เมืองเซบู
เซบูเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ จะเจอนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและเกาหลีได้ทั่วไปทั้งในเมืองและเกาะเล็กเกาะน้อย และที่เซบูยังมีสถาบันสอนภาษาหลายแห่งมากๆ นักเรียนต่างชาติก็เลยเยอะ คนเซบูก็จะคุ้นเคยกับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ต้อนรับขับสู้ และชอบชวนคุย นั่งเครื่องบิน นั่งรถ นั่งเรือ มักจะมีคนมาทักทายคุยด้วยประจำ ได้ฝึกภาษาทุกที่จริงๆ
เที่ยวไปในเซบู
โดยมาแล้วเราจะเรียกรถแท็กซี่ (มีทั้งแท็กซี่มิเตอร์ปกติ Uber และ Grab ให้เลือกใช้บริการ แท็กซี่ปกติจะถูกกว่า ส่วน Uber กับ Grab สามารถเช็คราคาได้ก่อน อันไหนถูกกว่าก็กดเรียกอันนั้น และส่วนมากจะคุยง่ายกว่าแท็กซี่ปกติ) จาก Mactan ข้ามสะพานซังฮี้ไปพระนคร …ไม่ใช่!... ข้าม Mactan-Mandaue Bridge ไปในเมืองเซบูและที่ต่างๆ บางครั้งที่ไปไกลๆ ก็ไปต่อรถทัวร์เอาบ้าง บางที่ก็ต้องไปต่อเรือ แต่เริ่มจากแท็กซี่หน้าโรงเรียนนี่แหละง่ายสุด
Fort San Pedro
เหมือนป้อมมหากาฬ ป้อมพระสุเมรุ เป็นป้อมทหารตั้งแต่สมัยที่ชาวสเปนเข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ โดยแรกเริ่มเดิมทีเป็นป้อมไม้ล้วนๆ (รูปวาดนี่ไม่ได้มโนวิธีสร้างเอาเองแล้วนะ 555 เค้ามีรูปวาดในตู้กระจกให้ดู ถ้าถ่ายมามันก็จะเห็นแสงสะท้อนบ้างเงาคนบ้าง เลยวาดตามเอา เหมือนไม่เหมือนไปเปิดดูในวิกิพีเดียเพื่อความมั่นใจได้) ต้นศตวรรษที่ 17 ได้มีการเปลี่ยนใช้หิน และศตวรรษที่ 18 ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน
ค่าเข้าชม Fort San Pedro คนละ 30 เปโซ (ประมาณ 20 บาท) ปัจจุบันเป็นเหมือนป้อมล้อมสวน เข้าไปเดินเล่น และเข้าไปในห้องนิทรรศการได้ มีรูปภาพเล่าเรื่องราวชนพื้นเมืองเก่าถูกสเปนเข้ามารุกราน และเราสามารถเดินเล่นรอบขอบกำแพงเพื่อชมวิวได้ (แต่แดดร้อนนะ)
Fort San Pedro
ห้องแสดงภาพวาดและสิ่งของการเข้ามาของสเปน
Casa Gorordo Museum
พิพิธภัณฑ์นี้เดิมทีเป็นบ้านธรรมดาแบบบ้านฟิลิปปินส์ดั้งเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 บ้านไม้ใต้ถุนคล้ายๆ บ้านริมน้ำของไทย ต่อมาครอบครัวขุนน้ำขุนนางของเมืองเซบูได้ซื้อแล้วก่อสร้างใหม่จนอล้าอลังมาก ปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังเก็บเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างของครอบครัวไว้ และมีส่วนของร้านขายของที่ระลึกและคาเฟ่ด้วย
ตัวพิพิธภัณฑ์ที่เป็นบ้านดั้งเดิม
ของใช้เก่าแก่
