เริ่มต้นจากแฟนเราฝันว่าในชีวิตอยากจะไปเหยียบสวิตเซอร์แลนด์สักครั้ง ดินแดนที่ใครๆ ว่ากันว่าสวยมากกกกก ดูละครที่ไปถ่ายทำแล้วเห็นวิวในหนังก็สวยจริงสวยจัง ก็ชวนกันเล่นๆ ว่าไปไหมละ แต่เรา 2 คน ไม่เคยไปต่างประเทศด้วยตัวเองแบบไม่ง้อทัวร์เลยสักครั้ง งานนี้เลยต้องหาเพื่อนร่วมชะตากรรม ที่มีประสบการณ์ชอบเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองมาก่อน เพื่อนก็ไม่ลังเล ตอบตกลงไปด้วยทันที ทริปอันแสนตื่นเต้นครั้งนี้เลยเกิดขึ้น....
ทริปนี้เราเที่ยวกัน 4 เมือง 3 เขา 8 วัน 7 คืน 1-9 ธ.ค.60
เริ่มจากหาซื้อตั๋วเราใช้ skyscanner จองกันตั้งแต่ ม.ค.60 ค่ะ ช่วงนั้นพอดีเจอโปรของสายการบิน Lufthunsa ออกจากกรุงเทพ เที่ยงคืน ไปต่อเครื่องที่ Frunkfurt เพื่อไปลง Geneva ช่วงต่อเครื่องก็รอไม่นานเท่าไหร่ ไปถึง Frunkfurt 6 โมงเช้า รอขึ้นเครื่อง 9 โมงเช้า 10 โมงนิดๆ ก็ถึงเจนีวาละ เลยตัดสินใจจองทันที งบคนละ 21,448 บาท ได้น้ำหนักกระเป๋าคนละ 23 กก.
หลังจากนั้นก็วางแผนเที่ยวกันว่าจะไปไหนบ้างได้ข้อสรุปมาดังนี้
วันที่ 1 Geneva > Montreux เที่ยว Chillon,Vevey > Tasch (พักที่ Swiss Budget Alpenhotel 2 คืน)
วันที่ 2 Tasch > Zermatt > ขึ้นเขา Matterhorn > กลับมานอน Tasch
วันที่ 3 Tasch > Bettmeralp > Grindelwald (พักที่ Apartment Renata 2 คืน)
วันที่ 4 Grinderwald > ขึ้นเขา Jungfrau > Lauterbrunnen > Interlaken Ost. > กลับมานอน Grinderwald
วันที่ 5 Grinderwald > Interlaken (ช้อปปิ้งนาฬิกา) > แวะเที่ยวตามทางระหว่างไป Luzern เย็นๆ เดินตลาดคริสต์มาส เที่ยวชมเมือง Luzern ยามค่ำคืน (พักที่ Altsadt Hotel Le Stelle Luzern 2 คืน)
วันที่ 6 Luzern > ขึ้นเขา Titlis > กลับมาพักที่ Luzern
วันที่ 7 Luzern > Zurich ช้อปปิ้งกันตามอัธยาศัย (ย่าน Bahnhofstrasse) (พักที่ easy Hotel 1 คืน)
วันที่ 8 เดินเที่ยวเก็บตก Zurich ก่อนกลับ
ตอนแรกเราก็กะจะนั่งรถไฟเที่ยวเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เพราะมีรีวิว มีหนังสือให้ดูเยอะแยะ ไม่ต้องลำบากหาข้อมูลอะไรมาก แต่มาชะงักที่ค่า ตั๋วรถไฟ Swiss pass 8 วัน ราคาอยู่ที่คนละ 12,xxx บาท ราคานี้ลดแล้วด้วยนะ 4 คนก็ เกือบ 5 หมื่นแระ เลยมาคิดว่าเช่ารถกันไหม 8 วันเพิ่งจะ 2 หมื่นกว่าบาทเอง ถูกไปเยอะเลย ว่าแล้วก็จัดการจองรถผ่าน Rentalcars.com เลือกรถแบบ 7 ที่นั่ง เผื่อไว้วางกระเป๋า เป็นรถ Volkswagen Sharan ของบริษัท Europcar ราคาเช่าพร้อมซื้อประกันแบบ Full Protection สำหรับ 8 วัน คือ 25,755 บาท เราเลือกจ่ายแบบเต็มจำนวนเงิน จะได้เปลี่ยนใจไม่ได้ทีหลังงี้ 555
