9 ศาสตรา ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตรงนี้
"เมื่ออาณาจักรรามเทพนครต้องถูกยึดครองโดยเหล่ายักษ์ที่นำโดย ท้าวเทหะยักษา มีเพียงความหวังเดียวที่เหลืออยู่ คือ ผู้ที่เกิดใต้ฤกษ์คำทำนาย จะสามารถใช้ศาสตราวุธที่เรียกว่า เก้าศาสตรา กอบกู้อาณาจักรในที่สุด "อ๊อด" หนุ่มชาวเลธรรมดาผู้มีอดีตฝังใจ ต้องเเบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เดิมพันด้วยศรัทธาที่มี ร่วมกับเหล่าผองเพื่อนอันได้เเก่ องค์ชายวณราวาตะที่ 3 วานรจากนครมะนีโคดที่ถูกพวกยักษ์บุกโจมตีย่อยยับ อสูรสีชาด บุรุษยักษ์ผู้สุขุมเเละเต็มไปด้วยความรู้เกี่ยวกับตำนาน เเละ เสี่ยวหลาน สลัดอากาศสาวที่มีเป้าหมายในการช่วยเหลือใครบางคนที่ถูกจับเป็นทาสที่รามเทพนคร พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ หรือคำทำนายจะเป็นเเค่เรื่องโกหกที่ถูกเเต่งขึ้น เพื่อความหวังลมเเล้งๆกันเเน่?"
สวัสดีครับ
จริงๆ ผมควรจะรีวิวนี้ตั้งเเต่หนังเข้าฉายวันเเรก เพราะผมได้ดูมาตั้งเเต่วันที่ 11 เเล้ว เเต่คิดว่ามันน่าจะเอามาเเบ่งปันกัน
เพราะงั้นสิ่งที่ผมจะพูด จะเรียกว่าอวยก็ได้ ยอมรับเลย (ฮา)
สำหรับ 9 ศาสตรานั้น ถือเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นสามมิติที่ทุ่มทุนสร้างสูงถึง 230 ล้านบาท ซึ่งผมถือว่านี่เป็นการลงทุนที่ทั้ง "เสี่ยง" เเละ "วัดใจ" คนทำมาก เพราะเหล่าผู้สร้างเองก็ไม่เคยทำหนังมาก่อน เเต่ด้วยใจรักเเละอยากเห็นหนังเรื่องนี้เป็น ตัวเบิกทาง ของวงการอนิเมชั่นไทย พวกเขาจึงใช้เวลา 4 ปี ในการทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งต้องบอกเลยว่า ผมประทับใจมาก มากจริงๆ ที่ทุนประมาณนี้ กับ งานที่ออกมา มันช่างน่าภูมิใจจริงๆ เเม้ในตอนนี้ศรัทธาของหนังเรื่องนี้จะยังไม่มากพอที่จะสามารถหวังในสิ่งที่คาดหวังได้ เเต่อย่าท้อไป
เเละจะไปสนใจทำไม ในเมื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้อะไรหลายอย่าง ที่ผม (ผมนะ) คิดว่ามันจะเป็นตำนานของวงการการ์ตูนไทยได้เลย