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 120 เปโซ เด็ก 80 เปโซ (ประมาณ 80 และ 50 บาท) จะมีแผ่นพับกับของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจเปลือกหอยให้ มีห้องให้ชมวิดิโอ 2 ห้อง และมีไกด์เล่าเรื่องราวของครอบครัวและอธิบายเกี่ยวกับแต่ละห้องในบ้านให้ฟังด้วย ในนี้ถ่ายรูปได้แต่ห้ามบันทึกวิดิโอนะจ๊ะ
ของในบ้านและการตกแต่งได้กลิ่นอายตะวันตกอยู่เยอะ แต่ก็มีของจีนๆ ด้วยเช่นกัน รอบบ้านหน้าต่างล้วนเปิดได้กว้างเพื่อรับลมรับแสง แต่มีบานอีกชั้นที่เป็นไม้ตีตารางแล้วกรุด้วยเปลือกหอยไว้สำหรับปิดทึบได้ (นึกถึงจีน ญี่ปุ่นก็จะเป็นกระดาษ ส่วนบ้านไทยสมัยก่อนก็จะเป็นไม้ล้วน) ด้วยความที่เป็นคนอินกับอะไรที่วินเทจๆ โบราณๆ ย้อนยุคเลยชอบมากกก ข้าวของนี่เห็นแล้วแบบ โอ๊ยยย งามแท้ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว มุมรับแขก ระเบียงยาวโล่ง นี่ชอบหมด เดินชมไปเหมือนจะระลึกชาติได้เบาๆ
มุมรับแขก
ของใช้บนโต๊ะเครื่องแป้งของเจ้าของห้องเดิมจริงๆ
เตียงนอนเป็นพื้นสาน ที่นอนบาง ทำให้นอนสบายไม่ร้อน
ห้องน้ำแบบยุโรปโบราณ
ครัวแบบยุโรปที่มีของจีนๆ อยู่บ้าง
ต้องบอกว่าพิพิธภัณฑ์นี้ทำได้น่าดูทีเดียว นอกจากเรื่องสถานที่ที่สวยอยู่แล้ว สื่อที่ทำไว้นอกจากวิดิโอ ก็ยังมีของเล่นอย่างภาพป๊อปอัพในกล่อง ที่มี QR Code ให้สแกนแล้วกดเล่น มีภาพ(แบบในกล่อง)และเสียงพูด(เหมือน caption ประกอบภาพ)ให้ฟัง
พอออกจากเรือนใหญ่ที่ชั้น 2 มีทางเชื่อมไปร้านขายของที่ระลึก ร้านก็ตกแต่งสวยงาม ของเป็นพวกพวงกุญแจ ของจุกจิก ของแต่งบ้าน จานชาม เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ไปยันหนังสือและสกินแคร์อะไรอีกหลายอย่าง ส่วนชั้นล่างของตึกนี้จะเป็นคาเฟ่นั่งกินนั่งพักผ่อนได้ บรรยากาศในนี้ดีมาก ออกจะเหมือนคนละซีกโลกกับภายนอกที่ถัดไปไม่ไกลกันอยู่สักหน่อย
โต๊ะของที่ระลึก
Yap-Sandiego Ancestral House
ถือเป็นบ้านเก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งในฟิลิปปินส์ สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และเจ้าของปัจจุบันยังคงเก็บรักษาไว้แม้มีคนมาเสนอขอซื้อก็ไม่ขาย เพราะตั้งใจอยากให้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเซบู
หลังคาบ้าน (รวมถึงหลังคาบ้านหลังอื่นๆ ในเซบูสมัยก่อนนั้น) จะทำจากดิน น้ำหนักหลังคาแผ่นนึงตก 1 กิโลกรัม (หนามากกก) ดังนั้นตัวบ้านเองก็ต้องแข็งแรงมากๆ บ้านทำจากไม้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุดตลอดกาล (ชื่อจำยากไปนิดแต่ใจความตามนี้แหละ) พื้นบ้านชั้นล่างเป็นพื้นดิน เข้าไปอาจรู้สึกชื้นๆ เฉอะๆ อยู่บ้างยิ่งถ้าหากเป็นช่วงฝนตก แต่ก็เดินได้นะ (ข้ามน้ำข้ามทะเลเอาบ้าง ^^”) ด้านข้างบ้านมีสวนและมีบ่อน้ำอธิษฐาน นั่งพักผ่อนได้ตามสบาย
เฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ มีการแกะสลักลวดลาย ข้าวของในบ้านก็ยังมีของเดิมๆ แสดงไว้เช่นกัน แต่อารมณ์จะต่างจาก Casa Gorordo Museum อันนั้นบ้านขุนนาง อันนี้ก็บ้านชาวบ้าน (บรรพบุรุษเจ้าของบ้านคนแรกเป็นพ่อค้าคนจีนก็ถือว่าพอมีฐานะหน่อย) ขนาดของบ้านและของใช้ต่างๆ เลยเห็นได้ชัดว่าคนละระดับ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในบ้านฟิลิปปินส์ที่ไม่ว่าจะบ้านชนชั้นไหนคือรูปปั้นพระแม่มารีและพระเยซูตอนเด็ก ย้ำว่า "ตอนเด็ก" (จริงๆ มีที่เห็นชัดกว่านี้ องค์ใหญ่กว่านี้ แต่ไม่ได้ถ่ายมา จริงๆ คือรู้สึกกลัวนิด ><”) ซึ่งจะพบเห็นได้ทั่วเมืองเลยนะ ทุกที่ แม้แต่ลายข้างรถโดยสารก็ยังเพ้นท์เป็นรูปนี้กันเยอะ ไปไหนๆ ก็จะเห็นตลอด
สวนที่มีบ่อน้ำอธิษฐาน
บ้านทำจากไม้ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแรงที่สุดในโลก
หิ้งพระของบ้านฟิลิปปินส์
ที่นี่มีคนเฝ้าด้านหน้าเก็บค่าเข้าคนละ 50 เปโซ (ประมาณ 30 กว่าบาท เด็กไม่เสีย) แต่คนเฝ้าจะไม่ไกด์ไม่แนะนำอะไรเลย เดินดูเอาเองตามสบาย ใครอยากนั่งนานหรือออกเร็วก็ตามสะดวกจ้ะ
Whale Shark Watching
เค้าว่า...มาถึงเซบูต้องไปดูฉลามวาฬที่ Oslob นี่ก็เชื่อคนง่ายนะเลยไป
ออกจาก Philinter Education Center ตั้งแต่ตี 4 นั่งแท็กซี่จาก Lapu-Lapu ไป South Terminal ประมาณครึ่งชั่วโมง นั่งรถทัวร์ต่อไปถึง Oslob อีก 3 ชั่วโมงกว่า (ค่ารถทัวร์คนละ 177 เปโซ ประมาณ 120 บาท) ช่วงท้ายทางค่อนข้างแคบ คดเคี้ยว และขรุขระ นอนไม่พอ ท้องว่าง และทางเหวี่ยง เลยทำเอาหมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ต้องนั่งพักหายใจ กินข้าว แล้วค่อยเตรียมตัวลงไปหาฉลามวาฬ
ค่าดูฉลามวาฬถ้านั่งดูบนเรือไม่ลงน้ำคนละ 500 เปโซ (ประมาณ 350 บาท) ถ้าลงน้ำด้วยมีอุปกรณ์ snorkeling ให้ คนละ 1,000 เปโซ (ประมาณ 700 บาท) ค่าธรรมเนียมการเข้า 100 เปโซ (ประมาณ 70 บาท) พวกเราก็ต้องเลือกลงน้ำสิเนอะ ทุ่มเทมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องไปให้มันสุด