พอได้รถแล้ว มีทริปเดือนทางคร่าวๆ แล้ว ก็มาถึงการขอวีซ่าเชงเก้นกันค่ะ เดือน ต.ค.พวกเราก็เตรียมเอกสารเพื่อจะไปขอวีซ่ากัน เรื่องขั้นตอนการเตรียมเอกสารและวิธีการยื่นขอวีซ่า มีคนรีวิวไว้เยอะมากค่ะ จะขอข้ามไปนะคะ สำหรับเราการเตรียมเอกสารง่ายมาก ไม่ยุ่งยากเลย แต่มาช็อคตรงเรายื่นวีซ่าไม่ผ่านในรอบแรก ทำให้ต้องยื่นรอบ 2 เพราะความไม่รู้ของเราเอง อยากจะฝากเตือนทุกคนเลยนะคะ ว่าห้ามยกเลิกการจองที่พัก
ก่อนที่วีซ่าจะผ่านเด็ดขาด และใช่ค่ะ เราเป็นคนเดียวในทริปที่ยื่นขอวีซ่า 2 รอบ จ่ายหนักกว่าเพื่อน เพราะเรายื่นก่อนเพื่อนอีก 2 คน และแฟนเราโชคดีมากกกก ที่ผ่านไปได้ ทั้งที่ยื่นวันเดียวกัน สาเหตุมาจากก่อนวันที่เราจะไปยื่นเอกสารขอวีซ่าที่ศูนย์ TLSContact 1 วัน เรามีการประชุมเรื่องที่พักกันใหม่ แล้วก็ยกเลิกการจองที่พักทั้งหมดที่เราใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าไป โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีผลในการพิจารณา เนื่องจากใครๆ เค้าก็เปลี่ยนแผนการเที่ยวกันตลอด สถานฑูตไม่ว่าอะไรหรอก แต่ไม่ใช่สำหรับการอยู่ระหว่างพิจารณาขอวีซ่าค่ะ ถ้าวีซ่าผ่านแล้ว จะจอง จะยกเลิกกี่ที่กี่รอบทำไปเลยค่ะ เลยเป็นสาเหตุทำให้สถานฑูตตอบกลับมาว่าที่พักเราไม่ชัดเจน จึงไม่พิจารณาให้วีซ่าเราค่ะ พลาดอย่างแร๊งงงงส์
แล้วทำไมแฟนเราวีซ่าผ่าน เพราะวันนั้นเราไปยื่นพร้อมกันกับแฟน มานั่งคิด ก็นึกได้ว่า เราไม่ได้ระบุชื่อเขาในการจองที่พัก เจ้าหน้าที่เลยไล่ให้ลงไปชั้นใต้ดินของตึก ไปทำการจองที่พักใหม่อีกรอบ ให้มีชื่อในการเข้าพักในใบจองและปริ้นส์ใบจองมายื่นประกอบใหม่ (เสียค่าปริ้นส์สี 1 แผ่น ตั้ง 80 บาท
) แต่ช่างคุ้มนัก ไม่ต้องจ่ายค่าขอวีซ่าใหม่อีกรอบตั้ง 3 พัน!! เหมือนเรา... เกือบจะท้อไม่ไปแล้ว แต่ก็ลองใหม่รอบ 2 เลยผ่านฉลุย
หลังจากนั้นเราก็ซื้อ swiss half fare card ค่ะ คนละ 4,115 บาท เอามาใช้คู่กับการขับรถ เนื่องจากยังไงเราก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนั่งรถไฟขึ้นเขาต่างๆ ซึ่งบัตรนี้จะใช้เป็นส่วนลดได้ 50% เมื่อซื้อตั๋วรถไฟ เรือ และรถบัส หน้าตาบัตรจะเป็นแบบนี้ค่ะ ใช้งานได้ 1 เดือน หลังเปิดบัตร
ตั๋วเครื่องบินพร้อม รถก็มีแล้ว บัตร swiss half fare card ก็มีแล้ว ทริปก็เสร็จแล้ว วีซ่าก็ผ่านแล้ว เงินก็พอมีติดตัวแล้ว หลังจากเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่ต้นปี