ในตอนที่เห็นตัวอย่างเเรกๆ ผมคิดนะว่ามันจะไหวรึเปล่า ทำไมมันดูเเข็งๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย คงไม่ดูหรอก ไม่มีเรื่องไหนทำผมอินได้เท่าก้านกล้วยภาคเเรกเเล้ว ภาคสองไม่นับนะเสียของ เเต่พอได้ไปไล่อ่านข้อมูลโดยบังเอิญโดยที่เพจหนังเขาเเชร์กัน จนไปถึง Prelude อย่าง การ์ตูนสั้นเล่าเนื้อเรื่องก่อนในหนัง ผมเลยเริ่มเบาใจเเล้วว่า เฮ้ย เนื้อเรื่องดูเกลามาดีอ่ะ มีที่มาที่ไป ไม่เเบนราบ เเถมเห็นสกู๊ปก่อนหนังเข้า จนได้ค่อยๆติดตามดู ตั้งเเต่ คาเเรกเตอร์ของตัวละคร ที่เพิ่งรู้ว่า ใช้นักเเสดงมาพากษ์ ซึ่งผมไม่เคยยึดติดอยู่เเล้วว่าใครจะมาพากษ์ เพราะผมมั่นใจ ว่าใช้เวลาคัดมาพากษ์ขนาดนี้ ต้องไม่ไก่กาเเน่ๆ
ในที่สุดผมก็ได้ชม ขอบอกก่อนเลยนะครับว่า มันดีจริงๆ
เนื้อเรื่อง : พล็อตผู้กล้าที่ถูกเลือก ความสิ้นหวังของอาณาจักร ผู้กอบกู้โลก ซึ่งฟังดูก็สูตรสำเร็จ เเต่รายละเอียดของมันนี่เเหละที่ทำให้มันไม่ดูซ้ำซากจนเกินไป เพราะมันใส่รายละเอียดเข้ามาได้ลงตัว เเบ่งองก์ของเรื่องได้ดี เดินเรื่องเร็ว ไม่ยิดเยื้อ มีจุดหักมุมที่คาดเดาไม่ยาก เเละมีฉากสุดสะเทือนใจอยู่หลายครั้ง คือมันดีเเหละ เเต่อาจจะไม่ดีสำหรับคนที่ต้องการเนื้อหาหนักๆเเบบต่างชาติ อาจเพราะว่าต้องการให้มันดูง่าย ขายได้ด้วย ซึ่งตรงจุดพอดี
ตัวละคร ขอเล่าที่ละตัวเลยนะครับ
อ๊อด : ไต้ฝุ่นพากษ์เป็นอ๊อดได้ดีมาก จนตอนนี้ผมยังจดจำเสียงไต้ฝุ่นเป็นอ๊อด เขาทุ่มเทกับงานนี้มากจนรู้สึกได้ อาจจะยังมีติดขัดช่วงเเรก เเต่ช่วงหลังๆกลับทำได้ดีมาก ฉากอารมณ์ของเขารู้สึกได้เลยว่าเขาเจ็บปวดจริงๆ ไม่ใช่การเเสดง (ดูเสียงอังกฤษยังไม่ได้อารมณ์เท่านี้เลย นี่ความคิดส่วนตัวนะครับ) เราจะได้เห็นเด็กหนุ่มชาวเลพูดจ้ะพูดจ๊าจนน่าหมั่นไส้ เเต่สักพักเราจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องเเบกรับภาระทุกอย่างจนเเทบระเบิด เเล้วค่อยๆเติบโต เป็นนักสู้หนุ่มที่เก่งกาจด้วยศรัทธา
เทหะยักษา : เสียงของคุณน็อตที่ปกติก็ใหญ่ คราวนี้ถูกบีบให้ใหญ่ขึ้นเเบบยักษ์ซึ่งก็น่าเกรงขามอยู่เเล้ว ฉากคำรามคือสุดๆไปเลย เสียดายที่พัฒนาของตัวละครนี้ถูกบอกเล่าในการ์ตูนไปเเล้ว เลยเห็นเเค่ด้านการโหยหาความยิ่งใหญ่เเละอำนาจจนน่ารำคาญไป เเต่ยอมรับว่าการเปิดฉาก เเละ องก์สุดท้ายคือโคตรเท่!
