เด็ก ป.6 ที่เดินกร่าง ๆ มักจะถูกรุ่นพี่ขาโจ๋ ม.1 ทดสอบด้วยการตบปากกา หรือ ท้าต่อย เนืองๆ เรื่องแบบนี้มามีเหตุให้ต้องปะทะกับป่อง เพื่อนของผมเข้าให้ ป่องไม่ได้กร่างหรอก เพียงแต่มันตัวโตกว่าเด็กรุ่นเดียวกันและตาโตๆของมันก็ไม่ค่อยกลัวใคร รุ่นพี่ร่างบางเหมือนจิ้งจกถูกประตูหนีบ ยืนขวางทางแล้วบอกว่าจะพาน้องชายที่ตัวโตเท่ากับป่องไปต่อยตัวต่อตัวที่หลังโรงเรียน (ในใจผมคิดว่า ไมไม่ต่อยเองวะ ไอ้พี่จิ้งจก) ป่องรับนัดโดยไม่คิดอะไรเลยและหันทางผม
"ไปกับกู อ้าว" (แต่ในใจผมคิดว่า บรรลัยแล้วผม เรื่องกินไม่มีหนี เรื่องต่อยตีกูไม่สู้คน)
ใต้ต้นมะขวิดต้นใหญ่ เย็นวันนั้น ไม่ใช่มีคู่เราคู่เดียวที่นัดกันมาทำกิจกรรมความเป็นลูกผู้ชาย กิจจา เพื่อนหน้าตี๋ตาตี่ห้องเดียวกับผมกำลังต่อยกับรุ่นพี่ ม.1 อีกคนอยู่อยู่ตรงนั้น รุ่นพี่ตัวใหญ่กว่ากิจจานิดหน่อย เสียงหมัด เสียงเตะ ที่กระโดดสวนเตะกันเหมือนหนังกำลังภายใน ที่จะเตะกันต้องกระโดดตัวลอยๆ เสียงแข้งกะทบกันดังแน่นๆ มันประสานกับเสียงกองเชียร์ราวๆ 7 – 8 คน นาทีเดียวไม่เกิน ภาพการปะทะกันแบบจอมยุทธก็กลายเป็นมวยวัด มวยปล้ำ เด็กชายสองคนโผเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นดิน เสื้อผ้ามอมแมม ฝุ่นฟุ้งกระจาย กิจจารัดคอคู่ชกเขาแน่น เหมือนหน้ากากเสือทำกับคู่ชกของเขา อีกฝ่ายดิ้นหนีเหมือนจะยิ่งแน่นหายใจไม่ออก ขาสะบัดเหมือนหางปลาเด้นเร่าๆยามติดเบ็ด เพื่อนของรุ่นพี่เห็นท่าไม่ดี กรูกันเข้ามาแยก ร้องบอก พอๆ สุดท้ายทั้งคู่จับมือกันเลิกรากัน อีกฝ่ายเดินคอเอียงไปคว้ากระเป๋านักเรียนหิ้วกลับบ้านพร้อมเพื่อนกองเชียร์ทั้งหมดตรงนั้น
ชัยชนะเป็นของกิจจาอย่างแท้จริง ผมยังสงสัยว่า กิจจามายังไงคนเดียว ถ้าโดนรุม มันคงเละ กับป่องมันยังชวนผมมาเป็นเพื่อน พาลคิดไปว่าถ้าวันนี้ป่องโดนรุม ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะช่วยมันยังไง จะต่อยตีกับใครยังไง เพราะผมไม่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้เอาเลย กิจจายิ้มตาหยีให้ผมกับป่องด้วยใบหน้าที่บวมตุ่ยเพราะพิษหมัด รอยช้ำมันชัดมากบนหน้าขาวๆ ของเขา กิจจาถามว่า
“ป่องจะชกกับใคร เดี๋ยวกูช่วย”
เพราะคำนั้นเองที่ทำให้เด็กรุ่นน้องกับรุ่นพี่ที่จะมาชกกับป่องเปลี่ยนใจซะดื้อๆ พวกเขายกเลิกการชกที่น่าจะเป็นการมารุมเสียมากกว่าโดยอ้างว่า เย็นแล้วต้องรีบกลับบ้าน ผมล่ะดีใจที่ไม่ต้องดูป่องโดนชก หรือต้องไปชกด้วยถ้ามันโดนรุม ก่อนออกจากสนามมวยชั่วคราว ไม่ให้เสียเที่ยว ผมเก็บมะขวิดที่หล่นอยู่บนลานนั้นไปกินด้วยสองลูก