มาเริ่มเที่ยวไปด้วยกันเลยค่าาาา แผนปรับกันจนวินาทีสุดท้าย ได้ไปเที่ยวครบมั้ยมาดูกันค่ะ
วันที่ 1 ออกจากกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Lufthansa 23.50 น.เพื่อไปลง Frunkfurt ต่อเครื่องไป Geneva เริ่มต้นทริปก็มันส์แระ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นค่ะ ใช่ค่ะ เราทุกคนตกเครื่องที่ Frunkfurt !!! ทั้งที่ไปนั่งรอแถว gate ก่อนเวลาเกือบชม. ถ่ายรูปเล่น และนอนรอเวลา ด้วยความสบายใจ แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยน gate และอีกค่ะ จะด้วยสาเหตุใดไม่รู้ ไม่มีใครรู้ และคิดว่าเอ... ทำไมใกล้เวลาแล้วยังไม่มีประกาศเรียกขึ้นเครื่องอีก
สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้เราไม่รู้ว่าเปลี่ยน gate เพราะเราไปนั่งรอกันที่ gate ข้างๆ ด้วยเนื่องจากคนนั่งเต็ม แล้วก็ไม่มีใครเดินไปเช็คดูบอร์ดที่ประกาศเที่ยวบินกับ gate กันอีกเลย ด้วยความเหนื่อยและเพลียเพราะนั่งเครื่องมา 8-9 ชม. ใกล้กับห้องน้ำได้ยินเสียงชักโครกกันมาทั้งคืน
(ซึ่งความจริงคิดว่าเค้าคงมีประกาศแต่อาจเป็นภาษาเยอรมันหรือเปล่าน้า ส่วนภาษาอังกฤษ ความจริงเราทั้งหมดก็ค่อนข้างอ่อนแอมาก แต่ใจเราได้เราจึงกล้าไปกันเอง 555) นอนรอที่เกตข้างๆไปจน เฮ้ย! มันจะดีเลย์อะไรนานขนาดนั้น หิมะเกาะหน้ากระจกเครื่องบินก็ไม่หนามาก เช็ดกระจกเครื่องบินนานจัง!! สรุปพอไปถามเจ้าหน้าที่ดู เค้าก็แจ้งว่าเครื่องออกไปแล้วจ้า และเครื่องดีเลย์ไปครึ่งชม.ก็น่าจะเพราะรออี 4 คนนี่ละ 😓
สรุปต้องไปซื้อตั๋วใหม่ ภาษาทั้ง 4 คน ก็อยู่ในระดับ beginner มากๆ กว่าจะสื่อสารกันจนไปหาจุดซื้อตั๋วใหม่ได้ เล่นเอาใจหายว่าจะไปถึงกี่โมงยาม แต่สุดท้ายก็สามารถซื้อตั๋วใหม่ได้สำเร็จในราคาประมาณคนละ 3,004 บาทถ้วน (จากราคาเต็มเป็นหมื่น ถือว่าได้รับความปราณีแล้ว) จาก Frankfurt ไป Geneva เจ้าหน้าที่น่ารักมาก พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า Double check your gate!!!! มีวงล้อมรอบเลขที่ gate และขีดเส้นใต้คำเตือนไว้ด้วย (ประมาณว่าคราวนี้ห้ามตกเครื่องอีกนะ 555) ดีที่ใช้เวลาบินแค่ 1 ชม.นิดๆ ไม่งั้นตายแน่ๆ ไหนจะต้องไปรับรถ แล้วต้องหาทางขับรถไปที่พักที่ใช้เวลาขับรถนานที่สุดในทริปนี้อีก เกือบ 3 ชม.เลยก็ว่าได้ แถมฤดูหนาวฟ้ามืดเร็วกว่าปกติอีก 4 โมงเย็นก็จะเรื่มมืดแระ ความไม่ชำนาญทั้งทางและพวงมาลัยฝั่งซ้าย กดดันคนขับรถสุดๆ ทั้งตื่นเต้นและแอบนอยนิดนึง 😓 ว่ามันจะลุ้นกันเกินไปแล้วนะ
เริ่มต้นก็มันส์แระ....