เสี่ยวหลาน : โบว์ สาวิตรี ที่เราได้เห็นเสียงหวานๆของเธอในละครมาเเล้วหลายเรื่อง จนพอมาดูเรื่องนี้อาจจะสะดุดไปบ้าง เเต่สักพักนึงก็เริ่มชินเสียงเธอเอง ผู้สร้างคงตั้งใจไม่ให้เธอเป็นผู้หญิงห้าวเเบบในเรื่องอื่นๆ เเต่ให้เป็น หญิงสาวผู้เข้มเเข็งที่ซ่อนความอ่อนโยนไว้ น้ำเสียงเลยออกมาเป็นเเบบนั้น ฉากเปิดตัวของเธอ คงมีคนร้องอู้วในโรงเเน่ ฉากดราม่าทำได้ดีเลยเเหละ เเถมเธอพูดภาษาจีนได้เท่มากๆ (ใช่ครับ โบว์ต้องพากษ์จีนเอง เเม้จะมีไม่กี่บทเเต่ก็นึกว่าเจ้าของภาษามาเอง)
วาตะ : มิวสิค AF ดูจะสนุกกับการพากษ์บทนี้จนดูล้นๆไปบ้าง เสียงดูเล่นใหญ่ เเต่ก็ชวนอมยิ้มได้ เเต่พอเข้าซีนอารมณ์ เขากลับทำได้ดีจนน่าพอใจ
อสูรสีชาด : พี่ชัย (ผู้พากษ์ไคโร เรน) พากษ์เป็นยักษ์เเดงผู้ทั้งใจดี ขี้เล่นเเละสุขุม เข้าขากับเจ้าวาตะเป็นอย่างดี ยิ่งฉากท้ายๆ คือเอาอีกพี่ เอาอีก(ชอบความสัมพันธ์คู่นี้ ปกป้องกันตลอดเลย)
พรานทมิฬ : พี่บ๊อบบี้ เคยพากษ์เป็น เชน นกยูงใจร้าย ใน กังฟูเเพนด้า 2 มาเเล้ว คงไม่มีใครจะกังขาว่าความทมิฬมันออกมาผ่านน้ำเสียง ความขมขื่นเเละความเจ็บปวดของเขามันสื่อออกมา ความเย็นชาเเละความอ่อนโยน จนคนอาจจะยกให้เป็นตัวละครที่มีมิติเยอะสุดเเล้วในเรื่อง จนตอนจบทุกคนถึงกับต้องยิ้มเลยล่ะครับ
งานภาพ : ละเอียดมาก พื้นผิวมันใช่เหรอ นี่คนไทยทำเหรอ ทำไมเขาใส่ใจลายละเอียดขนาดนี้ ผมมองไม่เห็นการเผาของงานเลย (ดูไม่ทั่วรึเปล่า) เเถมตัวละครที่ตอนเเรกการเคลื่อนไหว รูปร่าง ดูจะเเปลกๆ เเข็งๆ กลับค่อยๆกลมกลืนไปพร้อมกับเรื่องราว ซึ่งมันเจ๋งมาก ฉากต่างๆดูตั้งใจทำจริงๆ ฉากในเมืองรามเทพนครสวยมาก อนิเมชั่นผมไม่พูดว่ามันดีกว่าใครหรอก เรียกว่า "มีเอกลักษณ์ที่ผู้สร้างต้องการ" ดีกว่า เพราะมันดูจะไม่ได้สวยมาก เเต่ไม่ได้เเย่เลยในทุนประมาณนี้
การตัดต่อเเละฉากเเอ็คชั่น : ไม่รู้ว่าผมเล่นเกมบ่อยรึเปล่า เเต่มุมกล้องตัดฉับๆนี่โคตรชอบ มันเท่ มันฉลาด มันรวดเร็ว มันไม่อ้อยอิ่ง มันพร้อมฟาดฟันด้วยลำเเข้งตลอดเวลา มีช่วงให้ตัวละครปล่อยของอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเเต่ละครั้งก็ได้ผล เเต่บางครั้งก็เดาง่ายไป ผมชอบนะ ชอบมากด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เทหะยักษาเป็นตัวร้ายที่เท่เเละน่าเห็นใจนิดๆ เเถมปล่อยของออกมาเเบบไม่ยอมอ๊อด เล่นเอาอ๊อดเเทบไปคุยกับรากมะม่วงเลย