ขณะที่ผมกำลังจะชึ้นสองแถวกลับบ้าน ป่องถามผมว่า "จะช่วยกูไหม ถ้ากูโดนรุม"
ผมบอกว่า
"ช่วยสิ เพื่อนกูนิ" (แต่ในใจผมคิดว่า ต่อยตีกูไม่ถนัด แต่ถ้าข่วนและดึงผมก็พอได้ 5555)
มะขวิด (เรื่องสั้นวัยประถม)
"ไปกับกู อ้าว" (แต่ในใจผมคิดว่า บรรลัยแล้วผม เรื่องกินไม่มีหนี เรื่องต่อยตีกูไม่สู้คน)
ใต้ต้นมะขวิดต้นใหญ่ เย็นวันนั้น ไม่ใช่มีคู่เราคู่เดียวที่นัดกันมาทำกิจกรรมความเป็นลูกผู้ชาย กิจจา เพื่อนหน้าตี๋ตาตี่ห้องเดียวกับผมกำลังต่อยกับรุ่นพี่ ม.1 อีกคนอยู่อยู่ตรงนั้น รุ่นพี่ตัวใหญ่กว่ากิจจานิดหน่อย เสียงหมัด เสียงเตะ ที่กระโดดสวนเตะกันเหมือนหนังกำลังภายใน ที่จะเตะกันต้องกระโดดตัวลอยๆ เสียงแข้งกะทบกันดังแน่นๆ มันประสานกับเสียงกองเชียร์ราวๆ 7 – 8 คน นาทีเดียวไม่เกิน ภาพการปะทะกันแบบจอมยุทธก็กลายเป็นมวยวัด มวยปล้ำ เด็กชายสองคนโผเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นดิน เสื้อผ้ามอมแมม ฝุ่นฟุ้งกระจาย กิจจารัดคอคู่ชกเขาแน่น เหมือนหน้ากากเสือทำกับคู่ชกของเขา อีกฝ่ายดิ้นหนีเหมือนจะยิ่งแน่นหายใจไม่ออก ขาสะบัดเหมือนหางปลาเด้นเร่าๆยามติดเบ็ด เพื่อนของรุ่นพี่เห็นท่าไม่ดี กรูกันเข้ามาแยก ร้องบอก พอๆ สุดท้ายทั้งคู่จับมือกันเลิกรากัน อีกฝ่ายเดินคอเอียงไปคว้ากระเป๋านักเรียนหิ้วกลับบ้านพร้อมเพื่อนกองเชียร์ทั้งหมดตรงนั้น
ชัยชนะเป็นของกิจจาอย่างแท้จริง ผมยังสงสัยว่า กิจจามายังไงคนเดียว ถ้าโดนรุม มันคงเละ กับป่องมันยังชวนผมมาเป็นเพื่อน พาลคิดไปว่าถ้าวันนี้ป่องโดนรุม ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะช่วยมันยังไง จะต่อยตีกับใครยังไง เพราะผมไม่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้เอาเลย กิจจายิ้มตาหยีให้ผมกับป่องด้วยใบหน้าที่บวมตุ่ยเพราะพิษหมัด รอยช้ำมันชัดมากบนหน้าขาวๆ ของเขา กิจจาถามว่า
“ป่องจะชกกับใคร เดี๋ยวกูช่วย”
เพราะคำนั้นเองที่ทำให้เด็กรุ่นน้องกับรุ่นพี่ที่จะมาชกกับป่องเปลี่ยนใจซะดื้อๆ พวกเขายกเลิกการชกที่น่าจะเป็นการมารุมเสียมากกว่าโดยอ้างว่า เย็นแล้วต้องรีบกลับบ้าน ผมล่ะดีใจที่ไม่ต้องดูป่องโดนชก หรือต้องไปชกด้วยถ้ามันโดนรุม ก่อนออกจากสนามมวยชั่วคราว ไม่ให้เสียเที่ยว ผมเก็บมะขวิดที่หล่นอยู่บนลานนั้นไปกินด้วยสองลูก
ขณะที่ผมกำลังจะชึ้นสองแถวกลับบ้าน ป่องถามผมว่า "จะช่วยกูไหม ถ้ากูโดนรุม"
ผมบอกว่า
"ช่วยสิ เพื่อนกูนิ" (แต่ในใจผมคิดว่า ต่อยตีกูไม่ถนัด แต่ถ้าข่วนและดึงผมก็พอได้ 5555)