อย่างน้อยโชคดีอย่างแรกเลยคือ เราได้อัพเกรดรถเช่าจาก Volkswagen เป็น Benz ไม่รู้โชคดีหรือร้าย รถคันใหญ่เหลือเกิน ขับยากกันขึ้นไปอีก
กว่าจะไปรับรถลองขับรถวนไปวนมารอบลานจอดรถ จนพอรู้ว่าปรับเกียร์ยัง เปิดปิดอะไรตรงไหนบ้าง จนพนักงานรถเช่า ยกนิ้วโป้งให้ 2 ข้าง และให้สัญญาณมือว่าออกกันไปจากลานจอดรถกันได้แล้วยูววววว์ เขิลเลย
แต่เพราะเรามาถึงช้ากว่าแพลนที่วางไว้ไปตั้ง 5 ชม. ที่เที่ยววันแรกก็เลยต้องถูกตัดทิ้งไปหมด ภารกิจแรกคือต้องเข้าที่พักให้ทันก่อนฟ้ามืด ไม่รอช้าเปิดทั้ง GPS ในรถ เปิดทั้ง google map ช่วยกันดูทางไปยังที่พักทันที เพราะเราต้องใช้เวลาถึง 3 ชม. จาก Geneva ไปเมือง Tasch ระหว่างทางวิวสวยมาก แต่ทางก็โหดมากเช่นกัน เป็นทางขึ้นเขา อย่างกับขับไปปาย แล้วรถที่นี่ขับกันเร็วมากกกกกก เข้าโค้งไม่มีชะลอ รถเราจึงกลายเป็นรถเต่า ที่โดนคันหลังขับจี้ตลอดเวลา T.T
ระหว่างทางไป Tasch กว่าจะไปถึงเล่นเอาคนขับเครียดเลย เพราะทางออกแนวขึ้นเขาลงเขา และโค้งเยอะมากกกก แถมพอ 5 โมงบุ๊ปมืดยังกะ 2 ทุ่ม เราไม่ได้ถ่ายรูปตอนกลางคืนเพราะมัวแต่ช่วยกันมองทางค่ะ
ระหว่างทางเรามีแวะเติมน้ำมันกันค่ะ เพื่อให้น้ำมันเต็มถังไว้ ตอนรับรถมาไม่ทันดู น้ำมันมากัยรถแค่ครึ่งถังเอง การเติมน้ำมันก็ไม่ยากค่ะ ที่ยากน่าจะเป็นตอนหาที่เปิดฝาถังน้ำมันของ Benz นี่แระ ฝาถังน้ำมันอยู่ฝั่งซ้ายฝั่งเดียวกับคนขับรถข้างๆประตูคนขับเลยค่ะ ที่นี่เค้าเติมน้ำมันด้วยตัวเองกันนะคะ ขับไปจอด เติมได้เลย เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปจ่ายเงินในร้าน minimart ของป๊มโดยการบอกเลขตู้น้ำมันที่เราใช้ เราเติมไป 70 ฟรังก์ ประมาณ 2,380 บาท (เรทที่คิดคือ 34 ยาท ต่อ 1 ฟรังก์) อากาศเริ่มหนาวเย็นลงมากขึ้น อุณหภูมิน่าจะติดลบ ลมก็แรงมากก ไม่เคยต้องเติมน้ำมันทรมาณแบบนี้มาก่อนเลย บรืออออออ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้
วันแรกถึงที่พัก สลบกันเลยค่ะที่พักคืนแรก ใกล้สถานีรถไฟมาก ดีงาม
วันที่ 2 ตื่นเช้ามาเติมพลัง แล้วก็ออกเดินทางด้วยรถไฟไป 1 สถานีเพื่อไป zermatt และซื้อตั๋วไปขึ้นเขา Matterhron กันค่ะ
ไว้มาต่อนะคะ........