ดนตรีประกอบ : ได้วงออร์เครสต้ารบรรเลงสดๆ ของ ไรอัน ชอร์ เขาได้ทำให้หนังเรื่องนี้น่าจดจำมากๆ ด้วยดนตรีที่คุ้นหูหลายช่วง บางครั้งก็อบอุ่น บางครั้งก็เศร้าโศก บางครั้งก็หึกเหิม บางครั้งก็เหงาหงอย เข้ากับบรรยากาศ จนอยากให้ออก ในไอจูนเลย จะซื้อมาฟัง ผมไม่ยึดติดว่าใครมาทำหรอก ขอเเค่ดนตรีมันดีกับหนังก็พอ เเต่ยอมรับว่าการใช้เพลง ท้าของ Slot Machine ในบางฉากนี่ค่อนข้างขัดอยู่ประมาณนึงเลยเเหละ มันไม่เข้ากับบริบทของเรื่อง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ เพราะสักพักมันก็ลงล็อกเฉยเลย เเต่เพลง The Love I never Know ที่ใช้ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษดูจะเข้ากับหนังกว่า เเต่ก็เเล้วเเต่คนดูล่ะครับ
ข้อเสีย : หนังตัดภาพเร็วไปในบางช่วง ยังไม่ทันจะอิน ก็ตัดเเล้ว เเถมยังไม่ได้พาเราไปสำรวจตัวละครมากนัก เราจะเห็นเเค่อ๊อด กับ ภารกิจสำคัญของเขา ในขณะที่ตัวละครอื่นก็มีพื้นหลังเเซมๆเล็กๆ ซึ่งการมีการ์ตูนให้อ่านก่อนหน้า ถือว่าเป็นการปิดช่องโหว่ที่ดี เเต่สำหรับคนดูหนังเเล้ว จะมองว่ามันเป็นความไม่สมบูรณ์ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะหนังมันเล่าไม่ได้อยู่เเล้ว เเอบเสียดายบางเส้นเรื่องที่ใช้ไม่คุ้ม อย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รัชทายาทมีบทน้อยมาก ฟงเอ๋อ พี่ชายเสี่ยวหลานก็เช่นกัน เสี่ยวหลานก็ดูจะมีบทเเค่ช่วงเเรกกับกลางเรื่อง ช่วงท้ายเหมือนตัวประกอบ วาตะมีซีนน้อยไปนิด อยากให้มีเยอะกว่านี้ เเต่คนดูอาจจะรำคาญก็ได้ 5555
โดยคำตอบของเรื่องราวก็อยู่ในการ์ตูน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไม่ว่าจะเป็น การที่เสี่ยวหลานไปเอาเเผนที่ ผาสิ้นเทพ มาจากคนทรยศ การให้วาตะต้องเจอการสูญเสียอาณาจักรพร้อมพี่น้อง พรานทมิฬกับการถูกรุกรานโดยมนุษย์ เทหะยักษาต้องดิ้นรนเอาตัวรอดพร้อมน้องชาย จมื่นพันธ์กับเฒ่าใบ้ที่มีความหลังอันเจ็บปวด ฟงเอ๋อกับการพบรัชทายาทที่ดูจะเท่กว่าในหนัง อ๊อดกับการปล่อยวางหลังจากการพยายามสังหารเสือดำ เเล้วนึกขึ้นได้ ซึ่งไปมีผลในตอนเกือบท้ายเรื่องที่เขาให้อภัยพรานทมิฬหลังจากที่เขาฆ่าคนที่เขารักไป
ประเด็นของเรื่อง : หากมีศรัทธา ทุกอย่างจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะสูญเสียไปเท่าไหร่ ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
ผมนั่งดูจนจบ End Credit เเล้วปลื้มที่เห็นรายชื่อที่รายเรียงนั้น เป็นชื่อไทยที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลย มันน่าภูมิใจมากๆ
สรุปเเล้วนี่เป็นอนิเมชั่นที่ดีมากๆ เเต่ไม่ได้ดีขนาดเเบบทุนต่างประเทศ เเต่นี่มันอนิเมชั่นไทยที่ใช้เอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เเบบไม่ต้องบอกว่านี่ไทยนะ มันเป็นการประยุกต์ได้ดีเเล้วไม่ได้ยัดเยียดจนเกินไป คำสอนต่างๆในเรื่องมันดูเป็นสิ่งที่คนทั่วไปก็คงได้ยินมา เเต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้เเล้ว มันกลับพิเศษมากๆ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยศรัทธา เเละ 4 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์เเล้วว่าคุณทำมันได้ ขอให้เป้าหมายของหนังเรื่องนี้ไม่หยุดอยู่เเค่นี้นะ สู้เขาครับ