ก่อนลงเรือพาไปกลางน้ำหาฉลามวาฬจะต้องฟังคำอธิบายกฎระเบียบต่างๆ คือ ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายรูปฉลามวาฬ, ห้ามทาครีมกันแดดลงน้ำ, ห้ามให้อาหารฉลามวาฬ, ห้ามสัมผัสตัวฉลามวาฬ และให้อยู่ห่างฉลามวาฬในระยะ 4 เมตรขึ้นไป จากนั้นก็ไปรับชูชีพและอุปกรณ์ดำน้ำตื้นแล้วลงเรือกัน แต่ละลำจะมีเวลาไปอยู่ชมฉลามวาฬ 30 นาที
แล้วในที่สุดเราก็ได้เจอกัน...นางน่ารักกว่าที่คิดนะ (คือตอนแรกแอบกลัว ไปว่ายใกล้มันจะดีเหรอออ) แต่พอเห็นจริงๆ แล้วนางไม่น่ากลัว ว่าจะถ่ายรูปคู่กับนางแต่ดันลืมเปลี่ยนถ่านไม้เซลฟี่ เลยได้แต่รูปเดี่ยวนางมาแทน ตอนที่ไปก็เจอหลายตัวว่ายวนเวียนกันไปมา บางทีก็มา 2 ตัวพร้อมกัน ที่จริงก็ถ่ายมาหลายรูปนะแต่ลงรูปเดียวเพราะรูปนี้เห็นเต็มตัวที่สุด ส่วนรูปที่ใกล้สุดเป็นหน้านางกำลังมุ่งหน้ามาทางเรา นี่ก็อยากถ่ายแต่ก็อยากหนี เลยยื่นแต่มือไปถ่ายพร้อมเอาตัวหนีตะกายโผล่จากน้ำมาเกาะไม้ข้างเรือ แอบเสียวนิดๆ กรี๊ดกร๊าดกันหน่อยๆ แต่ก็ยังสู้ดำผุดดำว่ายจนได้มาหลายรูป สุดท้ายคือมึน มึนกลิ่นอาหารฉลามวาฬ (เป็นกุ้งฝอยยังไงไม่รู้แต่กลิ่นเหมือนอาหารทะเลเน่าชวนปวดหัวมาก) บวกกับการผุดขึ้นผุดลง บวกกับพอมาเกาะเรือเพื่อพักก็โคลงเคลงตลอดเวลา เลยกลายเป็นอยากอาเจียนแทน
ขึ้นฝั่งกันมาแบบมึนๆ อึนๆ ต้องนั่งพักอีกรอบก่อนตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนต่อ
Tumalog Falls
ก่อนไป Oslob กะว่าจะไป Kawasan Falls กันต่อหลังจากดูฉลามวาฬ จะออกแนว adventure ต้องกระโดดลงน้ำตก โรยตัวสไลด์ ล่องแพ ซอกแซกกันไป แต่หลังจากปวดหัวตึ้บกันมาตั้งแต่ตี 4 เลยต้องเปลี่ยนใจ ขอน้ำตกสวยๆ แต่ไปแบบเบาๆ แทน ไม่งั้นร่างพินาศกลับไม่ไหวแน่นอน
สรุปไปต่อกันที่ Tumalog Falls นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากที่ดูฉลามวาฬราคาไป-กลับ (เค้าไปส่งถึงปากทางน้ำตกแล้วจะไปรับกลับลงมาจุดเดิม เพราะไม่ว่าจะไปไหนต่อต้องกลับลงมาก่อน) 120 เปโซต่อคน (ประมาณ 80 บาท) แล้วไปต่อมอเตอร์ไซค์อีกรอบจากปากทางไปถึงจุดเข้าน้ำตกคนละ 50 เปโซ (ประมาณ 35 บาท) ไปส่งและไปรับกลับเช่นกัน แต่จุดนี้บางคนก็เดินเอา จริงๆ ไม่ไกลนักแต่เนินสูงชันมากกก และเรายังเปลี้ยร่างกันอยู่เลยจ่ายอย่างเดียว
ค่าเข้าน้ำตกคนละ 20 เปโซ (ประมาณ 14 บาทเท่านั้น) เป็นน้ำตกที่เป็นผาเดียวแล้วตกลงมาเหมือนม่านสวยมาก แอ่งน้ำลงว่ายได้แต่เราไม่ได้ลงกันเพราะหนาว แค่ละอองน้ำที่กระเซ็นมาก็เย็นแล้ว รอบๆ ป่าเขียวร่มรื่น เป็นคนชอบน้ำตกอยู่แล้วก็เลยดื่มด่ำและอินกับน้ำตก ถ่ายรูปมาไม่สวยเท่าของจริง เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะถ่ายพาโนมา โธ่!