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ 8 วัน 4 เมือง ขึ้น 3 เขา งบ 7 หมื่น
ทริปนี้เราเที่ยวกัน 4 เมือง 3 เขา 8 วัน 7 คืน 1-9 ธ.ค.60
เริ่มจากหาซื้อตั๋วเราใช้ skyscanner จองกันตั้งแต่ ม.ค.60 ค่ะ ช่วงนั้นพอดีเจอโปรของสายการบิน Lufthunsa ออกจากกรุงเทพ เที่ยงคืน ไปต่อเครื่องที่ Frunkfurt เพื่อไปลง Geneva ช่วงต่อเครื่องก็รอไม่นานเท่าไหร่ ไปถึง Frunkfurt 6 โมงเช้า รอขึ้นเครื่อง 9 โมงเช้า 10 โมงนิดๆ ก็ถึงเจนีวาละ เลยตัดสินใจจองทันที งบคนละ 21,448 บาท ได้น้ำหนักกระเป๋าคนละ 23 กก.
หลังจากนั้นก็วางแผนเที่ยวกันว่าจะไปไหนบ้างได้ข้อสรุปมาดังนี้
วันที่ 1 Geneva > Montreux เที่ยว Chillon,Vevey > Tasch (พักที่ Swiss Budget Alpenhotel 2 คืน)
วันที่ 2 Tasch > Zermatt > ขึ้นเขา Matterhorn > กลับมานอน Tasch
วันที่ 3 Tasch > Bettmeralp > Grindelwald (พักที่ Apartment Renata 2 คืน)
วันที่ 4 Grinderwald > ขึ้นเขา Jungfrau > Lauterbrunnen > Interlaken Ost. > กลับมานอน Grinderwald
วันที่ 5 Grinderwald > Interlaken (ช้อปปิ้งนาฬิกา) > แวะเที่ยวตามทางระหว่างไป Luzern เย็นๆ เดินตลาดคริสต์มาส เที่ยวชมเมือง Luzern ยามค่ำคืน (พักที่ Altsadt Hotel Le Stelle Luzern 2 คืน)
วันที่ 6 Luzern > ขึ้นเขา Titlis > กลับมาพักที่ Luzern
วันที่ 7 Luzern > Zurich ช้อปปิ้งกันตามอัธยาศัย (ย่าน Bahnhofstrasse) (พักที่ easy Hotel 1 คืน)
วันที่ 8 เดินเที่ยวเก็บตก Zurich ก่อนกลับ
ตอนแรกเราก็กะจะนั่งรถไฟเที่ยวเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เพราะมีรีวิว มีหนังสือให้ดูเยอะแยะ ไม่ต้องลำบากหาข้อมูลอะไรมาก แต่มาชะงักที่ค่า ตั๋วรถไฟ Swiss pass 8 วัน ราคาอยู่ที่คนละ 12,xxx บาท ราคานี้ลดแล้วด้วยนะ 4 คนก็ เกือบ 5 หมื่นแระ เลยมาคิดว่าเช่ารถกันไหม 8 วันเพิ่งจะ 2 หมื่นกว่าบาทเอง ถูกไปเยอะเลย ว่าแล้วก็จัดการจองรถผ่าน Rentalcars.com เลือกรถแบบ 7 ที่นั่ง เผื่อไว้วางกระเป๋า เป็นรถ Volkswagen Sharan ของบริษัท Europcar ราคาเช่าพร้อมซื้อประกันแบบ Full Protection สำหรับ 8 วัน คือ 25,755 บาท เราเลือกจ่ายแบบเต็มจำนวนเงิน จะได้เปลี่ยนใจไม่ได้ทีหลังงี้ 555