9/10 หนังมันก็ไม่ได้สมบูรณ์ขนาดให้เต็มสิบ เเต่มันขึ้นเเท่นอนิเมชั่นไทยอันดับหนึ่งในใจผมไปเรียบร้อยเเล้ว
ขอเเค่อย่าเพิ่งละทิ้ง "ศรัทธาใน อนิเมชั่นไทยเรื่องนี้" ซะก่อนล่ะครับ ผมจะรอดูความสำเร็จอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม
เเล้วใครที่คิดว่ามันไม่ดีเเต่ยังไม่ได้ดู ลองไปดูก่อนเถอะครับ เเล้วค่อยตัดสิน เอาใจของคุณไปดู
ไม่ว่าคุณจะจ่ายไปเท่าไหร่ หนึ่งชั่วโมงกว่าที่คุณเสียไปจากการดูหนังเรื่องนี้ มันคุ้มกับค่าตั๋วเเน่นอน
ขอบคุณครับ
รีวิว เรื่องที่ 4 : 9 ศาสตรา เเอนิเมชั่นไทยเรื่องเเรกที่ขออวยด้วย "ศรัทธา"
9 ศาสตรา ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตรงนี้
"เมื่ออาณาจักรรามเทพนครต้องถูกยึดครองโดยเหล่ายักษ์ที่นำโดย ท้าวเทหะยักษา มีเพียงความหวังเดียวที่เหลืออยู่ คือ ผู้ที่เกิดใต้ฤกษ์คำทำนาย จะสามารถใช้ศาสตราวุธที่เรียกว่า เก้าศาสตรา กอบกู้อาณาจักรในที่สุด "อ๊อด" หนุ่มชาวเลธรรมดาผู้มีอดีตฝังใจ ต้องเเบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เดิมพันด้วยศรัทธาที่มี ร่วมกับเหล่าผองเพื่อนอันได้เเก่ องค์ชายวณราวาตะที่ 3 วานรจากนครมะนีโคดที่ถูกพวกยักษ์บุกโจมตีย่อยยับ อสูรสีชาด บุรุษยักษ์ผู้สุขุมเเละเต็มไปด้วยความรู้เกี่ยวกับตำนาน เเละ เสี่ยวหลาน สลัดอากาศสาวที่มีเป้าหมายในการช่วยเหลือใครบางคนที่ถูกจับเป็นทาสที่รามเทพนคร พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ หรือคำทำนายจะเป็นเเค่เรื่องโกหกที่ถูกเเต่งขึ้น เพื่อความหวังลมเเล้งๆกันเเน่?"
สวัสดีครับ
จริงๆ ผมควรจะรีวิวนี้ตั้งเเต่หนังเข้าฉายวันเเรก เพราะผมได้ดูมาตั้งเเต่วันที่ 11 เเล้ว เเต่คิดว่ามันน่าจะเอามาเเบ่งปันกัน
เพราะงั้นสิ่งที่ผมจะพูด จะเรียกว่าอวยก็ได้ ยอมรับเลย (ฮา)
สำหรับ 9 ศาสตรานั้น ถือเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นสามมิติที่ทุ่มทุนสร้างสูงถึง 230 ล้านบาท ซึ่งผมถือว่านี่เป็นการลงทุนที่ทั้ง "เสี่ยง" เเละ "วัดใจ" คนทำมาก เพราะเหล่าผู้สร้างเองก็ไม่เคยทำหนังมาก่อน เเต่ด้วยใจรักเเละอยากเห็นหนังเรื่องนี้เป็น ตัวเบิกทาง ของวงการอนิเมชั่นไทย พวกเขาจึงใช้เวลา 4 ปี ในการทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งต้องบอกเลยว่า ผมประทับใจมาก มากจริงๆ ที่ทุนประมาณนี้ กับ งานที่ออกมา มันช่างน่าภูมิใจจริงๆ เเม้ในตอนนี้ศรัทธาของหนังเรื่องนี้จะยังไม่มากพอที่จะสามารถหวังในสิ่งที่คาดหวังได้ เเต่อย่าท้อไป
