Maze Runner: The Death Cure (Wes Ball, 2018) คะแนน C+
By Form Corleone
"จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้คงเป็นเพียงเรื่องราวระหว่างมิตรภาพของผองเพื่อน" สำหรับ 'Maze Runner' ในชั่วโมงฉงนสงสัยคงจบไปตั้งแต่เหล่าเด็กวัยรุ่นได้วิ่งหนีออกจากกำแพงวงกตในภาคแรกไปแล้วเรียบร้อย พร้อมทั้งกลายร่างเป็นหนังคนวิ่งหนีซอมบี้ ตามหายารักษาโรค ตามล่าจับเด็กมาทดลอง กลุ่มคนชนชั้นล่างผู้ถูกทอดทิ้ง ภายใต้โลกที่บิดเบี้ยวไม่พึงอาศัย ทั้งหมดดูเหมือนเป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงที่ต้องดิ้นร้นเอาชีวิตรอดและต้องการแหล่งพำนักสักที่หนึ่งในโลกใบนี้ อาศัยอยู่อย่างเงียบสงบภายใต้โลกที่ล่มสลาย ประเด็นระหว่างเพื่อนฝูงจึงชัดเจนและเดินทางมาสู่บทสรุปของภาคนี้ในช่วงท้ายเรื่อง ที่เราคิดว่ามันไม่ได้แย่ด้วยตัวข้อความที่การจะบอก เพียงแต่ด้วยบทภาพยนตร์ที่แทบจะเป็นเศษส่วนที่น้อยมากต่อฉากแอคชั่นนั้นทำให้ความสมดุลในข้อความที่ต้องการสื่อสารถูกสะท้อนออกมาได้เบาบาง+ตื้นเขิน ไร้ซึ่งพลังและไม่ชวนน่าจดจำ เพราะเมื่อตัวหนังมีฉากไคลแมกซ์มากมายตลอดทั้งเรื่อง เราจึงไม่ได้รับช่วงวินาทีตกตะลึงหรือกระทั่งเศร้าเสียใจ แม้ว่าหนังจะมีความยาวมากพอที่จะสร้างสมดุลของพล็อตเรื่องก็ตาม แต่เวลาส่วนใหญ่ของหนังกลับกลายเป็นฉากถล่ม+แอคชั่นที่ไม่มีช่วงเบา(แต่เบาสมอง) เรียกว่าจัดหนักเกือบจะทุกนาที จนไม่ต่างอะไรกับงานขายฉากแอคชั่นอย่างเดียว ทั้งที่แก่นของเรื่องนำทางมาดีตั้งแต่ภาคแรก หรืออาจจะเพราะด้วยการดัดแปลงจากนิยายที่พอมาเป็นภาพยนตร์แล้วมันมีช่องว่างของความสมดุลที่ต้องอาศัยฉากมารองรับได้ไม่ดีพอ รวมทั้งขาดบทภาพยนตร์ที่รองรับอารมณ์เหล่านั้นไว้
อย่างไรเสีย 'Maze Runner: The Death Cure' นั้นไม่ได้แย่ในด้านกราฟฟิกและตอบสนองความบันเทิงในรูปแบบฉากแอคชั่นจัดเต็ม ใครที่ต้องการความสนุกสนานด้วยฉากแอคชั่นเราคิดว่ามันตอบโจทย์ได้ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่ตอบสนองความสะเทือนอารมณ์ต่อพล็อตเรื่องที่เป็นภาคสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม แต่เราก็อดดีใจไม่ได้ที่หนังเรื่องนี้ได้จบลงเสียที เพราะหลังจากนี้เหล่านักแสดงในเรื่องน่าจะได้รับบทใหม่ๆที่น่าติดตาม รวมไปถึงผู้กำกับ 'เวส บอล' ที่น่าจะมีผลงานในลำดับต่อไปและคิดว่าคงจะน่าสนใจเหมือนตอนริเริ่มทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในภาคแรก อย่างไรก็ดี ภายใต้ความวุ่นวาย ภายใต้การแบ่งแยกชนชั้น ภายใต้การต่อสู้ดิ้นร้นหายารักษาโรค ภายใต้การจัดระเบียบแบบแผนทางสังคม ภายใต้ฉากแอคชั่นตามล่าจนไปถึงวิ่งหนีตายจากซอมบี้ หรือจะภายใต้การรุกสู้ของเหล่าผู้ถูกทอดทิ้ง ทั้งหมดนี้คงเป็นเพียงการฉาบหน้าให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผองกลุ่มหนึ่งที่ผ่านบทเรียนและมิตรภาพมาด้วยกัน สำหรับเรานั้นมิตรภาพระหว่างเพื่อนน่าจะเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดของภาพยนตร์ไซไฟ 'Maze Runner' ที่ปิดฉากลงได้...สักที...