พอได้รถแล้ว มีทริปเดือนทางคร่าวๆ แล้ว ก็มาถึงการขอวีซ่าเชงเก้นกันค่ะ เดือน ต.ค.พวกเราก็เตรียมเอกสารเพื่อจะไปขอวีซ่ากัน เรื่องขั้นตอนการเตรียมเอกสารและวิธีการยื่นขอวีซ่า มีคนรีวิวไว้เยอะมากค่ะ จะขอข้ามไปนะคะ สำหรับเราการเตรียมเอกสารง่ายมาก ไม่ยุ่งยากเลย แต่มาช็อคตรงเรายื่นวีซ่าไม่ผ่านในรอบแรก ทำให้ต้องยื่นรอบ 2 เพราะความไม่รู้ของเราเอง อยากจะฝากเตือนทุกคนเลยนะคะ ว่าห้ามยกเลิกการจองที่พักก่อนที่วีซ่าจะผ่านเด็ดขาด และใช่ค่ะ เราเป็นคนเดียวในทริปที่ยื่นขอวีซ่า 2 รอบ จ่ายหนักกว่าเพื่อน เพราะเรายื่นก่อนเพื่อนอีก 2 คน และแฟนเราโชคดีมากกกก ที่ผ่านไปได้ ทั้งที่ยื่นวันเดียวกัน สาเหตุมาจากก่อนวันที่เราจะไปยื่นเอกสารขอวีซ่าที่ศูนย์ TLSContact 1 วัน เรามีการประชุมเรื่องที่พักกันใหม่ แล้วก็ยกเลิกการจองที่พักทั้งหมดที่เราใช้ประกอบการยื่นขอวีซ่าไป โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีผลในการพิจารณา เนื่องจากใครๆ เค้าก็เปลี่ยนแผนการเที่ยวกันตลอด สถานฑูตไม่ว่าอะไรหรอก แต่ไม่ใช่สำหรับการอยู่ระหว่างพิจารณาขอวีซ่าค่ะ ถ้าวีซ่าผ่านแล้ว จะจอง จะยกเลิกกี่ที่กี่รอบทำไปเลยค่ะ เลยเป็นสาเหตุทำให้สถานฑูตตอบกลับมาว่าที่พักเราไม่ชัดเจน จึงไม่พิจารณาให้วีซ่าเราค่ะ พลาดอย่างแร๊งงงงส์ แล้วทำไมแฟนเราวีซ่าผ่าน เพราะวันนั้นเราไปยื่นพร้อมกันกับแฟน มานั่งคิด ก็นึกได้ว่า เราไม่ได้ระบุชื่อเขาในการจองที่พัก เจ้าหน้าที่เลยไล่ให้ลงไปชั้นใต้ดินของตึก ไปทำการจองที่พักใหม่อีกรอบ ให้มีชื่อในการเข้าพักในใบจองและปริ้นส์ใบจองมายื่นประกอบใหม่ (เสียค่าปริ้นส์สี 1 แผ่น ตั้ง 80 บาท ) แต่ช่างคุ้มนัก ไม่ต้องจ่ายค่าขอวีซ่าใหม่อีกรอบตั้ง 3 พัน!! เหมือนเรา... เกือบจะท้อไม่ไปแล้ว แต่ก็ลองใหม่รอบ 2 เลยผ่านฉลุย
หลังจากนั้นเราก็ซื้อ swiss half fare card ค่ะ คนละ 4,115 บาท เอามาใช้คู่กับการขับรถ เนื่องจากยังไงเราก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนั่งรถไฟขึ้นเขาต่างๆ ซึ่งบัตรนี้จะใช้เป็นส่วนลดได้ 50% เมื่อซื้อตั๋วรถไฟ เรือ และรถบัส หน้าตาบัตรจะเป็นแบบนี้ค่ะ ใช้งานได้ 1 เดือน หลังเปิดบัตร
ตั๋วเครื่องบินพร้อม รถก็มีแล้ว บัตร swiss half fare card ก็มีแล้ว ทริปก็เสร็จแล้ว วีซ่าก็ผ่านแล้ว เงินก็พอมีติดตัวแล้ว หลังจากเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่ต้นปี
มาเริ่มเที่ยวไปด้วยกันเลยค่าาาา แผนปรับกันจนวินาทีสุดท้าย ได้ไปเที่ยวครบมั้ยมาดูกันค่ะ