เเละจะไปสนใจทำไม ในเมื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้อะไรหลายอย่าง ที่ผม (ผมนะ) คิดว่ามันจะเป็นตำนานของวงการการ์ตูนไทยได้เลย
ในตอนที่เห็นตัวอย่างเเรกๆ ผมคิดนะว่ามันจะไหวรึเปล่า ทำไมมันดูเเข็งๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย คงไม่ดูหรอก ไม่มีเรื่องไหนทำผมอินได้เท่าก้านกล้วยภาคเเรกเเล้ว ภาคสองไม่นับนะเสียของ เเต่พอได้ไปไล่อ่านข้อมูลโดยบังเอิญโดยที่เพจหนังเขาเเชร์กัน จนไปถึง Prelude อย่าง การ์ตูนสั้นเล่าเนื้อเรื่องก่อนในหนัง ผมเลยเริ่มเบาใจเเล้วว่า เฮ้ย เนื้อเรื่องดูเกลามาดีอ่ะ มีที่มาที่ไป ไม่เเบนราบ เเถมเห็นสกู๊ปก่อนหนังเข้า จนได้ค่อยๆติดตามดู ตั้งเเต่ คาเเรกเตอร์ของตัวละคร ที่เพิ่งรู้ว่า ใช้นักเเสดงมาพากษ์ ซึ่งผมไม่เคยยึดติดอยู่เเล้วว่าใครจะมาพากษ์ เพราะผมมั่นใจ ว่าใช้เวลาคัดมาพากษ์ขนาดนี้ ต้องไม่ไก่กาเเน่ๆ
ในที่สุดผมก็ได้ชม ขอบอกก่อนเลยนะครับว่า มันดีจริงๆ
เนื้อเรื่อง : พล็อตผู้กล้าที่ถูกเลือก ความสิ้นหวังของอาณาจักร ผู้กอบกู้โลก ซึ่งฟังดูก็สูตรสำเร็จ เเต่รายละเอียดของมันนี่เเหละที่ทำให้มันไม่ดูซ้ำซากจนเกินไป เพราะมันใส่รายละเอียดเข้ามาได้ลงตัว เเบ่งองก์ของเรื่องได้ดี เดินเรื่องเร็ว ไม่ยิดเยื้อ มีจุดหักมุมที่คาดเดาไม่ยาก เเละมีฉากสุดสะเทือนใจอยู่หลายครั้ง คือมันดีเเหละ เเต่อาจจะไม่ดีสำหรับคนที่ต้องการเนื้อหาหนักๆเเบบต่างชาติ อาจเพราะว่าต้องการให้มันดูง่าย ขายได้ด้วย ซึ่งตรงจุดพอดี
ตัวละคร ขอเล่าที่ละตัวเลยนะครับ
อ๊อด : ไต้ฝุ่นพากษ์เป็นอ๊อดได้ดีมาก จนตอนนี้ผมยังจดจำเสียงไต้ฝุ่นเป็นอ๊อด เขาทุ่มเทกับงานนี้มากจนรู้สึกได้ อาจจะยังมีติดขัดช่วงเเรก เเต่ช่วงหลังๆกลับทำได้ดีมาก ฉากอารมณ์ของเขารู้สึกได้เลยว่าเขาเจ็บปวดจริงๆ ไม่ใช่การเเสดง (ดูเสียงอังกฤษยังไม่ได้อารมณ์เท่านี้เลย นี่ความคิดส่วนตัวนะครับ) เราจะได้เห็นเด็กหนุ่มชาวเลพูดจ้ะพูดจ๊าจนน่าหมั่นไส้ เเต่สักพักเราจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องเเบกรับภาระทุกอย่างจนเเทบระเบิด เเล้วค่อยๆเติบโต เป็นนักสู้หนุ่มที่เก่งกาจด้วยศรัทธา
เทหะยักษา : เสียงของคุณน็อตที่ปกติก็ใหญ่ คราวนี้ถูกบีบให้ใหญ่ขึ้นเเบบยักษ์ซึ่งก็น่าเกรงขามอยู่เเล้ว ฉากคำรามคือสุดๆไปเลย เสียดายที่พัฒนาของตัวละครนี้ถูกบอกเล่าในการ์ตูนไปเเล้ว เลยเห็นเเค่ด้านการโหยหาความยิ่งใหญ่เเละอำนาจจนน่ารำคาญไป เเต่ยอมรับว่าการเปิดฉาก เเละ องก์สุดท้ายคือโคตรเท่!
