร้างฝนเทียมในการช่วยบรรเทาปัญหาความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำในการเกษตร
2.ปลูกฝังผ่านสถาบันการศึกษา โรงเรียนถือเป็นสถาบันสำคัญในการช่วยปลูกฝังชาตินิยมความรักชาติให้เกิดขึ้นกับคนไทย โดยการอบรมสั่งสอนของครูบาอาจารย์ผ่านทางหลักสูตรการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ เช่น วิชาสังคมศึกษาเรื่องหน้าที่พลเมือง ซึ่งเน้นให้บุคคลเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย อยู่ในกรอบจริยธรรมอันดีงามตามสิทธิเสรีภาพความเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ
- ปลูกฝังให้เข้าใจและจดจำถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ เช่น ร้องเพลงชาติได้ถูกต้องและฝึกให้ยืนตรงเคารพธงชาติ เข้าใจสัญลักษณ์ของธงไตรรงค์ ที่มีสามสี มีสีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน ซึ่งสีแดงหมายถึงชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้ง3ส่วนนี้บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทยที่จะขาดอันหนึ่งอันใดไปไม่ได้
- ปลูกฝังให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี โดยยึดมั่นในการเป็นผู้มีจริยธรรมตามแนวทางของประชาธิปไตย อันได้แก่ มีความรักและภาคภูมิใจในความเป็นชาติ มีจิตสำนึกที่ไม่ฝักใฝ่ในระบอบใดที่มุ่งทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกทั้งไม่ให้การสนับสนุนข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริต โกงกินบ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและของพวกพ้องมากกว่าของประเทศชาติ
“ชาตินิยม” เป็นอุดมการณ์ที่ควรปลูกฝังใหักับคนไทย เพราะเป็นการย้ำเตือนและหล่อหลอมให้บุคคลเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และความหวงแหนในความเป็นชาติของเรา เพื่อสร้างจิตสำนึกให้บุคคลในการมุ่งปฏิบัติให้ประเทศชาติมีความเจริญและเกิดวิถีที่เป็นประชาธิปไตยในชาติอย่างแท้จริง
http://www2.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142945
"ประชานิยม" (POPULIS)
Tjitske Akkerman ให้นิยามว่าคือการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เน้นบทบาทพื้นฐานของประชาชนกับการต่อต้านชนชั้นนำ (elites) ในแต่ละเหตุการณ์ประชาชนผู้เข้าร่วมอาจเน้นคนบางกลุ่ม เช่น เกษตรกรชนบท แรงงานในเมือง หรือชนชั้นกลางระดับล่าง ไม่จำต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมด
Margaret Canovan อธิบายว่ามักเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือผู้นำการเมืองที่ใช้คำพูดเต็มด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผลในการหาเสียงรณรงค์เคลื่อนไหว ชอบตำหนิประณามฝ่ายตรงข้าม ต่อต้านกลุ่มขั้วอำนาจที่มีอยู่ แนวอุดมการณ์เดิม รวมถึงหลักประชาธิปไตย เพื่อดึงดูดให้ประชาชนสนับสนุน
โดยสรุปแล้ว “ประชานิยม” คือ การเคลื่อนไหวทางการเมือง พยายามดึงประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วม เพื่อต่อต้านระบอบเก่า อาจเป็นระบอบการเมือง สังคม เศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศบางเรื่อง โลกาภิวัตน์ ขึ้นกับว่าอะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์ยาก มักเกิดขึ้นในภาวะที่ประชาชนไม่พอใจอย่างยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ โทษว่าเป็นความผิดของชนชั้นนำ
ประชานิยมไม่นับเป็นลัทธิหรือแนวคิดทางการเมือง เป็นเพียงแนวทางหรือกลยุทธ์เคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการพยายามได้ใจประชาชน ประกาศว่าทำตามความต้องการของประชาชน