วันที่ 1 ออกจากกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Lufthansa 23.50 น.เพื่อไปลง Frunkfurt ต่อเครื่องไป Geneva เริ่มต้นทริปก็มันส์แระ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นค่ะ ใช่ค่ะ เราทุกคนตกเครื่องที่ Frunkfurt !!! ทั้งที่ไปนั่งรอแถว gate ก่อนเวลาเกือบชม. ถ่ายรูปเล่น และนอนรอเวลา ด้วยความสบายใจ แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยน gate และอีกค่ะ จะด้วยสาเหตุใดไม่รู้ ไม่มีใครรู้ และคิดว่าเอ... ทำไมใกล้เวลาแล้วยังไม่มีประกาศเรียกขึ้นเครื่องอีก สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้เราไม่รู้ว่าเปลี่ยน gate เพราะเราไปนั่งรอกันที่ gate ข้างๆ ด้วยเนื่องจากคนนั่งเต็ม แล้วก็ไม่มีใครเดินไปเช็คดูบอร์ดที่ประกาศเที่ยวบินกับ gate กันอีกเลย ด้วยความเหนื่อยและเพลียเพราะนั่งเครื่องมา 8-9 ชม. ใกล้กับห้องน้ำได้ยินเสียงชักโครกกันมาทั้งคืน (ซึ่งความจริงคิดว่าเค้าคงมีประกาศแต่อาจเป็นภาษาเยอรมันหรือเปล่าน้า ส่วนภาษาอังกฤษ ความจริงเราทั้งหมดก็ค่อนข้างอ่อนแอมาก แต่ใจเราได้เราจึงกล้าไปกันเอง 555) นอนรอที่เกตข้างๆไปจน เฮ้ย! มันจะดีเลย์อะไรนานขนาดนั้น หิมะเกาะหน้ากระจกเครื่องบินก็ไม่หนามาก เช็ดกระจกเครื่องบินนานจัง!! สรุปพอไปถามเจ้าหน้าที่ดู เค้าก็แจ้งว่าเครื่องออกไปแล้วจ้า และเครื่องดีเลย์ไปครึ่งชม.ก็น่าจะเพราะรออี 4 คนนี่ละ 😓
สรุปต้องไปซื้อตั๋วใหม่ ภาษาทั้ง 4 คน ก็อยู่ในระดับ beginner มากๆ กว่าจะสื่อสารกันจนไปหาจุดซื้อตั๋วใหม่ได้ เล่นเอาใจหายว่าจะไปถึงกี่โมงยาม แต่สุดท้ายก็สามารถซื้อตั๋วใหม่ได้สำเร็จในราคาประมาณคนละ 3,004 บาทถ้วน (จากราคาเต็มเป็นหมื่น ถือว่าได้รับความปราณีแล้ว) จาก Frankfurt ไป Geneva เจ้าหน้าที่น่ารักมาก พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า Double check your gate!!!! มีวงล้อมรอบเลขที่ gate และขีดเส้นใต้คำเตือนไว้ด้วย (ประมาณว่าคราวนี้ห้ามตกเครื่องอีกนะ 555) ดีที่ใช้เวลาบินแค่ 1 ชม.นิดๆ ไม่งั้นตายแน่ๆ ไหนจะต้องไปรับรถ แล้วต้องหาทางขับรถไปที่พักที่ใช้เวลาขับรถนานที่สุดในทริปนี้อีก เกือบ 3 ชม.เลยก็ว่าได้ แถมฤดูหนาวฟ้ามืดเร็วกว่าปกติอีก 4 โมงเย็นก็จะเรื่มมืดแระ ความไม่ชำนาญทั้งทางและพวงมาลัยฝั่งซ้าย กดดันคนขับรถสุดๆ ทั้งตื่นเต้นและแอบนอยนิดนึง 😓 ว่ามันจะลุ้นกันเกินไปแล้วนะ
เริ่มต้นก็มันส์แระ....