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Maze Runner: The Death Cure (Wes Ball, 2018) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้คงเป็นเพียงเรื่องราวระหว่างมิตรภาพของผองเพื่อน" สำหรับ 'Maze Runner' ในชั่วโมงฉงนสงสัยคงจบไปตั้งแต่เหล่าเด็กวัยรุ่นได้วิ่งหนีออกจากกำแพงวงกตในภาคแรกไปแล้วเรียบร้อย พร้อมทั้งกลายร่างเป็นหนังคนวิ่งหนีซอมบี้ ตามหายารักษาโรค ตามล่าจับเด็กมาทดลอง กลุ่มคนชนชั้นล่างผู้ถูกทอดทิ้ง ภายใต้โลกที่บิดเบี้ยวไม่พึงอาศัย ทั้งหมดดูเหมือนเป็นเพียงฉากบังหน้าให้กับมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงที่ต้องดิ้นร้นเอาชีวิตรอดและต้องการแหล่งพำนักสักที่หนึ่งในโลกใบนี้ อาศัยอยู่อย่างเงียบสงบภายใต้โลกที่ล่มสลาย ประเด็นระหว่างเพื่อนฝูงจึงชัดเจนและเดินทางมาสู่บทสรุปของภาคนี้ในช่วงท้ายเรื่อง ที่เราคิดว่ามันไม่ได้แย่ด้วยตัวข้อความที่การจะบอก เพียงแต่ด้วยบทภาพยนตร์ที่แทบจะเป็นเศษส่วนที่น้อยมากต่อฉากแอคชั่นนั้นทำให้ความสมดุลในข้อความที่ต้องการสื่อสารถูกสะท้อนออกมาได้เบาบาง+ตื้นเขิน ไร้ซึ่งพลังและไม่ชวนน่าจดจำ เพราะเมื่อตัวหนังมีฉากไคลแมกซ์มากมายตลอดทั้งเรื่อง เราจึงไม่ได้รับช่วงวินาทีตกตะลึงหรือกระทั่งเศร้าเสียใจ แม้ว่าหนังจะมีความยาวมากพอที่จะสร้างสมดุลของพล็อตเรื่องก็ตาม แต่เวลาส่วนใหญ่ของหนังกลับกลายเป็นฉากถล่ม+แอคชั่นที่ไม่มีช่วงเบา(แต่เบาสมอง) เรียกว่าจัดหนักเกือบจะทุกนาที จนไม่ต่างอะไรกับงานขายฉากแอคชั่นอย่างเดียว ทั้งที่แก่นของเรื่องนำทางมาดีตั้งแต่ภาคแรก หรืออาจจะเพราะด้วยการดัดแปลงจากนิยายที่พอมาเป็นภาพยนตร์แล้วมันมีช่องว่างของความสมดุลที่ต้องอาศัยฉากมารองรับได้ไม่ดีพอ รวมทั้งขาดบทภาพยนตร์ที่รองรับอารมณ์เหล่านั้นไว้
อย่างไรเสีย 'Maze Runner: The Death Cure' นั้นไม่ได้แย่ในด้านกราฟฟิกและตอบสนองความบันเทิงในรูปแบบฉากแอคชั่นจัดเต็ม ใครที่ต้องการความสนุกสนานด้วยฉากแอคชั่นเราคิดว่ามันตอบโจทย์ได้ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่ตอบสนองความสะเทือนอารมณ์ต่อพล็อตเรื่องที่เป็นภาคสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม แต่เราก็อดดีใจไม่ได้ที่หนังเรื่องนี้ได้จบลงเสียที เพราะหลังจากนี้เหล่านักแสดงในเรื่องน่าจะได้รับบทใหม่ๆที่น่าติดตาม รวมไปถึงผู้กำกับ 'เวส บอล' ที่น่าจะมีผลงานในลำดับต่อไปและคิดว่าคงจะน่าสนใจเหมือนตอนริเริ่มทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในภาคแรก อย่างไรก็ดี ภายใต้ความวุ่นวาย ภายใต้การแบ่งแยกชนชั้น ภายใต้การต่อสู้ดิ้นร้นหายารักษาโรค ภายใต้การจัดระเบียบแบบแผนทางสังคม ภายใต้ฉากแอคชั่นตามล่าจนไปถึงวิ่งหนีตายจากซอมบี้ หรือจะภายใต้การรุกสู้ของเหล่าผู้ถูกทอดทิ้ง ทั้งหมดนี้คงเป็นเพียงการฉาบหน้าให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผองกลุ่มหนึ่งที่ผ่านบทเรียนและมิตรภาพมาด้วยกัน สำหรับเรานั้นมิตรภาพระหว่างเพื่อนน่าจะเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดของภาพยนตร์ไซไฟ 'Maze Runner' ที่ปิดฉากลงได้...สักที...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/