นักวิชาการมีข้อสรุปร่วมว่าประชานิยมเริ่มต้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1870 ที่รัสเซีย นักวิชาการสุดโต่งจำนวนหนึ่งเคลื่อนไหวในหมู่เกษตรกรชนบท หวังก่อปฏิวัติสร้างสังคมนิยมเกษตร (agrarian socialism) ที่ดินเป็นของส่วนรวม ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เชื่อว่าเป็นคำตอบแก่สังคมรัสเซีย ในขณะที่ระบอบ (ในยุคนั้น) ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนชายขอบ ได้รับประโยชน์จากความเป็นชาติต่ำ ต่อต้านระบอบกษัตริย์ เศรษฐกิจทุนนิยม
ต้นเหตุขบวนการประชานิยม :
ขบวนการประชานิยมเกิดขึ้นได้เพราะมีประชาชนสนับสนุน ซึ่งอาจเป็นเกษตรกร ชาวชนบท แรงงานในเมือง ชนชั้นกลางบางกลุ่มบางพวก คนเหล่านี้ไม่พอใจรัฐบาล เห็นว่าที่พวกตนตกทุกข์ได้ยากเพราะนโยบายรัฐเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ถูกเอาเปรียบขูดรีด ไม่อาจพึ่งพากลไกรัฐ ระบอบการเมืองที่มีอยู่ จึงสนับสนุนผู้นำรณรงค์ต่อต้านรัฐบาล เรียกร้องสิ่งที่ดีกว่า
ประการที่ 3 ความอ่อนแอของประชาชน ความต้องการผู้นำ
ความบกพร่องของระบอบอิทธิพลของชนชั้นนำ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ประชาชน (อย่างน้อยบางส่วน) ผิดหวัง ในอีกด้านต้องหันกลับมามองที่ตัวประชาชนด้วย ทำไมประชาชนจึงปล่อยให้ระบอบมีปัญหาซ้ำซากยาวนาน ทำไมไม่เลือกตัวแทนผู้ทำหน้าที่เพื่อประชาชนจริงๆ ทั้งๆ ที่ระบอบ ประชาธิปไตยประกาศชัดอยู่แล้วว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง จึงนับว่าเป็นประชาธิปไตยแท้
การที่ระบอบบกพร่อง ชนชั้นนำสามารถแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความบกพร่องของฝ่ายประชาชน และเมื่อมีใครสักคนหนึ่งประกาศตัวขอเป็นผู้นำการปฏิรูป ประชาชนกลุ่มเดียวกันนี้ยอมรับการนำอย่างง่ายๆ อีก
ขบวนการประชานิยมจึงเกิดขึ้นเพราะสังคมมีมวลชนที่พร้อมยอมรับการนำอย่างง่ายๆ ไม่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง และผลักดันให้ผู้นำประชานิยมเป็นผู้นำเบ็ดเสร็จ
ขบวนการประชานิยมในแต่ละครั้งมีทั้งส่วนที่คล้ายกับต่าง พอจะสรุปลักษณะพื้นฐานสำคัญๆ ดังนี้
ประการแรก มุ่งปลุกระดมประชาชน แยกออกจากชนชั้นนำ
การเคลื่อนไหวมุ่งปลุกระดมประชาชน หลายครั้งคือคนชนบท ประชาชนระดับรากหญ้า (grassroots) เป้าหมายการรณรงค์ที่ประกาศไว้คือเพื่อประชาชน ตอบสนองความต้องการของประชาชน ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของประชาชน (ตรงข้ามกับชนชั้นอำนาจ นายทุน) เป้าหมายเพื่อเข้าถึงอำนาจสูงสุดของประเทศ คืนอำนาจแก่ประชาชน
ผลคือแยกประชาชนจากระบอบอำนาจเก่า
นอกจากนี้ นักประชานิยมมักเรียกร้องให้ทำประชามติ ตัดสินเรื่องสำคัญที่ประชาชนสนใจ ให้ความสำคัญกับหลักอธิปไตยปวงชน ละเลยระบอบตัวแทน สถาบันการเมืองกับกลไกอื่นๆ ที่มีอยู่
ประการที่ 2 ใช้ร่วมกับอุดมการณ์อื่นๆ เช่น ระบอบประชาธิปไตย ชาตินิยม
ในบางกรณีพวกประชานิยมจะเชิดชูประชาธิปไตย ชี้ว่าระบอบปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตยแท้ จึงเคลื่อนไหวเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หากกลุ่มได้อำนาจเท่ากับเป็นการคืนอำนาจแก่มวลชน แต่เมื่อได้อำนาจแล้วอาจเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือไม่ก็ได้ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ดีกว่า สมควรบริหารประเทศต่อเนื่อง เชิดชูชาตินิยม เชื่อผู้นำ ลดละความสำคัญของการเลือกตั้ง ประการที่ 3 เรียกร้องปฏิรูป ต่อต้านแนวคิดหรือค่านิยมที่เป็นอยู่
การเคลื่อนไหวมักเกี่ยวข้องกับการปฏิรูป บางกรณีหวังเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน
อนึ่ง ในระยะหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชานิยมอาจไม่ถึงขั้นต้องการล้มล้างระบอบเดิมทั้งหมด แนวทางประชานิยมอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กับนโยบายที่นักการเมืองใช้หาเสียง รณรงค์ต่อต้านบางนโยบายหรือแนวทางบางอย่าง เช่น ต่อต้านโลกาภิวัตน์ แรงงานต่างด้าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://www.thaipost.net/home/?q=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1-populism