บรรยากาศร่มรื่น
ให้ลูกเป็นนางแบบนี่ก็จ่ายร้อยเล่นล้านเลยแหม่ (จริงๆ มีรูปที่ acting อินเนอร์มาเต็มยิ่งกว่านี้ แต่เป็นภาพเต็มตัว ด้วยความที่ใส่ชุดว่ายน้ำเลยขอเก็บเอาไว้ให้คนกันเองดูพอนะ) นำทางบอกว่านำทางชอบ อยากเป็นนางแบบ โอเคๆ ไว้จัดให้ใหม่ชุดใหญ่ไฟกระพริบทำ photo book ให้เลยงี้
สวยๆ เย็นๆ
Acting นี้ได้แต่ใดมา
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ยังไม่หมดนะคะกับการเที่ยวในเซบู
[SR] รีวิว : สถานที่เที่ยวในเซบู ฟิลิปปินส์ ที่จริงก็มีอะไรเจ๋งๆอยู่เยอะนะ
เซบูเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ จะเจอนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและเกาหลีได้ทั่วไปทั้งในเมืองและเกาะเล็กเกาะน้อย และที่เซบูยังมีสถาบันสอนภาษาหลายแห่งมากๆ นักเรียนต่างชาติก็เลยเยอะ คนเซบูก็จะคุ้นเคยกับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ต้อนรับขับสู้ และชอบชวนคุย นั่งเครื่องบิน นั่งรถ นั่งเรือ มักจะมีคนมาทักทายคุยด้วยประจำ ได้ฝึกภาษาทุกที่จริงๆ
เที่ยวไปในเซบู
โดยมาแล้วเราจะเรียกรถแท็กซี่ (มีทั้งแท็กซี่มิเตอร์ปกติ Uber และ Grab ให้เลือกใช้บริการ แท็กซี่ปกติจะถูกกว่า ส่วน Uber กับ Grab สามารถเช็คราคาได้ก่อน อันไหนถูกกว่าก็กดเรียกอันนั้น และส่วนมากจะคุยง่ายกว่าแท็กซี่ปกติ) จาก Mactan ข้ามสะพานซังฮี้ไปพระนคร …ไม่ใช่!... ข้าม Mactan-Mandaue Bridge ไปในเมืองเซบูและที่ต่างๆ บางครั้งที่ไปไกลๆ ก็ไปต่อรถทัวร์เอาบ้าง บางที่ก็ต้องไปต่อเรือ แต่เริ่มจากแท็กซี่หน้าโรงเรียนนี่แหละง่ายสุด
Fort San Pedro
เหมือนป้อมมหากาฬ ป้อมพระสุเมรุ เป็นป้อมทหารตั้งแต่สมัยที่ชาวสเปนเข้ามายึดครองฟิลิปปินส์ โดยแรกเริ่มเดิมทีเป็นป้อมไม้ล้วนๆ (รูปวาดนี่ไม่ได้มโนวิธีสร้างเอาเองแล้วนะ 555 เค้ามีรูปวาดในตู้กระจกให้ดู ถ้าถ่ายมามันก็จะเห็นแสงสะท้อนบ้างเงาคนบ้าง เลยวาดตามเอา เหมือนไม่เหมือนไปเปิดดูในวิกิพีเดียเพื่อความมั่นใจได้) ต้นศตวรรษที่ 17 ได้มีการเปลี่ยนใช้หิน และศตวรรษที่ 18 ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน
ค่าเข้าชม Fort San Pedro คนละ 30 เปโซ (ประมาณ 20 บาท) ปัจจุบันเป็นเหมือนป้อมล้อมสวน เข้าไปเดินเล่น และเข้าไปในห้องนิทรรศการได้ มีรูปภาพเล่าเรื่องราวชนพื้นเมืองเก่าถูกสเปนเข้ามารุกราน และเราสามารถเดินเล่นรอบขอบกำแพงเพื่อชมวิวได้ (แต่แดดร้อนนะ)
Casa Gorordo Museum