อย่างน้อยโชคดีอย่างแรกเลยคือ เราได้อัพเกรดรถเช่าจาก Volkswagen เป็น Benz ไม่รู้โชคดีหรือร้าย รถคันใหญ่เหลือเกิน ขับยากกันขึ้นไปอีก
กว่าจะไปรับรถลองขับรถวนไปวนมารอบลานจอดรถ จนพอรู้ว่าปรับเกียร์ยัง เปิดปิดอะไรตรงไหนบ้าง จนพนักงานรถเช่า ยกนิ้วโป้งให้ 2 ข้าง และให้สัญญาณมือว่าออกกันไปจากลานจอดรถกันได้แล้วยูววววว์ เขิลเลย
แต่เพราะเรามาถึงช้ากว่าแพลนที่วางไว้ไปตั้ง 5 ชม. ที่เที่ยววันแรกก็เลยต้องถูกตัดทิ้งไปหมด ภารกิจแรกคือต้องเข้าที่พักให้ทันก่อนฟ้ามืด ไม่รอช้าเปิดทั้ง GPS ในรถ เปิดทั้ง google map ช่วยกันดูทางไปยังที่พักทันที เพราะเราต้องใช้เวลาถึง 3 ชม. จาก Geneva ไปเมือง Tasch ระหว่างทางวิวสวยมาก แต่ทางก็โหดมากเช่นกัน เป็นทางขึ้นเขา อย่างกับขับไปปาย แล้วรถที่นี่ขับกันเร็วมากกกกกก เข้าโค้งไม่มีชะลอ รถเราจึงกลายเป็นรถเต่า ที่โดนคันหลังขับจี้ตลอดเวลา T.T
ระหว่างทางไป Tasch กว่าจะไปถึงเล่นเอาคนขับเครียดเลย เพราะทางออกแนวขึ้นเขาลงเขา และโค้งเยอะมากกกก แถมพอ 5 โมงบุ๊ปมืดยังกะ 2 ทุ่ม เราไม่ได้ถ่ายรูปตอนกลางคืนเพราะมัวแต่ช่วยกันมองทางค่ะ
ระหว่างทางเรามีแวะเติมน้ำมันกันค่ะ เพื่อให้น้ำมันเต็มถังไว้ ตอนรับรถมาไม่ทันดู น้ำมันมากัยรถแค่ครึ่งถังเอง การเติมน้ำมันก็ไม่ยากค่ะ ที่ยากน่าจะเป็นตอนหาที่เปิดฝาถังน้ำมันของ Benz นี่แระ ฝาถังน้ำมันอยู่ฝั่งซ้ายฝั่งเดียวกับคนขับรถข้างๆประตูคนขับเลยค่ะ ที่นี่เค้าเติมน้ำมันด้วยตัวเองกันนะคะ ขับไปจอด เติมได้เลย เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปจ่ายเงินในร้าน minimart ของป๊มโดยการบอกเลขตู้น้ำมันที่เราใช้ เราเติมไป 70 ฟรังก์ ประมาณ 2,380 บาท (เรทที่คิดคือ 34 ยาท ต่อ 1 ฟรังก์) อากาศเริ่มหนาวเย็นลงมากขึ้น อุณหภูมิน่าจะติดลบ ลมก็แรงมากก ไม่เคยต้องเติมน้ำมันทรมาณแบบนี้มาก่อนเลย บรืออออออ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้
วันแรกถึงที่พัก สลบกันเลยค่ะที่พักคืนแรก ใกล้สถานีรถไฟมาก ดีงาม
วันที่ 2 ตื่นเช้ามาเติมพลัง แล้วก็ออกเดินทางด้วยรถไฟไป 1 สถานีเพื่อไป zermatt และซื้อตั๋วไปขึ้นเขา Matterhron กันค่ะ
ไว้มาต่อนะคะ........