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โฑอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ช่วงหนึ่งระบุว่า “ไทยนิยม” นั้น ไม่ใช่การสร้างกระแส “ชาตินิยม” เหมือนที่บางคนไม่เข้าใจสังคมของตน ไม่เข้าใจความเปลี่ยน แปลงของโลก แล้วพยายามบิดเบือนความคิดของผม โดยไม่ศึกษาให้ดีนะครับ เพราะ “ชาตินิยม” นั้นจะใช้ได้ดี สำหรับป้องกันภัยคุกคาม ภัยจากภาย นอกประเทศ จากการทำสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วยหลักคิด ลัทธิของชาติอื่น
“ชาตินิยม” จึงมีความจำเป็นสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อสร้างสำนึกความรักชาติ แต่สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้นั้นเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เราต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นไทย” โดยไม่ทิ้งหลักสากลนะครับ ผมขอย้ำนะครับ เราไม่ต้องไปทิ้งหลักสากล นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ “ไทยนิยม” ที่ผมกำลังพูดถึง
และ “ไทยนิยม” ก็ไม่ใช่ “ประชานิยม” เพราะ “ประชานิยม” เป็นการให้ในลักษณะที่เหมือนกับ “ยัดเยียด” ทุกคนนะครับ ได้ไป พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง อะไรก็แล้วแต่นะครับ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชน ด้วยการสร้างแนวคิด “บริโภคนิยม” ที่ผ่านมาประชาชนชอบนะครับ พอใจ กลายเป็นว่าประชาธิปไตยกินได้นะครับ เหมือนกับนโยบายของที่ผ่านมานะครับ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงอาจจะทำเพียงเพื่อต้องการความนิยม หรือต้องการคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง
เพราะฉะนั้นคำว่า “ประชานิยม” นั้นแตกต่างจาก “ไทยนิยม” นะครับ เพราะว่า “ไทยนิยมนั้น” เป็นการต่อยอด ขยายผลจาก “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการ “ระเบิดจากข้างใน” การมีส่วนร่วม การรับผิดชอบร่วม แล้วรัฐบาลจึงจะแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ทำให้เกิดเป็น “3 ประสาน ก็คือ ราษฎร์, รัฐ และ เอกชน” นะครับ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะทุกคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจทั้งสิ้น .....
https://www.prachachat.net/politics/news-107946
อ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์อ้างอิงนะคะ...🌞🌞🌞🌞🌞
อ่านให้เข้าใจ...และอย่าเข้าใจผิดๆให้ต้องอธิบายกันอีกค่ะ
🎏⁉️~มาลาริน~ชาตินิยม ประชานิยมและไทยนิยม ทั้งสามแบบนี้ ดิฉันคิดว่า...ประชานิยมทำให้ชาติอ่อนแอที่สุด
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประวัติศาสตร์ความเป็นชาติมาอย่างยาวนาน โดยมีการปลูกฝังจิตสำนึกของความเป็นชาตินิยมเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งเป็นการปลูกฝังความเป็นพลเมืองดีของชาติ ความรัก และความเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สำหรับยุคปัจจุบันนี้ รูปแบบของการปลูกฝังความเป็นชาตินิยมของคนไทยก็ไม่ได้แตกต่างจากในอดีตเท่าไรนัก เพราะเรายังคงยึดถือการปลูกฝังความรักที่มีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์อยู่เช่นเดิม เพราะทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นเหมือนรากเหง้าของสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการปลูกฝังชาตินิยมใหัเกิดขึ้นในจิตสำนึกของคนไทยสามารถทำได้ดังนี้
1.ปลูกฝังผ่านสถาบันครอบครัว ครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกสุดในการอบรมปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้แก่บุคคล โดยผ่านทางอบรมสั่งสอนของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ซึ่งคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่สามารถปลูกฝังความเป็นชาตินิยมให้เกิดขึ้นกับตัวลูกได้ไม่ยากเลย
