สามัญสำนึกของนักท่องเที่ยวที่ลดลงในปัจจุบัน

ในยุคนี้การท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งผิดกับสมัยก่อนที่การจะเข้าไปในป่าลึกนั้นค่อนข้างยากและมีอุปสรรคต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า , แมลง , เชื้อไวรัส หรือทางเดินที่ยากลำบาก คนที่จะเข้าไปตรงนั้นจึงเป็นกลุ่มคนที่รักและหวงแหนในธรรมชาติจริงๆ ต้องการเข้าไปสัมผัส ไปรักษา ไปเยี่ยมชมความงามของธรรมชาติโดยไม่คิดที่จะเก็บอะไรกลับมา และไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เป็นภาระของธรรมชาติ แต่ในยุคนี้คนต้องการเพียงเป็นผู้พิชิต เป็นผู้เอาชนะ ..  ชนะอะไร ?!  ชนะหนทางที่ยากลำบาก ด้วยเครื่องทุ่นแรงต่างๆ นาๆ ที่สรรหากันมาเพื่ออำนวยความสะดวก สุดท้ายที่จริงแล้วเพียงเพราะต้องการมีรูปภาพบนสื่อ โซเชี่ยล ไว้อวดใครๆ โดยไม่สนว่าชัยชนะนั้นจะเป็นชัยชนะที่ได้ทำลายอะไรไปบ้าง


12 ปีที่แล้วผมไปภูกระดึง ที่นั่นยังเงียบสงบ ดูเป็นธรรมชาติ สะอาด มีสัตว์ป่าให้เห็น แต่ปัจจุบันภูกระดึงเป็นภูเขาที่เป็นจุดเริ่มต้นของนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ เป็นสถานที่ทดลองเพื่อพิสูจน์ตนเองว่าชอบการท่องเที่ยวธรรมชาติลักษณะนี้หรือไม่ นักท่องเที่ยวบางคนขาดการปลูกฝังจิตสำนึก รักสบาย และขาดความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ เช่น ทิ้งขยะไม่เลือกที่

ปัจจุบันหลายๆอุทยานแห่งชาติกำลังจะพัง ตลอดทางเดินเรามักจะเห็นเปลือกลูกอม ก้นบุหรี่ ถุงพลาสติก ห่อขนม ขวดน้ำ และขยะอื่นๆอีกมากมาย ที่ถูกทิ้ง ถูกหมกไว้ตามพกหญ้า ถูกโยนเกลื่อนกลาด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินระยะไกลที่เข้าถึงได้ยากอย่างโมโกจู หรือจะเป็นดอยที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ แต่เป็นดอยที่สูงที่สุดอันดับหนึ่ง ที่ต้องใช้เท้าเดินเข้าไปอย่าง ดอยเชียงดาว ..


มียูสเซอร์เวปไซต์พันทิพย์ท่านหนึ่ง กล่าวกับผมไว้ว่า " สิ่งที่หายากกว่า ธรรมชาติอันสวยงาม คือสันดานสำนึกของบุคคล สิ่งแย่ๆที่ติดตัวเรา แต่เราเอามันติดตัวไปทุกที่ แม้แต่ที่ที่เราจำกัดการนำติดตัวไปอย่างที่สุด เราก็ยังนำพามันไปด้วยความยากลำบากได้ ถึงที่หมาย เราก็ไม่ลังเลที่จะเอามันออกมาใช้เลย บนเชียงดาว สิ่งที่หายากกว่าม้าเทวดา คือ สามัญสำนึกของบุคคลบนนั้นนี่เอง "


ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนดอยเชียงดาวเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นได้ตลอดทางคือก้นบุหรี่ ทิชชู่เปียก และเศษขยะเล็ก ๆ น้อย ๆ และที่แย่มากถึงมากที่สุดคือ " จุดกางเต๊นท์ "

เสน่ห์ของหุบเขาแห่งนี้ถูกบรรยากาศที่จุดกางเต๊นท์ทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเศษขยะมากมายที่ถูกหมกเอาไว้ในพกหญ้า บนพื้นทางเดิน หรือความไม่เคารพสถานที่ของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่มีทั้งเปิดเพลงเสียงดัง ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และ ตะโกนคุยกันอย่างไม่เกรงใจนักท่องเที่ยวคนอื่น หรือ เจ้าป่า เจ้าเขา

ตลอดเวลาที่อยู่บนนั้น ผมได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งตะโกนคุยกันดังมาก ทั้งที่บนนั้นมิได้มีเสียงรบกวนจากสิ่งอื่นเลย มีเพียงแค่เสียงลมที่พัดผ้าใบฟลายชีทกับเสียงใบไม้ที่ถูกลมพัด ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้กันแค่นั้นจะตะโกนทำไม ผมว่าประสาทรับรู้ทางการได้ยินของเค้าน่าจะบกพร่อง แนะนำว่าควรไปพบแพทย์โดยด่วน .. ผมอยากจะถามว่า คุณเคยถามตัวเองกันบ้างหรือไม่ว่าคุณขึ้นมาบนนั้นเพื่ออะไร

หากจะหาคนผิดในเรื่องนี้ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตัวนักท่องเที่ยวเองนั้นมีส่วนร่วมอยู่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งผมมองไปที่การบริหารจัดการพื้นที่บนนั้น ที่นั่นมีเพียงลูกหาบคอยดูแล ซึ่งลูกหาบก็รับเงินนักท่องเที่ยวมาอีกที ถามว่าเค้าจะกล้าไปตักเตือนมั้ย ผมตอบตอนนี้เลยว่าไม่ !
อ้าว แล้วใครดูแลได้ล่ะ ? ชัดๆ ง่ายๆ คือ " ไม่มี "


ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้การท่องเที่ยวธรรมชาตินั้นซีเรียสเกินไป แต่ถ้าไม่มีการจัดการเรื่องปัญหาเหล่านี้ อีกไม่นานเสน่ห์ของมันก็จะหมดลง ที่นี่และอีกหลายๆที่ก็จะพังตามๆกันไป เราจะไม่เก็บอะไรไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเราได้เห็นเหมือนอย่างที่เราเห็นกันจริงๆหรือครับ ?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่