ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ที่ได้เกิดขึ้นและอาจเป็นบทเรียนให้เพื่อนๆ ได้มุมมองเวลาที่มีความเดือดร้อนจากการถูกละเมิด ว่าควรจะต้องมีทนายในทุกครั้งที่จะมีการไกล่เกลี่ยหรือติดต่อด้านคดีดังเรื่องราวต่อไปนี้ที่จะแชร์ครับ ผมเป็นชาวสวนทำสวนผลไม้ เป็นสวนแบบผสม ที่มีผลไม้พวก ทุเรียน ลองกอง กระท้อน และกล้วยไข่ ก็ทำสวนหารายได้ไปตามวิญญูชนทั่วไปพึงกระทำ
มาวันนึงที่ข้างเคียงขุดดินชิดแนวเขต ลึกสุดประมาณ 5 เมตร ยาวร่วมร้อยเมตรโดยไม่ขออนุญาตอบต. ซึ่งทางผู้ขุดได้แจ้งกับทาง อบต. ว่าต้องการปรับหน้าดินแค่เมตรเดียว เลยขุดได้ไม่ต้องแจ้ง ซึ่งขุดไปเมื่อต้นปี 2560 ต่อมาแจ้ง อบต. ทางผู้ขุดก็บอกขอเวลาไปหาแบบทำกำแพงกันดินให้ แล้วทางผมพบว่ามีการไถลตัวของหน้าดินของที่ดินผม ลงไปทางที่ดินคู่กรณีกว้างประมาณ 3 เมตร แต่ไม่ต้องการให้เป็นคดีความด้วยความใจดีจึงไม่ได้แจ้งความ
ต่อมามีผู้แนะนำให้ไปไกล่เกลี่ยกับทางอัยการคุ้มครองสิทธิ เผื่อจะตกลงกันได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล และผมก็มีความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของท่านอัยการ จึงไม่ได้พาทนายไปช่วยไกล่เกลี่ย เมื่อวันไกล่เกลี่ยมาถึง ปลายปีที่ผ่านมา คู่กรณีพาญาติที่เป็นอดีตปลัดและทนายมา ผมหอบหลักฐานไปแต่ไม่ได้ใช้เลย ไม่มีการดูหลักฐานใดๆ คู่กรณีบอกจะถมดินให้ แต่แบบไหน อย่างไรและเมื่อไหร่ไม่ระบุ ขอเวลาในการตัดสินใจหาแบบทำกำแพงกันดินอีกสองเดือน (คือแบบผ่านไปจะเป็นปียังหาแบบไม่ได้) คู่กรณีบอกว่าอาจปลูกหญ้าแฝกให้ ทั้งๆที่คู่กรณีอาจขุดดินไปเพื่อขาย ได้เงินตั้งเท่าไหร่ ในเนื้อที่ 4 ไร่ที่ขุดดิน และคู่กรณีก็มิใช่ชาวบ้านยากไร้ แต่ทางอัยการก็บอกว่า "คู่กรณียอมไกล่เกลี่ยแล้ว ให้สมานฉันท์เซ็นไกล่เกลี่ย ผมไม่สามารถได้อย่างที่ต้องการทั้งหมด มีได้และไม่ได้"
แต่จากการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ ผมพิจารณาดูแล้ว ผมไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าไกล่เกลี่ยเลยครับ ที่ได้เพิ่มเติมคือความหงุดหงิด ปนความคับข้องใจ ว่าผมมาไกล่เกลี่ยทำไม สู้ไปฟ้องศาลเลยจะสบายใจกว่าไหม!!! บทเรียนในครั้งนี้ที่ผมอยากแชร์คือควรมีทนายทุกครั้ง และควรดูทรงคู่กรณีถ้ามาแนวคุยยาก ก็ไม่ควรเสียเวลาไกล่เกลี่ยครับ
แชร์ประสบการณ์การไกล่เกลี่ยกับอัยการ
มาวันนึงที่ข้างเคียงขุดดินชิดแนวเขต ลึกสุดประมาณ 5 เมตร ยาวร่วมร้อยเมตรโดยไม่ขออนุญาตอบต. ซึ่งทางผู้ขุดได้แจ้งกับทาง อบต. ว่าต้องการปรับหน้าดินแค่เมตรเดียว เลยขุดได้ไม่ต้องแจ้ง ซึ่งขุดไปเมื่อต้นปี 2560 ต่อมาแจ้ง อบต. ทางผู้ขุดก็บอกขอเวลาไปหาแบบทำกำแพงกันดินให้ แล้วทางผมพบว่ามีการไถลตัวของหน้าดินของที่ดินผม ลงไปทางที่ดินคู่กรณีกว้างประมาณ 3 เมตร แต่ไม่ต้องการให้เป็นคดีความด้วยความใจดีจึงไม่ได้แจ้งความ
ต่อมามีผู้แนะนำให้ไปไกล่เกลี่ยกับทางอัยการคุ้มครองสิทธิ เผื่อจะตกลงกันได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล และผมก็มีความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของท่านอัยการ จึงไม่ได้พาทนายไปช่วยไกล่เกลี่ย เมื่อวันไกล่เกลี่ยมาถึง ปลายปีที่ผ่านมา คู่กรณีพาญาติที่เป็นอดีตปลัดและทนายมา ผมหอบหลักฐานไปแต่ไม่ได้ใช้เลย ไม่มีการดูหลักฐานใดๆ คู่กรณีบอกจะถมดินให้ แต่แบบไหน อย่างไรและเมื่อไหร่ไม่ระบุ ขอเวลาในการตัดสินใจหาแบบทำกำแพงกันดินอีกสองเดือน (คือแบบผ่านไปจะเป็นปียังหาแบบไม่ได้) คู่กรณีบอกว่าอาจปลูกหญ้าแฝกให้ ทั้งๆที่คู่กรณีอาจขุดดินไปเพื่อขาย ได้เงินตั้งเท่าไหร่ ในเนื้อที่ 4 ไร่ที่ขุดดิน และคู่กรณีก็มิใช่ชาวบ้านยากไร้ แต่ทางอัยการก็บอกว่า "คู่กรณียอมไกล่เกลี่ยแล้ว ให้สมานฉันท์เซ็นไกล่เกลี่ย ผมไม่สามารถได้อย่างที่ต้องการทั้งหมด มีได้และไม่ได้"
แต่จากการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ ผมพิจารณาดูแล้ว ผมไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าไกล่เกลี่ยเลยครับ ที่ได้เพิ่มเติมคือความหงุดหงิด ปนความคับข้องใจ ว่าผมมาไกล่เกลี่ยทำไม สู้ไปฟ้องศาลเลยจะสบายใจกว่าไหม!!! บทเรียนในครั้งนี้ที่ผมอยากแชร์คือควรมีทนายทุกครั้ง และควรดูทรงคู่กรณีถ้ามาแนวคุยยาก ก็ไม่ควรเสียเวลาไกล่เกลี่ยครับ