- ปลูกฝังใหัลูกรักวัฒนธรรมไทย โดยเล่าเรื่องหรือให้เด็กๆ ดูภาพเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง และเมื่อถึงเทศกาลนั้นๆก็ควรพาลูกๆไปสัมผัสและมีส่วนร่วมในประเพณีนั้น เช่น เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทง ก็ชวนลูกมาทำกระทงและพาลูกไปลอยกระทงด้วยกัน
- ปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย เช่น สอนลูกให้พูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง สอนให้ลูกรู้จักการไหว้ที่อ่อนช้อยสวยงามแบบไทย ให้แต่งกายเอกลักษณ์แบบไทย หรือรู้จัก รับประทานและปรุงอาหารไทยแท้ได้ เช่น ข้าวแช่ น้ำพริกต่างๆ ขนมครก
- ปลูกฝังให้ลูกใกล้ชิดกับศาสนา โดยพ่อแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาที่ครอบครัวนับถือ โดยปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา อีกทั้งไม่เป็นคนดูถูกเหยียดหยามคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ เพื่อที่สังคมจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
- ปลูกฝังให้ลูกรักพระมหากษัตริย์ โดยพ่อแม่เล่าพระประวัติของพระมหากษัตริย์ของไทยให้ลูกฟัง และกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงยอมสละพระองค์เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงเลิกทาส, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เช่น ทรงทำโครงการฝนหลวง เพื่อสร้างฝนเทียมในการช่วยบรรเทาปัญหาความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำในการเกษตร
2.ปลูกฝังผ่านสถาบันการศึกษา โรงเรียนถือเป็นสถาบันสำคัญในการช่วยปลูกฝังชาตินิยมความรักชาติให้เกิดขึ้นกับคนไทย โดยการอบรมสั่งสอนของครูบาอาจารย์ผ่านทางหลักสูตรการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ เช่น วิชาสังคมศึกษาเรื่องหน้าที่พลเมือง ซึ่งเน้นให้บุคคลเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย อยู่ในกรอบจริยธรรมอันดีงามตามสิทธิเสรีภาพความเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ
- ปลูกฝังให้เข้าใจและจดจำถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ เช่น ร้องเพลงชาติได้ถูกต้องและฝึกให้ยืนตรงเคารพธงชาติ เข้าใจสัญลักษณ์ของธงไตรรงค์ ที่มีสามสี มีสีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน ซึ่งสีแดงหมายถึงชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้ง3ส่วนนี้บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทยที่จะขาดอันหนึ่งอันใดไปไม่ได้
- ปลูกฝังให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี โดยยึดมั่นในการเป็นผู้มีจริยธรรมตามแนวทางของประชาธิปไตย อันได้แก่ มีความรักและภาคภูมิใจในความเป็นชาติ มีจิตสำนึกที่ไม่ฝักใฝ่ในระบอบใดที่มุ่งทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกทั้งไม่ให้การสนับสนุนข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริต โกงกินบ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและของพวกพ้องมากกว่าของประเทศชาติ
“ชาตินิยม” เป็นอุดมการณ์ที่ควรปลูกฝังใหักับคนไทย เพราะเป็นการย้ำเตือนและหล่อหลอมให้บุคคลเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และความหวงแหนในความเป็นชาติของเรา เพื่อสร้างจิตสำนึกให้บุคคลในการมุ่งปฏิบัติให้ประเทศชาติมีความเจริญและเกิดวิถีที่เป็นประชาธิปไตยในชาติอย่างแท้จริง
http://www2.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142945
"ประชานิยม" (POPULIS)
Tjitske Akkerman ให้นิยามว่าคือการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เน้นบทบาทพื้นฐานของประชาชนกับการต่อต้านชนชั้นนำ (elites) ในแต่ละเหตุการณ์ประชาชนผู้เข้าร่วมอาจเน้นคนบางกลุ่ม เช่น เกษตรกรชนบท แรงงานในเมือง หรือชนชั้นกลางระดับล่าง ไม่จำต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมด
Margaret Canovan อธิบายว่ามักเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือผู้นำการเมืองที่ใช้คำพูดเต็มด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผลในการหาเสียงรณรงค์เคลื่อนไหว ชอบตำหนิประณามฝ่ายตรงข้าม ต่อต้านกลุ่มขั้วอำนาจที่มีอยู่ แนวอุดมการณ์เดิม รวมถึงหลักประชาธิปไตย เพื่อดึงดูดให้ประชาชนสนับสนุน
โดยสรุปแล้ว “ประชานิยม” คือ การเคลื่อนไหวทางการเมือง พยายามดึงประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วม เพื่อต่อต้านระบอบเก่า อาจเป็นระบอบการเมือง สังคม เศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศบางเรื่อง โลกาภิวัตน์ ขึ้นกับว่าอะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์ยาก มักเกิดขึ้นในภาวะที่ประชาชนไม่พอใจอย่างยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ โทษว่าเป็นความผิดของชนชั้นนำ
ประชานิยมไม่นับเป็นลัทธิหรือแนวคิดทางการเมือง เป็นเพียงแนวทางหรือกลยุทธ์เคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการพยายามได้ใจประชาชน ประกาศว่าทำตามความต้องการของประชาชน
นักวิชาการมีข้อสรุปร่วมว่าประชานิยมเริ่มต้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1870 ที่รัสเซีย นักวิชาการสุดโต่งจำนวนหนึ่งเคลื่อนไหวในหมู่เกษตรกรชนบท หวังก่อปฏิวัติสร้างสังคมนิยมเกษตร (agrarian socialism) ที่ดินเป็นของส่วนรวม ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เชื่อว่าเป็นคำตอบแก่สังคมรัสเซีย ในขณะที่ระบอบ (ในยุคนั้น) ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนชายขอบ ได้รับประโยชน์จากความเป็นชาติต่ำ ต่อต้านระบอบกษัตริย์ เศรษฐกิจทุนนิยม
ต้นเหตุขบวนการประชานิยม :
ขบวนการประชานิยมเกิดขึ้นได้เพราะมีประชาชนสนับสนุน ซึ่งอาจเป็นเกษตรกร ชาวชนบท แรงงานในเมือง ชนชั้นกลางบางกลุ่มบางพวก คนเหล่านี้ไม่พอใจรัฐบาล เห็นว่าที่พวกตนตกทุกข์ได้ยากเพราะนโยบายรัฐเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ถูกเอาเปรียบขูดรีด ไม่อาจพึ่งพากลไกรัฐ ระบอบการเมืองที่มีอยู่ จึงสนับสนุนผู้นำรณรงค์ต่อต้านรัฐบาล เรียกร้องสิ่งที่ดีกว่า
ประการที่ 3 ความอ่อนแอของประชาชน ความต้องการผู้นำ
ความบกพร่องของระบอบอิทธิพลของชนชั้นนำ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ประชาชน (อย่างน้อยบางส่วน) ผิดหวัง ในอีกด้านต้องหันกลับมามองที่ตัวประชาชนด้วย ทำไมประชาชนจึงปล่อยให้ระบอบมีปัญหาซ้ำซากยาวนาน ทำไมไม่เลือกตัวแทนผู้ทำหน้าที่เพื่อประชาชนจริงๆ ทั้งๆ ที่ระบอบ ประชาธิปไตยประกาศชัดอยู่แล้วว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง จึงนับว่าเป็นประชาธิปไตยแท้
การที่ระบอบบกพร่อง ชนชั้นนำสามารถแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความบกพร่องของฝ่ายประชาชน และเมื่อมีใครสักคนหนึ่งประกาศตัวขอเป็นผู้นำการปฏิรูป ประชาชนกลุ่มเดียวกันนี้ยอมรับการนำอย่างง่ายๆ อีก
ขบวนการประชานิยมจึงเกิดขึ้นเพราะสังคมมีมวลชนที่พร้อมยอมรับการนำอย่างง่ายๆ ไม่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง และผลักดันให้ผู้นำประชานิยมเป็นผู้นำเบ็ดเสร็จ
ขบวนการประชานิยมในแต่ละครั้งมีทั้งส่วนที่คล้ายกับต่าง พอจะสรุปลักษณะพื้นฐานสำคัญๆ ดังนี้
ประการแรก มุ่งปลุกระดมประชาชน แยกออกจากชนชั้นนำ
การเคลื่อนไหวมุ่งปลุกระดมประชาชน หลายครั้งคือคนชนบท ประชาชนระดับรากหญ้า (grassroots) เป้าหมายการรณรงค์ที่ประกาศไว้คือเพื่อประชาชน ตอบสนองความต้องการของประชาชน ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของประชาชน (ตรงข้ามกับชนชั้นอำนาจ นายทุน) เป้าหมายเพื่อเข้าถึงอำนาจสูงสุดของประเทศ คืนอำนาจแก่ประชาชน
ผลคือแยกประชาชนจากระบอบอำนาจเก่า