พิพิธภัณฑ์นี้เดิมทีเป็นบ้านธรรมดาแบบบ้านฟิลิปปินส์ดั้งเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 บ้านไม้ใต้ถุนคล้ายๆ บ้านริมน้ำของไทย ต่อมาครอบครัวขุนน้ำขุนนางของเมืองเซบูได้ซื้อแล้วก่อสร้างใหม่จนอล้าอลังมาก ปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังเก็บเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างของครอบครัวไว้ และมีส่วนของร้านขายของที่ระลึกและคาเฟ่ด้วย
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 120 เปโซ เด็ก 80 เปโซ (ประมาณ 80 และ 50 บาท) จะมีแผ่นพับกับของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจเปลือกหอยให้ มีห้องให้ชมวิดิโอ 2 ห้อง และมีไกด์เล่าเรื่องราวของครอบครัวและอธิบายเกี่ยวกับแต่ละห้องในบ้านให้ฟังด้วย ในนี้ถ่ายรูปได้แต่ห้ามบันทึกวิดิโอนะจ๊ะ
ของในบ้านและการตกแต่งได้กลิ่นอายตะวันตกอยู่เยอะ แต่ก็มีของจีนๆ ด้วยเช่นกัน รอบบ้านหน้าต่างล้วนเปิดได้กว้างเพื่อรับลมรับแสง แต่มีบานอีกชั้นที่เป็นไม้ตีตารางแล้วกรุด้วยเปลือกหอยไว้สำหรับปิดทึบได้ (นึกถึงจีน ญี่ปุ่นก็จะเป็นกระดาษ ส่วนบ้านไทยสมัยก่อนก็จะเป็นไม้ล้วน) ด้วยความที่เป็นคนอินกับอะไรที่วินเทจๆ โบราณๆ ย้อนยุคเลยชอบมากกก ข้าวของนี่เห็นแล้วแบบ โอ๊ยยย งามแท้ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว มุมรับแขก ระเบียงยาวโล่ง นี่ชอบหมด เดินชมไปเหมือนจะระลึกชาติได้เบาๆ
ต้องบอกว่าพิพิธภัณฑ์นี้ทำได้น่าดูทีเดียว นอกจากเรื่องสถานที่ที่สวยอยู่แล้ว สื่อที่ทำไว้นอกจากวิดิโอ ก็ยังมีของเล่นอย่างภาพป๊อปอัพในกล่อง ที่มี QR Code ให้สแกนแล้วกดเล่น มีภาพ(แบบในกล่อง)และเสียงพูด(เหมือน caption ประกอบภาพ)ให้ฟัง
พอออกจากเรือนใหญ่ที่ชั้น 2 มีทางเชื่อมไปร้านขายของที่ระลึก ร้านก็ตกแต่งสวยงาม ของเป็นพวกพวงกุญแจ ของจุกจิก ของแต่งบ้าน จานชาม เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ไปยันหนังสือและสกินแคร์อะไรอีกหลายอย่าง ส่วนชั้นล่างของตึกนี้จะเป็นคาเฟ่นั่งกินนั่งพักผ่อนได้ บรรยากาศในนี้ดีมาก ออกจะเหมือนคนละซีกโลกกับภายนอกที่ถัดไปไม่ไกลกันอยู่สักหน่อย
Yap-Sandiego Ancestral House
ถือเป็นบ้านเก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งในฟิลิปปินส์ สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และเจ้าของปัจจุบันยังคงเก็บรักษาไว้แม้มีคนมาเสนอขอซื้อก็ไม่ขาย เพราะตั้งใจอยากให้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเซบู
หลังคาบ้าน (รวมถึงหลังคาบ้านหลังอื่นๆ ในเซบูสมัยก่อนนั้น) จะทำจากดิน น้ำหนักหลังคาแผ่นนึงตก 1 กิโลกรัม (หนามากกก) ดังนั้นตัวบ้านเองก็ต้องแข็งแรงมากๆ บ้านทำจากไม้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุดตลอดกาล (ชื่อจำยากไปนิดแต่ใจความตามนี้แหละ) พื้นบ้านชั้นล่างเป็นพื้นดิน เข้าไปอาจรู้สึกชื้นๆ เฉอะๆ อยู่บ้างยิ่งถ้าหากเป็นช่วงฝนตก แต่ก็เดินได้นะ (ข้ามน้ำข้ามทะเลเอาบ้าง ^^”) ด้านข้างบ้านมีสวนและมีบ่อน้ำอธิษฐาน นั่งพักผ่อนได้ตามสบาย
เฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ มีการแกะสลักลวดลาย ข้าวของในบ้านก็ยังมีของเดิมๆ แสดงไว้เช่นกัน แต่อารมณ์จะต่างจาก Casa Gorordo Museum อันนั้นบ้านขุนนาง อันนี้ก็บ้านชาวบ้าน (บรรพบุรุษเจ้าของบ้านคนแรกเป็นพ่อค้าคนจีนก็ถือว่าพอมีฐานะหน่อย) ขนาดของบ้านและของใช้ต่างๆ เลยเห็นได้ชัดว่าคนละระดับ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในบ้านฟิลิปปินส์ที่ไม่ว่าจะบ้านชนชั้นไหนคือรูปปั้นพระแม่มารีและพระเยซูตอนเด็ก ย้ำว่า "ตอนเด็ก" (จริงๆ มีที่เห็นชัดกว่านี้ องค์ใหญ่กว่านี้ แต่ไม่ได้ถ่ายมา จริงๆ คือรู้สึกกลัวนิด ><”) ซึ่งจะพบเห็นได้ทั่วเมืองเลยนะ ทุกที่ แม้แต่ลายข้างรถโดยสารก็ยังเพ้นท์เป็นรูปนี้กันเยอะ ไปไหนๆ ก็จะเห็นตลอด
ที่นี่มีคนเฝ้าด้านหน้าเก็บค่าเข้าคนละ 50 เปโซ (ประมาณ 30 กว่าบาท เด็กไม่เสีย) แต่คนเฝ้าจะไม่ไกด์ไม่แนะนำอะไรเลย เดินดูเอาเองตามสบาย ใครอยากนั่งนานหรือออกเร็วก็ตามสะดวกจ้ะ
Whale Shark Watching
เค้าว่า...มาถึงเซบูต้องไปดูฉลามวาฬที่ Oslob นี่ก็เชื่อคนง่ายนะเลยไป
ออกจาก Philinter Education Center ตั้งแต่ตี 4 นั่งแท็กซี่จาก Lapu-Lapu ไป South Terminal ประมาณครึ่งชั่วโมง นั่งรถทัวร์ต่อไปถึง Oslob อีก 3 ชั่วโมงกว่า (ค่ารถทัวร์คนละ 177 เปโซ ประมาณ 120 บาท) ช่วงท้ายทางค่อนข้างแคบ คดเคี้ยว และขรุขระ นอนไม่พอ ท้องว่าง และทางเหวี่ยง เลยทำเอาหมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ต้องนั่งพักหายใจ กินข้าว แล้วค่อยเตรียมตัวลงไปหาฉลามวาฬ
ค่าดูฉลามวาฬถ้านั่งดูบนเรือไม่ลงน้ำคนละ 500 เปโซ (ประมาณ 350 บาท) ถ้าลงน้ำด้วยมีอุปกรณ์ snorkeling ให้ คนละ 1,000 เปโซ (ประมาณ 700 บาท) ค่าธรรมเนียมการเข้า 100 เปโซ (ประมาณ 70 บาท) พวกเราก็ต้องเลือกลงน้ำสิเนอะ ทุ่มเทมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องไปให้มันสุด
ก่อนลงเรือพาไปกลางน้ำหาฉลามวาฬจะต้องฟังคำอธิบายกฎระเบียบต่างๆ คือ ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายรูปฉลามวาฬ, ห้ามทาครีมกันแดดลงน้ำ, ห้ามให้อาหารฉลามวาฬ, ห้ามสัมผัสตัวฉลามวาฬ และให้อยู่ห่างฉลามวาฬในระยะ 4 เมตรขึ้นไป จากนั้นก็ไปรับชูชีพและอุปกรณ์ดำน้ำตื้นแล้วลงเรือกัน แต่ละลำจะมีเวลาไปอยู่ชมฉลามวาฬ 30 นาที