เสี่ยวหลาน : โบว์ สาวิตรี ที่เราได้เห็นเสียงหวานๆของเธอในละครมาเเล้วหลายเรื่อง จนพอมาดูเรื่องนี้อาจจะสะดุดไปบ้าง เเต่สักพักนึงก็เริ่มชินเสียงเธอเอง ผู้สร้างคงตั้งใจไม่ให้เธอเป็นผู้หญิงห้าวเเบบในเรื่องอื่นๆ เเต่ให้เป็น หญิงสาวผู้เข้มเเข็งที่ซ่อนความอ่อนโยนไว้ น้ำเสียงเลยออกมาเป็นเเบบนั้น ฉากเปิดตัวของเธอ คงมีคนร้องอู้วในโรงเเน่ ฉากดราม่าทำได้ดีเลยเเหละ เเถมเธอพูดภาษาจีนได้เท่มากๆ (ใช่ครับ โบว์ต้องพากษ์จีนเอง เเม้จะมีไม่กี่บทเเต่ก็นึกว่าเจ้าของภาษามาเอง)
วาตะ : มิวสิค AF ดูจะสนุกกับการพากษ์บทนี้จนดูล้นๆไปบ้าง เสียงดูเล่นใหญ่ เเต่ก็ชวนอมยิ้มได้ เเต่พอเข้าซีนอารมณ์ เขากลับทำได้ดีจนน่าพอใจ
อสูรสีชาด : พี่ชัย (ผู้พากษ์ไคโร เรน) พากษ์เป็นยักษ์เเดงผู้ทั้งใจดี ขี้เล่นเเละสุขุม เข้าขากับเจ้าวาตะเป็นอย่างดี ยิ่งฉากท้ายๆ คือเอาอีกพี่ เอาอีก(ชอบความสัมพันธ์คู่นี้ ปกป้องกันตลอดเลย)
พรานทมิฬ : พี่บ๊อบบี้ เคยพากษ์เป็น เชน นกยูงใจร้าย ใน กังฟูเเพนด้า 2 มาเเล้ว คงไม่มีใครจะกังขาว่าความทมิฬมันออกมาผ่านน้ำเสียง ความขมขื่นเเละความเจ็บปวดของเขามันสื่อออกมา ความเย็นชาเเละความอ่อนโยน จนคนอาจจะยกให้เป็นตัวละครที่มีมิติเยอะสุดเเล้วในเรื่อง จนตอนจบทุกคนถึงกับต้องยิ้มเลยล่ะครับ
งานภาพ : ละเอียดมาก พื้นผิวมันใช่เหรอ นี่คนไทยทำเหรอ ทำไมเขาใส่ใจลายละเอียดขนาดนี้ ผมมองไม่เห็นการเผาของงานเลย (ดูไม่ทั่วรึเปล่า) เเถมตัวละครที่ตอนเเรกการเคลื่อนไหว รูปร่าง ดูจะเเปลกๆ เเข็งๆ กลับค่อยๆกลมกลืนไปพร้อมกับเรื่องราว ซึ่งมันเจ๋งมาก ฉากต่างๆดูตั้งใจทำจริงๆ ฉากในเมืองรามเทพนครสวยมาก อนิเมชั่นผมไม่พูดว่ามันดีกว่าใครหรอก เรียกว่า "มีเอกลักษณ์ที่ผู้สร้างต้องการ" ดีกว่า เพราะมันดูจะไม่ได้สวยมาก เเต่ไม่ได้เเย่เลยในทุนประมาณนี้
การตัดต่อเเละฉากเเอ็คชั่น : ไม่รู้ว่าผมเล่นเกมบ่อยรึเปล่า เเต่มุมกล้องตัดฉับๆนี่โคตรชอบ มันเท่ มันฉลาด มันรวดเร็ว มันไม่อ้อยอิ่ง มันพร้อมฟาดฟันด้วยลำเเข้งตลอดเวลา มีช่วงให้ตัวละครปล่อยของอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเเต่ละครั้งก็ได้ผล เเต่บางครั้งก็เดาง่ายไป ผมชอบนะ ชอบมากด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดนตรีประกอบ : ได้วงออร์เครสต้ารบรรเลงสดๆ ของ ไรอัน ชอร์ เขาได้ทำให้หนังเรื่องนี้น่าจดจำมากๆ ด้วยดนตรีที่คุ้นหูหลายช่วง บางครั้งก็อบอุ่น บางครั้งก็เศร้าโศก บางครั้งก็หึกเหิม บางครั้งก็เหงาหงอย เข้ากับบรรยากาศ จนอยากให้ออก ในไอจูนเลย จะซื้อมาฟัง ผมไม่ยึดติดว่าใครมาทำหรอก ขอเเค่ดนตรีมันดีกับหนังก็พอ เเต่ยอมรับว่าการใช้เพลง ท้าของ Slot Machine ในบางฉากนี่ค่อนข้างขัดอยู่ประมาณนึงเลยเเหละ มันไม่เข้ากับบริบทของเรื่อง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ เพราะสักพักมันก็ลงล็อกเฉยเลย เเต่เพลง The Love I never Know ที่ใช้ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษดูจะเข้ากับหนังกว่า เเต่ก็เเล้วเเต่คนดูล่ะครับ