นอกจากนี้ นักประชานิยมมักเรียกร้องให้ทำประชามติ ตัดสินเรื่องสำคัญที่ประชาชนสนใจ ให้ความสำคัญกับหลักอธิปไตยปวงชน ละเลยระบอบตัวแทน สถาบันการเมืองกับกลไกอื่นๆ ที่มีอยู่
ประการที่ 2 ใช้ร่วมกับอุดมการณ์อื่นๆ เช่น ระบอบประชาธิปไตย ชาตินิยม
ในบางกรณีพวกประชานิยมจะเชิดชูประชาธิปไตย ชี้ว่าระบอบปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตยแท้ จึงเคลื่อนไหวเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หากกลุ่มได้อำนาจเท่ากับเป็นการคืนอำนาจแก่มวลชน แต่เมื่อได้อำนาจแล้วอาจเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือไม่ก็ได้ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ดีกว่า สมควรบริหารประเทศต่อเนื่อง เชิดชูชาตินิยม เชื่อผู้นำ ลดละความสำคัญของการเลือกตั้ง ประการที่ 3 เรียกร้องปฏิรูป ต่อต้านแนวคิดหรือค่านิยมที่เป็นอยู่
การเคลื่อนไหวมักเกี่ยวข้องกับการปฏิรูป บางกรณีหวังเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน
อนึ่ง ในระยะหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชานิยมอาจไม่ถึงขั้นต้องการล้มล้างระบอบเดิมทั้งหมด แนวทางประชานิยมอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กับนโยบายที่นักการเมืองใช้หาเสียง รณรงค์ต่อต้านบางนโยบายหรือแนวทางบางอย่าง เช่น ต่อต้านโลกาภิวัตน์ แรงงานต่างด้าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โฑอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ช่วงหนึ่งระบุว่า “ไทยนิยม” นั้น ไม่ใช่การสร้างกระแส “ชาตินิยม” เหมือนที่บางคนไม่เข้าใจสังคมของตน ไม่เข้าใจความเปลี่ยน แปลงของโลก แล้วพยายามบิดเบือนความคิดของผม โดยไม่ศึกษาให้ดีนะครับ เพราะ “ชาตินิยม” นั้นจะใช้ได้ดี สำหรับป้องกันภัยคุกคาม ภัยจากภาย นอกประเทศ จากการทำสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วยหลักคิด ลัทธิของชาติอื่น
“ชาตินิยม” จึงมีความจำเป็นสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อสร้างสำนึกความรักชาติ แต่สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้นั้นเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เราต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นไทย” โดยไม่ทิ้งหลักสากลนะครับ ผมขอย้ำนะครับ เราไม่ต้องไปทิ้งหลักสากล นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ “ไทยนิยม” ที่ผมกำลังพูดถึง
และ “ไทยนิยม” ก็ไม่ใช่ “ประชานิยม” เพราะ “ประชานิยม” เป็นการให้ในลักษณะที่เหมือนกับ “ยัดเยียด” ทุกคนนะครับ ได้ไป พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง อะไรก็แล้วแต่นะครับ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชน ด้วยการสร้างแนวคิด “บริโภคนิยม” ที่ผ่านมาประชาชนชอบนะครับ พอใจ กลายเป็นว่าประชาธิปไตยกินได้นะครับ เหมือนกับนโยบายของที่ผ่านมานะครับ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงอาจจะทำเพียงเพื่อต้องการความนิยม หรือต้องการคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง
เพราะฉะนั้นคำว่า “ประชานิยม” นั้นแตกต่างจาก “ไทยนิยม” นะครับ เพราะว่า “ไทยนิยมนั้น” เป็นการต่อยอด ขยายผลจาก “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการ “ระเบิดจากข้างใน” การมีส่วนร่วม การรับผิดชอบร่วม แล้วรัฐบาลจึงจะแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ทำให้เกิดเป็น “3 ประสาน ก็คือ ราษฎร์, รัฐ และ เอกชน” นะครับ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะทุกคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจทั้งสิ้น .....
https://www.prachachat.net/politics/news-107946
อ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์อ้างอิงนะคะ...🌞🌞🌞🌞🌞
อ่านให้เข้าใจ...และอย่าเข้าใจผิดๆให้ต้องอธิบายกันอีกค่ะ