แล้วในที่สุดเราก็ได้เจอกัน...นางน่ารักกว่าที่คิดนะ (คือตอนแรกแอบกลัว ไปว่ายใกล้มันจะดีเหรอออ) แต่พอเห็นจริงๆ แล้วนางไม่น่ากลัว ว่าจะถ่ายรูปคู่กับนางแต่ดันลืมเปลี่ยนถ่านไม้เซลฟี่ เลยได้แต่รูปเดี่ยวนางมาแทน ตอนที่ไปก็เจอหลายตัวว่ายวนเวียนกันไปมา บางทีก็มา 2 ตัวพร้อมกัน ที่จริงก็ถ่ายมาหลายรูปนะแต่ลงรูปเดียวเพราะรูปนี้เห็นเต็มตัวที่สุด ส่วนรูปที่ใกล้สุดเป็นหน้านางกำลังมุ่งหน้ามาทางเรา นี่ก็อยากถ่ายแต่ก็อยากหนี เลยยื่นแต่มือไปถ่ายพร้อมเอาตัวหนีตะกายโผล่จากน้ำมาเกาะไม้ข้างเรือ แอบเสียวนิดๆ กรี๊ดกร๊าดกันหน่อยๆ แต่ก็ยังสู้ดำผุดดำว่ายจนได้มาหลายรูป สุดท้ายคือมึน มึนกลิ่นอาหารฉลามวาฬ (เป็นกุ้งฝอยยังไงไม่รู้แต่กลิ่นเหมือนอาหารทะเลเน่าชวนปวดหัวมาก) บวกกับการผุดขึ้นผุดลง บวกกับพอมาเกาะเรือเพื่อพักก็โคลงเคลงตลอดเวลา เลยกลายเป็นอยากอาเจียนแทน
ขึ้นฝั่งกันมาแบบมึนๆ อึนๆ ต้องนั่งพักอีกรอบก่อนตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนต่อ
Tumalog Falls
ก่อนไป Oslob กะว่าจะไป Kawasan Falls กันต่อหลังจากดูฉลามวาฬ จะออกแนว adventure ต้องกระโดดลงน้ำตก โรยตัวสไลด์ ล่องแพ ซอกแซกกันไป แต่หลังจากปวดหัวตึ้บกันมาตั้งแต่ตี 4 เลยต้องเปลี่ยนใจ ขอน้ำตกสวยๆ แต่ไปแบบเบาๆ แทน ไม่งั้นร่างพินาศกลับไม่ไหวแน่นอน
สรุปไปต่อกันที่ Tumalog Falls นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากที่ดูฉลามวาฬราคาไป-กลับ (เค้าไปส่งถึงปากทางน้ำตกแล้วจะไปรับกลับลงมาจุดเดิม เพราะไม่ว่าจะไปไหนต่อต้องกลับลงมาก่อน) 120 เปโซต่อคน (ประมาณ 80 บาท) แล้วไปต่อมอเตอร์ไซค์อีกรอบจากปากทางไปถึงจุดเข้าน้ำตกคนละ 50 เปโซ (ประมาณ 35 บาท) ไปส่งและไปรับกลับเช่นกัน แต่จุดนี้บางคนก็เดินเอา จริงๆ ไม่ไกลนักแต่เนินสูงชันมากกก และเรายังเปลี้ยร่างกันอยู่เลยจ่ายอย่างเดียว
ค่าเข้าน้ำตกคนละ 20 เปโซ (ประมาณ 14 บาทเท่านั้น) เป็นน้ำตกที่เป็นผาเดียวแล้วตกลงมาเหมือนม่านสวยมาก แอ่งน้ำลงว่ายได้แต่เราไม่ได้ลงกันเพราะหนาว แค่ละอองน้ำที่กระเซ็นมาก็เย็นแล้ว รอบๆ ป่าเขียวร่มรื่น เป็นคนชอบน้ำตกอยู่แล้วก็เลยดื่มด่ำและอินกับน้ำตก ถ่ายรูปมาไม่สวยเท่าของจริง เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะถ่ายพาโนมา โธ่!
ให้ลูกเป็นนางแบบนี่ก็จ่ายร้อยเล่นล้านเลยแหม่ (จริงๆ มีรูปที่ acting อินเนอร์มาเต็มยิ่งกว่านี้ แต่เป็นภาพเต็มตัว ด้วยความที่ใส่ชุดว่ายน้ำเลยขอเก็บเอาไว้ให้คนกันเองดูพอนะ) นำทางบอกว่านำทางชอบ อยากเป็นนางแบบ โอเคๆ ไว้จัดให้ใหม่ชุดใหญ่ไฟกระพริบทำ photo book ให้เลยงี้
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ยังไม่หมดนะคะกับการเที่ยวในเซบู
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น