ข้อเสีย : หนังตัดภาพเร็วไปในบางช่วง ยังไม่ทันจะอิน ก็ตัดเเล้ว เเถมยังไม่ได้พาเราไปสำรวจตัวละครมากนัก เราจะเห็นเเค่อ๊อด กับ ภารกิจสำคัญของเขา ในขณะที่ตัวละครอื่นก็มีพื้นหลังเเซมๆเล็กๆ ซึ่งการมีการ์ตูนให้อ่านก่อนหน้า ถือว่าเป็นการปิดช่องโหว่ที่ดี เเต่สำหรับคนดูหนังเเล้ว จะมองว่ามันเป็นความไม่สมบูรณ์ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะหนังมันเล่าไม่ได้อยู่เเล้ว เเอบเสียดายบางเส้นเรื่องที่ใช้ไม่คุ้ม อย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยคำตอบของเรื่องราวก็อยู่ในการ์ตูน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเด็นของเรื่อง : หากมีศรัทธา ทุกอย่างจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะสูญเสียไปเท่าไหร่ ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
ผมนั่งดูจนจบ End Credit เเล้วปลื้มที่เห็นรายชื่อที่รายเรียงนั้น เป็นชื่อไทยที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลย มันน่าภูมิใจมากๆ
สรุปเเล้วนี่เป็นอนิเมชั่นที่ดีมากๆ เเต่ไม่ได้ดีขนาดเเบบทุนต่างประเทศ เเต่นี่มันอนิเมชั่นไทยที่ใช้เอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เเบบไม่ต้องบอกว่านี่ไทยนะ มันเป็นการประยุกต์ได้ดีเเล้วไม่ได้ยัดเยียดจนเกินไป คำสอนต่างๆในเรื่องมันดูเป็นสิ่งที่คนทั่วไปก็คงได้ยินมา เเต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้เเล้ว มันกลับพิเศษมากๆ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยศรัทธา เเละ 4 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์เเล้วว่าคุณทำมันได้ ขอให้เป้าหมายของหนังเรื่องนี้ไม่หยุดอยู่เเค่นี้นะ สู้เขาครับ
9/10 หนังมันก็ไม่ได้สมบูรณ์ขนาดให้เต็มสิบ เเต่มันขึ้นเเท่นอนิเมชั่นไทยอันดับหนึ่งในใจผมไปเรียบร้อยเเล้ว
ขอเเค่อย่าเพิ่งละทิ้ง "ศรัทธาใน อนิเมชั่นไทยเรื่องนี้" ซะก่อนล่ะครับ ผมจะรอดูความสำเร็จอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม
เเล้วใครที่คิดว่ามันไม่ดีเเต่ยังไม่ได้ดู ลองไปดูก่อนเถอะครับ เเล้วค่อยตัดสิน เอาใจของคุณไปดู
ไม่ว่าคุณจะจ่ายไปเท่าไหร่ หนึ่งชั่วโมงกว่าที่คุณเสียไปจากการดูหนังเรื่องนี้ มันคุ้มกับค่าตั๋วเเน่นอน
ขอบคุณครับ